ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
เพื่อเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็วและติดตามตลาดโฟกัสใน 15 นาที
ในโลกของมนุษยชาติ จะไม่มีคำกล่าวใด ๆ ที่ไม่มีจุดยืนใด ๆ หรือคำพูดใด ๆ ที่ไม่มีจุดประสงค์ใด ๆ
อัตราเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน และเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจเชิงนโยบายของธนาคารกลาง ทัศนคติและคำพูดของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยังมีอิทธิพลต่อการกระทำของเทรดเดอร์ในตลาดอีกด้วย
เงินทำให้โลกหมุนไป และสกุลเงินเป็นสินค้าถาวร ตลาดฟอเร็กซ์เต็มไปด้วยความประหลาดใจและความคาดหวัง
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
เพลิดเพลินกับกิจกรรมที่น่าตื่นเต้น ที่นี่ที่ FastBull
ข่าวด่วนล่าสุดและเหตุการณ์ทางการเงินทั่วโลก
ฉันมีประสบการณ์ 5 ปีในการวิเคราะห์ทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนามหภาคและการตัดสินแนวโน้มระยะกลางและระยะยาว ความสนใจของฉันอยู่ที่การพัฒนาของตะวันออกกลาง ตลาดเกิดใหม่ ถ่านหิน ข้าวสาลี และสินค้าเกษตรอื่นๆ
7 ปีของตลาดหุ้น การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โลหะมีค่า และประสบการณ์การซื้อขายและการวิเคราะห์อื่น ๆ โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐาน การสนับสนุนทางเทคนิค มีอคติต่อตรรกะธุรกรรมจากบนลงล่าง โดยเน้นที่วัฏจักรมหภาคและการควบคุมความเสี่ยง การคาดการณ์เชิงทฤษฎีอุปสงค์และอุปทานอเนกประสงค์ การเปลี่ยนแปลงของราคา สร้างสมดุลระหว่างผลกระทบของธุรกรรม การกระจายชิปและอารมณ์ตลาด และคงที่
อัปเดตล่าสุด
สร้างทัศนคติการลงทุนที่ดี
วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ปรัชญาการลงทุนของเขาประกอบด้วยการสร้างกรอบความคิดระยะยาว ขจัดญาณรบกวนของตลาด ไม่เก็งกำไร และเน้นย้ำว่าการลงทุนต้องมีมีจิตใจที่มั่นคงและเป้าหมายที่ชัดเจน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง
แม้ว่าระบบกฎหมายและกรอบการกำกับดูแลในฮ่องกงจะค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ตลาดหุ้นยังคงเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายพิเศษหลายประการ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่าง HKD และ USD นักลงทุนต่างชาติอาจเผชิญกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความผันผวนของนโยบายและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นฮ่องกงด้วย
โครงสร้างต้นทุนและภาษีเมื่อลงทุนในหุ้นฮ่องกง
ต้นทุนการซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมหุ้น ค่าอากรแสตมป์ ค่าธรรมเนียมการชำระบัญชี ฯลฯ สำหรับนักลงทุนต่างชาติอาจมีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินเพิ่มเติมเป็นดอลลาร์ฮ่องกงและภาษีอื่น ๆ ตามข้อบังคับท้องถิ่น
การวิเคราะห์อุตสาหกรรมฮ่องกง:อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็น
อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็นของฮ่องกง ได้แก่ รถยนต์ การศึกษา การท่องเที่ยว การจัดเลี้ยง เครื่องแต่งกาย และภาคส่วนอื่นๆ อีกมากมาย จากบริษัทจดทะเบียน 643 แห่งนั้น 35% เป็นบริษัทในจีนแผ่นดินใหญ่และคิดเป็น 65% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด ดังนั้นอุตสาหกรรมนี้จึงได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากเศรษฐกิจจีน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด
ไม่มีข้อมูล
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม
สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ราคาผู้ผลิตในจีนพุ่งขึ้นมากในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมา โดยได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่แปรปรวนนับตั้งแต่น้ำท่วมรุนแรงไปจนถึงอากาศที่ร้อนจัด ซึ่งทำให้พื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหายนับล้านเอเคอร์ และกำลังกระทบรายได้ของผู้บริโภค
ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรและกิจการชนบทพบว่า ดัชนีราคาขายส่งสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกวันตั้งแต่วันที่ 25 มิ.ย.-21 ส.ค. ยกเว้นวันที่ 19 ก.ค.ที่ปรับตัวลงเล็กน้อย
ราคาอาหารที่พุ่งขึ้นมากในฤดูร้อนนี้สร้างปัญหาเพิ่มเติมให้แก่เศรษฐกิจจีน ซึ่งกำลังเผชิญกับปัญหาที่จัดการยากนับตั้งแต่ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ย่ำแย่ และการว่างงานไปจนถึงแรงกดดันด้านเงินฝืด และอุปสงค์ภายนอกที่ไม่แน่นอนสำหรับสินค้าจีน
จีนประสบกับฝนตกที่หนักต่อเนื่องที่เริ่มในฤดูใบไม้ผลิ และต่อเนื่องตลอดทั้งเดือนก.ค. และยังเผชิญกับอากาศที่ร้อนจนทำลายสถิตินานหลายสัปดาห์ และในมณฑลเหอหนาน ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ผลิตพืชผลเพื่อการพาณิชย์หลักๆของจีน มีพื้นที่ได้รับผลกระทบกว่า 1.13 ล้านเอเคอร์แล้ว ขณะที่การเก็บเกี่ยวบางส่วนได้รับความเสียหายเนื่องจากทุ่มนาจมอยู่ใต้น้ำ
สภาพอากาศแปรปรวนทำให้ความเสียหายทางเศรษฐกิจจากภัยพิบัติทางธรรมชาติพุ่งขึ้นเกือบ 2 เท่าในเดือนก.ค.จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และจีนถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องอัดฉีดเม็ดเงินอีก 1.00 แสนล้านหยวน(1.14 หมื่นล้านดอลลาร์) แก่ธนาคารต่างๆเพื่อนำไปสนับสนุนการซ่อมแซมพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม--จบ--
Eikon source text
โกลด์แมน แซคส์คาดว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะร่วงลงสู่ระดับ 68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลภายในปลายปีหน้า ถ้าความต้องการน้ำมันของจีนยังคงทรงตัวไปจนถึงปลายปีหน้า
นักวิเคราะห์จากโกลด์แมน แซคส์ระบุว่า "ความต้องการน้ำมันของจีนที่อ่อนแอ และปัจจัยเสี่ยงในช่วงขาลงต่อจีดีพีของจีนสนับสนุนความเห็นของเราที่ว่า ความเสี่ยงต่อกรอบราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ 75-90 ดอลลาร์ของเราในปีหน้าอยู่ในช่วงขาลง"
ข้อมูลเมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้วพบว่า เศรษฐกิจจีนชะลอตัวในเดือนก.ค.โดยราคาบ้านใหม่ร่วงลงมากที่สุดในรอบ 9 ปี ขณะที่ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมชะลอตัว และการว่างงานเพิ่มขึ้น และโรงกลั่นน้ำมันในจีนได้ปรับลดอัตราการแปรรูปน้ำมันดิบลงอย่างมากในเดือนที่แล้วรับความต้องการใช้น้ำมันที่ชะลอตัว
"เราลงความเห็นว่า การเปลี่ยนจากน้ำมันไปใช้ไฟฟ้า (ผ่านรถยนต์ไฟฟ้า) และก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) เป็นสาเหตุที่ทำให้ความต้องการน้ำมันในจีนชะลอตัวลง"
โกลด์แมนคาดว่า ความต้องการน้ำมันในจีนจะชะลอตัวรุนแรงเมื่อเทียบรายปีสู่ระดับ 0.2 ล้านบาร์เรลต่อวันในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ และจะลดลงเมื่อเทียบรายปีในฤดูร้อนนี้ ขณะที่โอเปกได้ปรับลดคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันของโอเปกสำหรับปีนี้และปีหน้า โดยระบุถึงภาวะชะลอตัวในจีน--จบ--
Eikon source text
21 ส.ค.--รอยเตอร์
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 9.82 ดอลลาร์ สู่ 2,513.74 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร หลังจากพุ่งขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ที่ 2,531.60 ดอลลาร์ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันอังคาร โดยมีแนวโน้มว่า ราคาทองอาจจะพุ่งขึ้นต่อไปได้อีก โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยบวกหลายประการ ซึ่งรวมถึงความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ, ความไม่แน่นอนในผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 5 พ.ย. และแนวโน้มในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง ทั้งนี้ ราคาทองพุ่งขึ้นมาแล้วเกือบ 460 ดอลลาร์ หรือราว 21% จากช่วงต้นปีนี้ ซึ่งส่งผลให้ทองกลายเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่มีราคาพุ่งขึ้นมากที่สุดในปี 2024 โดยก่อนหน้านี้ราคาทองเคยทะยานขึ้น 27% ในปี 2020 ก่อนที่จะร่วงลงในปี 2021 และในปี 2022 และปรับขึ้นเล็กน้อยในปี 2023
นักลงทุนมักจะใช้ทองเป็นเครื่องมือในการทำประกันความเสี่ยงต่อความไม่แน่นอนทางการเมืองและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ดังนั้นราคาทองจึงได้รับแรงหนุนจากสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน และจากความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ อเมเลีย เซียว ฝู่ หัวหน้าฝ่ายตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ของธนาคาร BOCI ระบุว่า "ราคาทองอาจจะพุ่งขึ้นเข้าใกล้ระดับ 2,600 ดอลลาร์ หรือ 2,700 ดอลลาร์ในช่วงก่อนสิ้นปีนี้" และเธอกล่าวเสริมว่า "ยังคงมีความไม่แน่นอนเป็นอย่างมากในการเลือกตั้งสหรัฐ" ทางด้านนายอาคาช โดชิ หัวหน้าฝ่ายสินค้าโภคภัณฑ์อเมริกาเหนือในบริษัทซิตี้ รีเสิร์ชระบุว่า ราคาทองอาจจะพุ่งขึ้นแตะ 2,600 ก่อนสิ้นปี 2024 และแตะ 3,000 ดอลลาร์ภายในช่วงกลางปี 2025
ราคาทองและราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐได้รับแรงหนุนในช่วงที่ผ่านมาจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มต้นวัฏจักรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. ทั้งนี้ ลีน่า โธมัส นักยุทธศาสตร์การลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์ของธนาคารโกลด์แมน แซคส์กล่าวว่า "เรายังคงมองว่าการถือครองสถานะซื้อในทองเป็นสิ่งที่มีค่ามาก และเรายังคงคาดการณ์ในทางบวกว่าราคาทองจะปรับขึ้นสู่ 2,700 ดอลลาร์ในปี 2025 ในขณะที่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะส่งผลให้เงินทุนในชาติตะวันตกไหลกลับเข้าสู่ตลาดทอง"
ราคาทองได้รับแรงหนุนจากจีนด้วย โดยจีนเคยเข้าซื้อทองเพื่อนำมาเก็บไว้ในคลังสำรองเป็นเวลานาน 18 เดือนติดต่อกันจนถึงเดือนเม.ย.ปีนี้ ก่อนที่จะระงับโครงการดังกล่าวเพราะราคาทองอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ โธมัสกล่าวว่า "การที่จีนมีความอ่อนไหวต่อราคาทอง ถือเป็นการรับประกันว่าราคาทองจะไม่ดิ่งลงอย่างรุนแรง เพราะเมื่อใดก็ตามที่ราคาทองดิ่งลงอย่างรุนแรง สถานการณ์ดังกล่าวก็มีแนวโน้มที่จะกระตุ้นให้จีนเข้าซื้อทอง"
ราคาทองได้รับแรงหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อกองทุน ETF ทองในช่วงที่ผ่านมาด้วย โดยสภาทองคำโลก (WGC) รายงานว่า กองทุน ETF ทองปรับเพิ่มปริมาณการถือครองทองสุทธิขึ้น 8.5 ตันในสัปดาห์ที่แล้ว ส่วนกองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งถือเป็นกองทุน ETF ทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก็ถือครองทองในปริมาณ 859 ตันในวันจันทร์ ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในรอบ 7 เดือน ทั้งนี้ นายโอเล แฮนเสน หัวหน้าฝ่ายแผนยุทธศาสตร์การลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์ของธนาคารแซกโซกล่าวว่า "การปรับลดอัตราดอกเบี้ยอาจจะส่งผลให้นักลงทุนที่อ่อนไหวกับอัตราดอกเบี้ยกลับเข้ามาลงทุนในทองโดยผ่านทางกองทุน ETF"--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ลอนดอน--14 ส.ค.--รอยเตอร์
องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ออกรายงานน้ำมันรายเดือนในวันอังคาร โดย IEA คาดว่าอุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกอาจเพิ่มขึ้น 970,000 บาร์เรลต่อวันในปี 2024 ซึ่งเท่ากับตัวเลขคาดการณ์เดิม แต่ IEA คาดว่า อุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกอาจเพิ่มขึ้นเพียง 950,000 บาร์เรลต่อวันในปี 2025 โดยปรับลดลง 30,000 บาร์เรลต่อวันจากตัวเลขคาดการณ์เดิม โดย IEA ให้เหตุผลในการปรับลดตัวเลขคาดการณ์ครั้งนี้ว่า เป็นเพราะการบริโภคได้รับผลกระทบจากความอ่อนแอของเศรษฐกิจจีน
ก่อนหน้านี้กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) เพิ่งออกรายงานรายเดือนในวันจันทร์ และระบุในรายงานว่าโอเปกคาดว่า อุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกอาจเพิ่มขึ้น 2.11 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2024 โดยปรับลดลงจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ +2.25 ล้านบาร์เรลต่อวันที่เคยคาดไว้ในเดือนที่แล้ว โดยเป็นผลจากความอ่อนแอของอุปสงค์น้ำมันในจีน ในขณะที่จีนถือเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก และถือเป็นประเทศผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก
IEA ระบุในรายงานฉบับล่าสุดว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอในจีนส่งผลลบเป็นอย่างมากต่ออุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกในช่วงนี้ หลังจากที่อุปสงค์น้ำมันเคยได้รับแรงหนุนในช่วงก่อนหน้านี้จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในจีนหลังผ่านพ้นวิกฤติโรคระบาด แต่แรงหนุนดังกล่าวได้จางหายไปแล้ว อย่างไรก็ดี IEA คาดว่าอุปสงค์น้ำมันในชาติตะวันตกจะอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะในสหรัฐ ในขณะที่สหรัฐครองส่วนแบ่งราว 1 ใน 3 ของปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินในตลาดโลก
IEA คาดว่า ปริมาณการใช้รถใช้ถนนในสหรัฐในฤดูร้อนปีนี้จะอยู่ในระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤติโรคระบาดเป็นต้นมา และ IEA มองว่ามาตรการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปกและชาติพันธมิตร (โอเปกพลัส) ส่งผลให้ตลาดน้ำมันตึงตัวมากยิ่งขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดย IEA ระบุเสริมว่า "อุปทานน้ำมันในช่วงนี้แทบไม่สามารถปรับขึ้นให้ทันกับอุปสงค์น้ำมันที่ทะยานขึ้นแตะจุดสูงสุดในฤดูร้อน และปัจจัยนี้ส่งผลให้ตลาดน้ำมันประสบภาวะขาดแคลนน้ำมัน"
IEA ระบุว่า ในบรรดาประเทศที่ไม่ได้เป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและพัฒนาเศรษฐกิจ (OECD) นั้น อุปสงค์น้ำมันในประเทศกลุ่มนี้ปรับขึ้นในไตรมาส 2/2024 ในอัตราที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา นอกจากนี้ ก็มีคาดการณ์กันว่า จีนจะครองส่วนแบ่งน้อยลงในการเติบโตของอุปสงค์น้ำมันนอก OECD ด้วย โดยจีนเคยครองส่วนแบ่งสูงกว่า 2 ใน 3 ของการเติบโตของอุปสงค์น้ำมันนอก OECD ในปี 2023 แต่จะครองส่วนแบ่งเพียงแค่ราว 1 ใน 3 ของการเติบโตของอุปสงค์น้ำมันนอก OECD ในปี 2024 ทั้งนี้ IEA ระบุว่า การดิ่งลงของอุปสงค์น้ำมันในจีนปรากฏให้เห็นชัดมากที่สุดในส่วนของอุปสงค์น้ำมัน gasoil และแนฟทา โดยเป็นผลจากกิจกรรมการก่อสร้างและกิจกรรมภาคโรงงานที่ลดลง และสิ่งนี้บ่งชี้ว่า "ภาคปิโตรเคมีที่เคยขยายตัวอย่างต่อเนื่องได้ยุติการขยายตัวแล้ว"--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ลอนดอน--13 ส.ค.--รอยเตอร์
กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ได้ออกรายงานรายเดือนในวันจันทร์ และระบุในรายงานว่าโอเปกคาดว่า อุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกอาจเพิ่มขึ้น 2.11 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2024 โดยปรับลดลงจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ +2.25 ล้านบาร์เรลต่อวันที่เคยคาดไว้ในเดือนที่แล้ว นอกจากนี้ โอเปกยังระบุในรายงานอีกด้วยว่า "การปรับทบทวนตัวเลขเล็กน้อยในครั้งนี้เป็นผลมาจากข้อมูลจริงที่ได้รับมาสำหรับไตรมาสแรกของปี 2024 และก็รวมถึงไตรมาสสองในบางกรณีด้วย และเป็นผลมาจากการคาดการณ์ที่ลดลงสำหรับการเติบโตของอุปสงค์น้ำมันในจีนในปี 2024" ทั้งนี้ การปรับลดตัวเลขคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันในครั้งนี้ตอกย้ำให้เห็นว่า โอเปกกำลังเผชิญกับทางเลือกที่ยากลำบาก เพราะว่าโอเปกและชาติพันธมิตร (โอเปกพลัส) วางแผนที่จะปรับเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันตั้งแต่เดือนต.ค.เป็นต้นไป
ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่โอเปกปรับลดตัวเลขคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันประจำปี 2024 ในขณะที่มีสัญญาณบ่งชี้มากยิ่งขึ้นว่า อุปสงค์น้ำมันในจีนอยู่ในระดับต่ำเกินคาด โดยเป็นผลจากปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลที่ดิ่งลง และเป็นผลจากวิกฤติภาคอสังหาริมทรัพย์ในจีน ทั้งนี้ ตัวเลขคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันของโอเปกถือว่ายังคงอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับตัวเลขคาดการณ์ของหน่วยงานอื่น ๆ ในขณะที่องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุในเดือนก.ค.ว่า อุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกอาจจะปรับเพิ่มขึ้นเพียง 970,000 บาร์เรลต่อวันในปีนี้ และ 980,000 บาร์เรลต่อวันในปีหน้า โดยเป็นผลจากปริมาณการบริโภคในจีนที่หดตัวลง โดย IEA จะเปิดเผยรายงานรายเดือนฉบับใหม่ในช่วงต่อไปในวันนี้
โอเปกระบุว่า อุปสงค์น้ำมันในปีนี้จะยังคงเติบโตขึ้นในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวก่อนเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 โดยค่าเฉลี่ยดังกล่าวอยู่ที่ 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน และโอเปกระบุว่า อุปสงค์ในการเดินทางช่วงฤดูร้อนจะยังคงอยู่ในระดับแข็งแกร่งด้วย ทั้งนี้ โอเปกระบุว่า "ถึงแม้ฤดูการใช้รถใช้ถนนในช่วงฤดูร้อนปีนี้เริ่มต้นอย่างเชื่องช้ากว่าปีที่แล้ว อุปสงค์ในเชื้อเพลิงสำหรับการขนส่งก็มีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่ในระดับแข็งแกร่งต่อไป โดยเป็นผลจากการเดินทางทางบกและทางอากาศที่ระดับสูง"
โอเปกคาดว่า อุปสงค์น้ำมันในปีหน้าอาจจะเพิ่มขึ้น 1.78 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยปรับลดลงจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ +1.85 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่ถือว่ายังคงอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับตัวเลขคาดการณ์ของหน่วยงานอื่น ๆ นอกจากนี้ โอเปกยังคาดการณ์อีกด้วยว่า อุปสงค์ในน้ำมันดิบของกลุ่มโอเปกพลัสอาจจะอยู่ที่ 43.8 ล้านบาร์เรลต่อวันในไตรมาส 4/2024 ทั้งนี้ โอเปกรายงานว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปกพลัสอยู่ที่ 40.9 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนก.ค. โดยเพิ่มขึ้น 117,000 บาร์เรลต่อวันจากเดือนมิ.ย. โดยได้รับแรงหนุนจากการปรับเพิ่มปริมาณการผลิตในซาอุดิอาระเบีย
โอเปกพลัสตกลงกันในเดือนมิ.ย.ว่าจะต่ออายุมาตรการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันส่วนใหญ่ออกไปจนถึงปี 2025 โดยกลุ่มโอเปกพลัสได้ตกลงที่จะต่ออายุมาตรการปรับลดการผลิต 3.66 ล้านบาร์เรลต่อวันออกไปจนถึงสิ้นปี 2025 อย่างไรก็ดี กลุ่มโอเปกพลัสจะทยอยยกเลิกมาตรการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันแบบสมัครใจในอัตรา 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวันทีละขั้นตอนในช่วงเวลา 1 ปีที่เริ่มตั้งแต่เดือนต.ค. 2024 จนถึงเดือนก.ย. 2025 แต่อาจจะมีการระงับหรือปรับเปลี่ยนแผนการนี้ได้ตามความจำเป็นในอนาคต--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นักวิเคราะห์และแหล่งข่าวในอุตสาหกรรมเปิดเผยว่า ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกต้องเร่งตัวเพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า มิฉะนั้นตลาดก็จะประสบความยากลำบากในการดูดซับปริมาณน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจากการที่กลุ่มโอเปก+ วางแผนที่จะผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือนต.ค.เป็นต้นไป ขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันในช่วง 7 เดือนแรกของปีจากผู้บริโภครายใหญ่ อาทิ สหรัฐและจีน ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ แม้ก่อนที่จะเกิดความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐทำให้มีแรงเทขายหุ้นและตราสารหนี้ทั่วโลกในสัปดาห์นี้ก็ตาม
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ถ้าเศรษฐกิจชะลอตัวลงอีก ความต้องการใช้น้ำมันก็อาจชะลอตัวลงตามไปด้วย นั่นหมายความว่ากลุ่มโอเปก+ จะต้องเลื่อนแผนเพิ่มการผลิตน้ำมันออกไป หรือยอมรับราคาที่ลดลงสำหรับการผลิตที่เพิ่มขึ้น
โอเปกคาดว่าความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกจะอยู่ที่ 2.15 ล้านบาร์เรลต่อวันในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ซึ่งแทบไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงต้นปี ขณะที่สำนักงานพลังงานสากล (ไออีเอ) คาดการณ์ไว้ที่ 735,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งลดลงจาก 1.19 ล้านบาร์เรลต่อวันที่คาดไว้ในเดือนม.ค.
ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกจะต้องเร่งตัวเพิ่มขึ้นอีกในช่วงครึ่งปีหลัง ถ้าการคาดการณ์ของโอเปกเกี่ยวกับความต้องการใช้น้ำมันในช่วงครึ่งปีแรกถูกต้อง แต่ถ้าไออีเอคาดการณ์ถูก อุปสงค์ก็จะต้องเร่งตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเพื่อให้ความต้งการใช้น้ำมันเป็นไปตามคาดการณ์ทั้งปีของโอเปก ก็จะต้องเร่งตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับเฉลี่ย 2.30 ล้านบาร์เรลต่อวันในช่วงครึ่งปีหลัง และความต้องการจะต้องเพิ่มขึ้น 1.22 ล้านบาร์เรลต่อวันในช่วงครึ่งปีหลังเพื่อให้สอดคล้องกับการคาดการณ์ทั้งปีของไออีเอ
ไออีเอระบุว่า เศรษฐกิจที่ชะลอตัว และการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าในจีนได้เปลี่ยนกระบวนทัศน์สำหรับเศรษฐกิจจีน ซึ่งจีนทำให้ปริมาณการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นทั่วโลกมานานหลายปี แต่โอเปกคาดว่าจะยังคงขยายตัวแข็งแกร่งต่อไป--จบ--
Eikon source text
7 ส.ค.--รอยเตอร์
สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ได้ออกรายงานแนวโน้มพลังงานระยะสั้นในวันอังคาร โดย EIA คาดว่าอุปสงค์และอุปทานน้ำมันในตลาดสหรัฐในปีนี้จะตึงตัวมากกว่าที่เคยคาดไว้ แต่ EIA ได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบสหรัฐลงจากเดิม ทั้งนี้ EIA คาดว่า ราคาน้ำมันดิบเวสท์เท็กซัสอินเทอร์มีเดียท (WTI) ของสหรัฐอาจมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 80.21 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปีนี้ โดยปรับลดลง 2.2% จากตัวเลขคาดการณ์ครั้งก่อนที่ 82.03 ดอลลาร์ โดยการปรับลดตัวเลขคาดการณ์ในครั้งนี้เป็นผลมาจากแรงเทขายสัญญาน้ำมันในช่วงนี้ท่ามกลางความกังวลเรื่องความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนก.ย.เพิ่งปรับขึ้น 26 เซนต์ หรือ 0.4% มาปิดตลาดที่ 73.20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันอังคาร หลังจากปิดตลาดในแดนลบมานาน 3 วันติดต่อกัน โดยราคาน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่งดิ่งลงแตะ 71.67 ดอลลาร์ในวันจันทร์ ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. ทั้งนี้ EIA คาดว่า ราคาสัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบเบรนท์จะปรับขึ้นในช่วงหลายเดือนข้างหน้า และจะอยู่ที่ระดับ 85-90 ดอลลาร์ในช่วงสิ้นปีนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร (โอเปกพลัส)
EIA คาดว่าอุปสงค์น้ำมันในสหรัฐอาจจะอยู่ที่ 20.5 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2024 โดยปรับขึ้น 100,000 บาร์เรลต่อวันจากตัวเลขคาดการณ์เดิม แต่ EIA ยังคงคาดการณ์ตามเดิมว่า อุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกอาจเพิ่มขึ้น 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวันจากปี 2023 สู่ 102.9 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2024 ทั้งนี้ EIA คาดว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันในสหรัฐอาจเพิ่มขึ้น 300,000 บาร์เรลต่อวันจากปี 2023 สู่สถิติสูงสุดใหม่ที่ 13.23 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2024 แต่ตัวเลขคาดการณ์ใหม่นี้ปรับลดลงจากตัวเลขคาดการณ์เดิม เพราะ EIA เคยคาดไว้ก่อนหน้านี้ว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันในสหรัฐอาจเพิ่มขึ้น 320,000 บาร์เรลต่อวันในปีนี้
ปริมาณการผลิตน้ำมันในแอ่งเพอร์เมียนในสหรัฐมีแนวโน้มว่าอาจเพิ่มขึ้น 10,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนนี้ สู่ 6.39 ล้านบาร์เรลต่อวัน ทั้งนี้ นายโจวานนี สเตาโนโว นักวิเคราะห์ของธนาคารยูบีเอสกล่าวว่า รายงานของ EIA ฉบับนี้ถือเป็นการปรับตัวเลขที่ส่งผลบวกเล็กน้อยต่อราคาน้ำมัน เพราะรายงานฉบับนี้คาดว่า ภาวะขาดแคลนน้ำมันในตลาดในปีนี้และปีหน้าจะอยู่ในระดับที่รุนแรงกว่าที่เคยคาดไว้
EIA คาดว่าอุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกในปี 2025 จะอยู่ที่ 104.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยปรับลดลงจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ 104.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยการปรับลดลงนี้มีสาเหตุสำคัญมาจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในจีน ทั้งนี้ EIA คาดว่า ปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติในสหรัฐในปีนี้จะอยู่ที่ 1.033 แสนล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดยปรับลดลงจาก 1.035 แสนล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันที่เคยคาดไว้ก่อนหน้านี้ และ EIA คาว่า ปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติในสหรัฐในปี 2025 จะอยู่ที่ 1.046 แสนล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดยปรับลดลงจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ 1.052 แสนล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน