ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
เพื่อเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็วและติดตามตลาดโฟกัสใน 15 นาที
ในโลกของมนุษยชาติ จะไม่มีคำกล่าวใด ๆ ที่ไม่มีจุดยืนใด ๆ หรือคำพูดใด ๆ ที่ไม่มีจุดประสงค์ใด ๆ
อัตราเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน และเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจเชิงนโยบายของธนาคารกลาง ทัศนคติและคำพูดของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยังมีอิทธิพลต่อการกระทำของเทรดเดอร์ในตลาดอีกด้วย
เงินทำให้โลกหมุนไป และสกุลเงินเป็นสินค้าถาวร ตลาดฟอเร็กซ์เต็มไปด้วยความประหลาดใจและความคาดหวัง
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
เพลิดเพลินกับกิจกรรมที่น่าตื่นเต้น ที่นี่ที่ FastBull
ข่าวด่วนล่าสุดและเหตุการณ์ทางการเงินทั่วโลก
ฉันมีประสบการณ์ 5 ปีในการวิเคราะห์ทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนามหภาคและการตัดสินแนวโน้มระยะกลางและระยะยาว ความสนใจของฉันอยู่ที่การพัฒนาของตะวันออกกลาง ตลาดเกิดใหม่ ถ่านหิน ข้าวสาลี และสินค้าเกษตรอื่นๆ
7 ปีของตลาดหุ้น การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โลหะมีค่า และประสบการณ์การซื้อขายและการวิเคราะห์อื่น ๆ โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐาน การสนับสนุนทางเทคนิค มีอคติต่อตรรกะธุรกรรมจากบนลงล่าง โดยเน้นที่วัฏจักรมหภาคและการควบคุมความเสี่ยง การคาดการณ์เชิงทฤษฎีอุปสงค์และอุปทานอเนกประสงค์ การเปลี่ยนแปลงของราคา สร้างสมดุลระหว่างผลกระทบของธุรกรรม การกระจายชิปและอารมณ์ตลาด และคงที่
อัปเดตล่าสุด
สร้างทัศนคติการลงทุนที่ดี
วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ปรัชญาการลงทุนของเขาประกอบด้วยการสร้างกรอบความคิดระยะยาว ขจัดญาณรบกวนของตลาด ไม่เก็งกำไร และเน้นย้ำว่าการลงทุนต้องมีมีจิตใจที่มั่นคงและเป้าหมายที่ชัดเจน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง
แม้ว่าระบบกฎหมายและกรอบการกำกับดูแลในฮ่องกงจะค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ตลาดหุ้นยังคงเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายพิเศษหลายประการ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่าง HKD และ USD นักลงทุนต่างชาติอาจเผชิญกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความผันผวนของนโยบายและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นฮ่องกงด้วย
โครงสร้างต้นทุนและภาษีเมื่อลงทุนในหุ้นฮ่องกง
ต้นทุนการซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมหุ้น ค่าอากรแสตมป์ ค่าธรรมเนียมการชำระบัญชี ฯลฯ สำหรับนักลงทุนต่างชาติอาจมีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินเพิ่มเติมเป็นดอลลาร์ฮ่องกงและภาษีอื่น ๆ ตามข้อบังคับท้องถิ่น
การวิเคราะห์อุตสาหกรรมฮ่องกง:อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็น
อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็นของฮ่องกง ได้แก่ รถยนต์ การศึกษา การท่องเที่ยว การจัดเลี้ยง เครื่องแต่งกาย และภาคส่วนอื่นๆ อีกมากมาย จากบริษัทจดทะเบียน 643 แห่งนั้น 35% เป็นบริษัทในจีนแผ่นดินใหญ่และคิดเป็น 65% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด ดังนั้นอุตสาหกรรมนี้จึงได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากเศรษฐกิจจีน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด
ไม่มีข้อมูล
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม
สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
กรุงเทพฯ--29 เม.ย.--รอยเตอร์
ดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 34 ปีเมื่อเทียบกับเยนในวันศุกร์ โดยได้รับแรงหนุนบางส่วนจากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐที่ไม่ได้ชะลอตัวลง และรายงานตัวเลขเงินเฟ้อดังกล่าวก็ช่วยสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มที่จะเลื่อนเวลาในปรับลดอัตราดอกเบี้ยออกไป ทั้งนี้ สำนักงานวิเคราะห์เศรษฐกิจ (BEA) ในกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า ดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งถือเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่เฟดนิยมใช้ ปรับขึ้น 0.3% ในเดือนมี.ค.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งตรงกับตัวเลขคาดการณ์ในตลาด หลังจากปรับขึ้น 0.3% ในเดือนก.พ. ส่วนดัชนี PCE แบบเทียบรายปีปรับขึ้น 2.7% ในเดือนมี.ค. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 2.6% หลังจากปรับขึ้น 2.5% ในเดือนก.พ.เมื่อเทียบรายปี ทางด้านดัชนี PCE พื้นฐานที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงานปรับขึ้น 0.3% ในเดือนมี.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากปรับขึ้น 0.3% ในเดือนก.พ. ส่วนดัชนี PCE พื้นฐานแบบเทียบรายปีปรับขึ้น 2.8% ในเดือนมี.ค. หลังจากปรับขึ้น 2.8% ในเดือนก.พ.เมื่อเทียบรายปี Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 105.96 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 105.60 ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 158.33 เยนในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ โดยพุ่งขึ้นจากระดับปิดตลาดวันพฤหัสบดีที่ 155.65 เยน หลังจากทะยานขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ 158.43 เยน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.ปี 1990 เป็นต้นมา หรือจุดสูงสุดรอบ 34 ปี และเทียบกับจุดต่ำสุดของวันที่ 154.97 เยน โดยดอลลาร์/เยนปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้น 2.39% จากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่กลางเดือนม.ค.
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0692 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันศุกร์ โดยร่วงลงจาก 1.0729 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี แต่ยูโรปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการปรับขึ้น 0.36% จากสัปดาห์ที่แล้ว
ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นในวันศุกร์ โดยได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นบริษัทขนาดยักษ์ในกลุ่มเติบโต หลังจากบริษัทแอลฟาเบทและบริษัทไมโครซอฟท์เปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสที่แข็งแกร่ง และหลังจากรัฐบาลสหรัฐเปิดเผยอัตราเงินเฟ้อในระดับปานกลาง โดยหุ้นแอลฟาเบทพุ่งขึ้น 10.22% ในวันศุกร์ และทะยานขึ้นแตะสถิติสูงสุดได้ในระหว่างวัน หลังจากแอลฟาเบทประกาศจ่ายเงินปันผลครั้งแรก, ประกาศโครงการซื้อคืนหุ้นขนาด 7.0 หมื่นล้านดอลลาร์ และประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกที่ดีเกินคาด โดยการพุ่งขึ้นของหุ้นแอลฟาเบทในวันศุกร์ส่งผลให้มูลค่าในตลาดของแอลฟาเบททะยานขึ้นเหนือระดับ 2 ล้านล้านดอลลาร์ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2021 เป็นต้นมา ทางด้านหุ้นไมโครซอฟท์พุ่งขึ้น 1.8% ในวันศุกร์ หลังจากไมโครซอฟท์ประกาศผลกำไรและรายได้รายไตรมาสที่ดีเกินคาด โดยได้รับแรงหนุนจากการที่ไมโครซอฟท์นำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในบริการคลาวด์ของไมโครซอฟท์ นอกจากนี้ หุ้นบริษัทขนาดยักษ์แห่งอื่น ๆ ก็ทะยานขึ้นด้วยเช่นกัน โดยหุ้นอะเมซอทดอทคอมพุ่งขึ้น 3.4%, หุ้นเอ็นวิเดียทะยานขึ้น 5.8% และหุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์บวกขึ้น 0.4% อย่างไรก็ดี หุ้นบริษัทแอปเปิลปรับลง 0.3% และหุ้นบริษัทเทสลาดิ่งลง 1.1% ในวันศุกร์ ทั้งนี้ ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น หุ้น 6 กลุ่มใหญ่ปิดตลาดวันศุกร์ในแดนบวก โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มบริการการสื่อสาร, กลุ่มเทคโนโลยี, กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย และกลุ่มวัสดุ ทางด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีร่วงลงจาก 4.706% ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี สู่ 4.669% ในช่วงท้ายวันศุกร์ หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า อัตราเงินเฟ้อปรับขึ้นปานกลางในเดือนมี.ค. Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.40% สู่ 38,239.66
ดัชนี S&P 500 ปิดพุ่งขึ้น 1.02% สู่ 5,099.96 โดยดัชนีปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้นรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ย. 2023 และดัชนีปิดตลาดสัปดาห์นี้ในแดนบวกหลังจากปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนลบมานานติดต่อกัน 3 สัปดาห์
ดัชนี Nasdaq ปิดทะยานขึ้น 2.03% สู่ 15,927.90 โดยดัชนีปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้นรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ย. 2023 และดัชนีปิดตลาดสัปดาห์นี้ในแดนบวกหลังจากปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนลบมานานติดต่อกัน 4 สัปดาห์
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ปรับขึ้นในวันศุกร์ โดยได้รับแรงหนุนจากความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง ในขณะที่อิสราเอลเร่งดำเนินการโจมตีทางอากาศต่อเมืองราฟาห์ในเขตกาซาในวันพฤหัสบดี และนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอลกล่าวว่า คำตัดสินใด ๆ ของศาลอาญาระหว่างประเทศที่มีต่อกรณีที่กลุ่มฮามาสโจมตีอิสราเอลในวันที่ 7 ต.ค. 2023 และต่อการที่กองทัพอิสราเอลโจมตีเขตกาซา จะไม่ส่งผลกระทบต่อปฏิบัติการของอิสราเอล แต่จะ "เป็นการสร้างแบบอย่างที่เป็นอันตราย" นอกจากนี้ กองทัพอิสราเอลก็แถลงในวันศุกร์ว่า กองทัพอากาศได้โจมตีเขตเวสท์เบคาในเลบานอนและได้สังหารนักรบรายหนึ่งด้วย ทั้งนี้ ราคาน้ำมันปรับขึ้นได้ไม่มากนักในวันศุกร์ เนื่องจากราคาน้ำมันได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ และจากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐ เพราะตัวเลขเงินเฟ้อดังกล่าวทำให้นักลงทุนปรับลดการคาดการณ์เรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนมิ.ย.ปรับขึ้น 28 เซนต์ หรือ 34% มาปิดตลาดที่ 83.85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมิ.ย.ที่ตลาดกรุงลอนดอนปรับขึ้น 49 เซนต์ หรือ 0.55% มาปิดตลาดที่ 89.50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 5.94 ดอลลาร์ สู่ 2,337.72 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ หลังจากสหรัฐรายงานตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่ตรงตามความคาดหมาย อย่างไรก็ดี ราคาทองปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการดิ่งลง 2.21% จากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2023 โดยได้รับแรงกดดันจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านที่ไม่ได้ทวีความรุนแรงขึ้นตามความคาดหมายในสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีร่วงลงจาก 4.706% ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี สู่ 4.669% ในช่วงท้ายวันศุกร์ และการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) ก็มีส่วนช่วยหนุนราคาทองในวันศุกร์ด้วย ทางด้านนายไท หว่อง เทรดเดอร์โลหะอิสระกล่าวว่า "แนวโน้มของราคาทองขึ้นอยู่กับกระแสความต้องการซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย และคำสั่งซื้อจากภูมิภาคตะวันออกไกล" และเขาคาดว่าราคาทองจะสร้างฐานที่ระดับ 2,300-2,400 ดอลลาร์ในระยะสั้น Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
Tesla ค่ายรถ EV ยักษ์ใหญ่ เล็งใช้แผนที่นำทาง Baidu (Google ของจีน) พร้อมจ่อขออนุมัติระบบขับขี่อัตโนมัติในจีน ผลลัพธ์จากภารกิจ ‘อีลอน มัสก์’ ดอดเยือนแดนมังกร
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานอ้างแหล่งข่าวใกล้ชิด 2 รายในวันนี้ (29 เม.ย.) ว่า “Baidu” (ไป่ตู้) บริษัทเสิร์ชเอนจินยักษ์ใหญ่ของจีน บรรลุข้อตกลงกับ “Tesla” (เทสลา) บริษัทรถยนต์ไฟฟ้า (EV) รายใหญ่ของสหรัฐ เพื่ออนุญาตให้ Tesla เข้าถึงการเก็บข้อมูลระบบแผนที่นำทางบนท้องถนนในจีน
แหล่งข่าวเผยว่า ข้อตกลงดังกล่าวเป็นใบเบิกทางขั้นสุดท้ายสำหรับระบบช่วยเหลือคนขับของ Tesla ซึ่งบริษัทเรียกว่า “Full Self Driving” (FSD) หรือระบบขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ ให้สามารถเปิดให้บริการในจีนได้ และทาง Baidu จะให้ Tesla ร่วมใช้งานระบบนำทางระดับช่องจราจรของตน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในข้อตกลงนี้ด้วย
- ระบบแผนที่นำทางของ Baidu ที่เตรียมใช้กับรถ Tesla ในจีน (เครดิตภาพ: Bloomberg) -
นอกจากนั้น ข้อตกลงระหว่าง Tesla กับ Baidu ยังมีขึ้นไม่นานหลังจาก “อีลอน มัสก์” ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) Tesla เดินทางเยือนจีนอย่างเงียบ ๆ และได้พบปะกับนายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
แหล่งข่าวระบุว่า มัสก์กำลังหาทางให้ทางการจีนอนุมัติการเปิดใช้งานซอฟต์แวร์ FSD ในจีน และขออนุญาตโอนย้ายข้อมูลข้ามพรมแดนระหว่างการพบปะกับบรรดาเจ้าหน้าที่จีนครั้งล่าสุดด้วย
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าข้อมูลต่าง ๆ ที่ถูกเก็บตามข้อตกลงดังกล่าว จะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ Tesla หรือ Baidu
อ้างอิง: Reuters
“อีลอน มัสก์” จะสามารถทำให้“เทสลา”กลับมาเป็นเบอร์ 1 ในตลาด “อีวี” อีกครั้งได้มั้ย เมื่อแข่งขันดุเดือด “จีน” กำลังครองตลาดด้วยราคาถูกกว่า หลังจากยอดขายย่ำแย่กับแหล่งรายได้ที่สำคัญในอนาคตยังเอาแน่ไม่ได้ว่าจะเป็น รถไฟฟ้าราคาถูก ไซเบอร์ทรัก หรือโรโบแท็กซี่กันแน่ ?
เทสล่า (Tesla Inc.) เคยเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ด้วยการพิสูจน์ให้เห็นว่าการขายรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่เกิดขึ้นจริงพร้อมกับสร้างกำไรมหาศาล
แต่ตลอดทั้งปี 2567 นักลงทุนต่างตั้งคำถามเกี่ยวกับอนาคตของเทสา เพราะราคาหุ้นร่วงลงอย่างหนัก ท่ามกลางยอดขายที่ทรุดตัว สัญญาณที่สับสนเกี่ยวกับกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ และความกังวลว่าไลน์ผลิตภัณฑ์รุ่นเก่าของบริษัท ไม่สามารถตามทันคู่แข่งที่ดุเดือดได้
อีลอน มัสก์ จะพาเทสล่าไปทางไหน?
“อีลอน มัสก์” ซีอีโอของเทสลา พยายามมุ่งการพัฒนาไปสู่ Robo taxi หรือ “แท็กซี่ไร้คนขับ” มากกว่าการวางแผนพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัด ที่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งอย่างบีวายดี (BYD Co.) จากจีน ทั้งๆ ที่ ซอฟต์แวร์ช่วยขับอัตโนมัติของเทสล่า ที่เรียกว่า Full Self-Driving ยังคงต้องการการควบคุมดูแลจากมนุษย์อยู่
ล่าสุดมัสก์ พยายามส่งสัญญาณว่าเป้าหมายอันดับ 1 ของบริษัท คือ เทสลากำลังกลายเป็นบริษัทปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับ
"ถ้าใครไม่เชื่อว่าเทสล่าจะสามารถแก้ไขปัญหารถยนต์ไร้คนขับได้ ผมคิดว่าพวกเขาไม่ควรเป็นนักลงทุนในบริษัท" มัสกกล่าวในระหว่างการประชุมรายได้ประจำวันที่ 23 เมษายน "เราจะทำได้ และเรากำลังทำอยู่"
ความท้าทายที่เทสลากำลังเผชิญ
แม้ว่าอีลอน มัสก์ จะประกาศว่าเทสลากำลังมุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับ แต่ในขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าพัฒนาเป้าหมายอันดับ 1 ของบริษัท พร้อมกับพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นประหยัดตามที่นักลงทุนเรียกร้อง โดยรถยนต์รุ่นใหม่เหล่านี้จะใช้สายการผลิตเดียวกับรุ่นปัจจุบัน และมีกำหนดวางจำหน่ายภายในช่วงต้นปี 2568 หรืออาจจะเร็วกว่านั้น
อย่างไรก็ตาม เทสลายังคงต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ซึ่งรวมถึง อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคและการแข่งขันที่รุนแรงจากทั้งรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (hybrid gas-electric vehicles)
ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าลดลง
กลุ่มลูกค้าเบื้องต้นของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ชื่นชอบเทคโนโลยี มีรายได้สูง และใช้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นคันที่สอง
ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมระบุว่า ขณะนี้กลุ่มลูกค้าเหล่านี้ได้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้ากันอย่างเพียงพอแล้ว ส่งผลให้ความต้องการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตช้าลง ยกตัวอย่างเช่น ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกา เพิ่มขึ้น 60% ในปี 2565 และ 47% ในปี 2566 แต่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 11% ในปี 2567 ตามข้อมูลคาดการณ์ของ UBS Group AG
ขณะที่ ยอดส่งมอบรถยนต์ของเทสลดาวลง 8.5% ในไตรมาสแรก เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งถือว่าต่ำกว่าประมาณการเฉลี่ยของ Bloomberg มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา
"อัตราการนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ทั่วโลกกำลังเผชิญแรงกดดัน และผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ อีกหลายรายกำลังลดการผลิต EV และหันไปผลิตรถยนต์ไฮบริดแบบปลั๊กอินแทน ในขณะที่เรามองว่านี่ไม่ใช่กลยุทธ์ที่ถูกต้อง และรถยนต์ไฟฟ้าจะครองตลาดในที่สุด" มัสกกล่าวในการประชุมรายได้ประจำไตรมาสแรก
โดยยอดส่งมอบรถยนต์ที่ลดลงในไตรมาสแรก ถือเป็นเรื่องที่ผิดปกติสำหรับเทสล่า เพราะว่าการเติบโตเป็นหัวใจสำคัญของมูลค่าบริษัทฯ ในสายตาของนักลงทุน ราว 79% ของมูลค่าบริษัทฯ ในปัจจุบัน ขึ้นอยู่กับศักยภาพในการทำกำไรในอนาคต ตามการวิเคราะห์ของ DataTrek
นำมาซึ่งคำถามของรัคำถามกลงทุนที่ว่า “แหล่งที่มาของการเติบโตในอนาคตจะมาจากอะไร ?”
เพราะรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดของเทสล่า อย่าง ไซเบอร์ทรัก (Cybertruck) รถกระบะไฟฟ้าตัวถังสแตนเลสสตีล กำลังถูกเรียกคืนเพื่อแก้ไขปัญหาคันเร่งที่ผิดปกติ และยังไม่ได้วางจำหน่ายในปริมาณมาก
ความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของบริษัท ส่งผลให้เทสล่ากลายเป็นหนึ่งในหุ้นที่มีผลประกอบการแย่ที่สุดในดัชนี S&P 500 ในปีนี้ ถึงแม้ว่าราคาหุ้นจะร่วงลง แต่เทสลาก็ยังคงเป็นหุ้นที่มีราคาแพงที่สุดเมื่อเทียบกับกำไรในกลุ่มบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ 7 บริษัท (Magnificent 7)
ผู้สนับสนุนเทสล่ามองว่า บริษัทฯ มีมูลค่าเหมาะสมกับราคาขาย เนื่องจากอนาคตของรถยนต์คือรถยนต์ไฟฟ้า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังผลักดันให้รถยนต์ไฟฟ้าคิดเป็นอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของยอดขายรถยนต์ใหม่ทั้งหมดในสหรัฐอเมริกาภายในปี 2573 และ เทสล่ายังคงเป็นผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอเมริกันรายเดียวที่ทำกำไร และผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น
การแข่งขันที่ทวีความรุนแรง
ในช่วงที่ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ลดลง กลับมีรถยนต์ EV รุ่นใหม่หลายสิบรุ่น ทะยอยเข้าสู่ตลาดสหรัฐอเมริกา
S&P Global ระบุว่า ขณะนี้มีรถยนต์ EV อย่างน้อย 51 รุ่น วางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา ซึ่งรวมถึง Tesla Model S, X, 3 และ Y เพิ่มขึ้นจาก 32 รุ่น เมื่อปีที่แล้ว ด้าน Cox Automotive ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยด้านอุตสาหกรรม คาดการณ์ว่าจะมีรถยนต์ EV รุ่นใหม่ อีกอย่างน้อย 70 รุ่น เข้าสู่ตลาดภายในปลายปี 2568 และส่วนแบ่งการตลาดรถยนต์ EV ของ Tesla ในสหรัฐอเมริกา อยู่ที่ประมาณ 51% ในไตรมาสแรก ซึ่งลดลงจากเกือบ 62% เมื่อเทียบเป็นรายปี
การแข่งขันนอกสหรัฐฯ รุนแรงยิ่งกว่า เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์จีนครองตลาดอยู่เกือบครึ่งหนึ่งของรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายทั่วโลกเป็นแบรนด์จีน โดย BYD แบรนด์อันดับหนึ่งของจีน มียอดขายรถยนต์มากกว่าเทสล่าในไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 แม้ว่าเทสล่าจะกลับมาเป็นผู้นำในไตรมาสต่อมาก็ตาม และแทบไม่มีรถยนต์ไฟฟ้าจีนรุ่นใดวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากต้องเสียภาษีนำเข้าถึง 25%
จุดแข็งของจีนในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าคือ “แบตเตอรี่” ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่แพงที่สุดของรถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ในจีนมีราคาถูกกว่ามาก เนื่องจากจีนควบคุมการขุดแร่และการแปรรูปวัตถุดิบที่จำเป็น เช่น ลิเทียม โคบอลต์ แมงกานีส และแร่ธาตุหายาก
นักวิเคราะห์จาก UBS ระบุว่า BYD มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าแบรนด์อเมริกาเหนือและยุโรปมากถึง 25% ในปี 2566 โดยรถยนต์รุ่นที่ถูกที่สุดของ BYD มีราคาอยู่ที่ 10,000 ดอลลาร์ ในขณะที่ Tesla Model Y รุ่นที่ถูกที่สุด ซึ่งเป็นรถยนต์ที่มียอดขายสูงสุดในโลกเมื่อปีที่แล้ว มีราคาประมาณ 35,000 ดอลลาร์ ในสหรัฐฯ หลังจากหักเครดิตภาษีของรัฐบาลกลาง
แม้ว่ามักส์ได้ลดราคาทุกรุ่นของเทสล่าลงหลายครั้ง เพื่อรับมือกับการแข่งขันที่ทวีความรุนแรง ซึ่งช่วยชะลอการสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดของเทสล่าได้ แต่ส่งผลกระทบอย่างมากต่ออัตรากำไร
แผนการผลิตของ Tesla คืออะไรกันแน่
เดิมที คาดว่ารถยนต์รุ่นใหม่ของเทสล่า ที่จะช่วยเพิ่มยอดขายจะเป็นรุ่นราคาประหยัดกว่า ในราคาประมาณ 25,000 ดอลลาร์
มัสก์เริ่มพูดถึงรถยนต์รุ่นดังกล่าวเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนกันยายน 2563 โดยระบุว่า เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เทสลากำลังพัฒนา จะช่วยให้สามารถผลิต EV ในราคานั้นได้ภายในระยะเวลาประมาณ 3 ปี
ล่าสุดเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา มัสก กล่าวว่า เทสล่า "มีความคืบหน้าไปมาก" ในการพัฒนารถยนต์รุ่นประหยัด
แต่ในช่วงต้นเดือนเมษายน สำนักข่าว Reuters รายงานว่า เทสล่าได้ "พักการพัฒนา" รถยนต์รุ่นราคาถูก เพื่อมุ่งเน้นไปที่รถ “แท็กซี่ไร้คนขับ” จึงเป็นการสร้างความสับสนให้กับนักลงทุนและสร้างความตึงเครียดภายในบริษัทฯ เกี่ยวกับความต้องการของมัสกที่จะมุ่งเน้นไปที่รถแท็กซี่ไร้คนขับ
“นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่” วอลเตอร์ ไอแซคสัน ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับเทสล่า ซึ่งวางจำหน่ายเมื่อเดือนกันยายน ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า มหาเศรษฐีคนดังกล่าวได้ "ปฏิเสธแผนการ" ในการผลิตโมเดลราคาประหยัดหลายครั้ง เมื่อนักวิเคราะห์ถามถึงรายละเอียดของรถยนต์รุ่นใหม่ราคาประหยัดในระหว่างการประชุมรายได้ประจำไตรมาสแรก มัสก์ ก็ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลใดๆ เช่นกัน
ตอนนี้เทสลากล่าวว่า บริษัทฯ กำลังเร่งแผนการผลิตโมเดลใหม่ราคาประหยัด โดยใช้บางส่วนของแพลตฟอร์มรุ่นใหม่ ที่เดิมทีมีกำหนดการผลิตในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ซึ่งการใช้สายการผลิตที่มีอยู่เดิมจะช่วยให้เทสล่าสามารถปรับแผนการผลิตให้เร็วขึ้นได้
สำนักข่าว Bloomberg News รายงานเมื่อวันที่ 22 เมษายน ว่า รถยนต์รุ่นใหม่เหล่านี้อาจเป็นรุ่นย่อยของ Model Y และ Model 3 ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 2 รุ่นที่ได้รับความนิยมสูงสุดของบริษัทฯ ที่มาพร้อมกับราคาที่ถูกลง
“ระบบ Auto Pilot” เสถียรมากพอที่จะพัฒนาไปเป็น “แท็กซี่ไร้คนขับ” เลยหรอ ?
โดยแนวคิดในการสร้างบริการรถแท็กซี่ไร้คนขับ มีการพูดถึงภายในเทสลมานานอย่างน้อย 8 ปี
อีลอน มัสก์ เชื่อมั่นอย่างยิ่งในความก้าวหน้าที่เทสลาได้วางแผนให้บริษัทฯ พัฒนารถยนต์ไฟฟ้าหลายล้านคันในรถประเภทรถแท็กซี่ไร้คนขับ ซึ่งเป็นบริการที่เลียนแบบบริษัทรถรับจ้างอย่าง Uber Technologies Inc.
ในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นในไตรมาสแรก เทสลากล่าวว่า "อนาคตไม่เพียงแต่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นรถยนต์ไร้คนขับด้วย"
"เราเชื่อว่าการนำรถยนต์ไร้คนขับมาใช้ในวงกว้างเป็นไปได้ด้วยข้อมูลจากรถยนต์หลายล้านคัน และคลัสเตอร์การฝึกปัญญาประดิษฐ์ขนาดใหญ่ ซึ่งเรามีอยู่แล้วและยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง"
แต่ถึงกระนั้น บริษัทฯ ยังไม่สามารถนำเสนอฟีเจอร์ที่สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องมีผู้ขับคอยมองถนนและควบคุมพวงมาลัย เทสล่าจำเป็นต้องเรียกคืนรถยนต์หลายล้านคัน และเผชิญคดีความมากมาย เกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับระบบช่วยเหลือการขับขี่ ซึ่งแยกจำหน่ายต่างหาก และกลายเป็นจุดผิดหวังด้านรายได้อย่างต่อเนื่อง
“อีลอน มัสก์” ก็คือ “อีลอน มัสก์”
อีลอน มัสก์ และเทสล่า ถูกมองเป็นภาพเดียวกันมานานแล้ว เขาดำรงตำแหน่ง CEO ของบริษัทฯ ตั้งแต่ปี 2551 และเป็นบุคคลสำคัญของบริษัท ผลงานในการเปลี่ยนบริษัทสตาร์ทอัพให้กลายเป็นเครื่องจักรทำเงิน ทำให้เทสลากลายเป็นที่นิยมในกลุ่มนักลงทุนมืออาชีพและนักลงทุนรายย่อยจำนวนมาก
แต่ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดผิดปกติ ระหว่างเขากับคณะกรรมการบริษัทฯ ที่มีหน้าที่กำกับดูแลเขา กลับดึงดูดความสนใจในแง่ลบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแพ็คเกจเงินเดือนมูลค่า 5.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ของมัสก์ ซึ่งบริษัทฯ กำลังต่อสู้เพื่อปกป้อง หลังจากที่ศาลมีคำตัดสินปฏิเสธ ไปจนถึงการกล่าวหาว่าเขามีการใช้สารเสพติด
กลุ่มผู้ถือหุ้นได้แสดงความกังวลอื่นๆ อีก เช่นกล่าวว่ามัสก์ ฟุ้งซ่านกับภาระหน้าที่ในบริษัทอื่นอีกห้าแห่งที่เขาดำรงตำแหน่ง เช่น การเข้าซื้อกิจการ Twitter Inc. แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เขาเปลี่ยนชื่อเป็น X อย่างวุ่นวายในปี 2565
กรุงเทพฯ--26 เม.ย.--รอยเตอร์
ดอลลาร์สหรัฐร่วงลงเมื่อเทียบกับเงินหลายสกุลยกเว้นเยนในวันพฤหัสบดี หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐเติบโต 1.6% ในไตรมาสแรกเมื่อเทียบเป็นตัวเลขเต็มปี (annualized) ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ +2.4% แต่ดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐานปรับขึ้น 3.7% ในไตรมาสแรก ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ +3.4% และปัจจัยนี้อาจจะเป็นอุปสรรคขัดขวางธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ หลังจากรัฐบาลสหรัฐรายงานตัวเลขจีดีพี นักลงทุนในตลาดสัญญาล่วงหน้าก็คาดการณ์ว่า มีโอกาส 58% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. โดยปรับลดลงจากโอกาส 70% ที่เคยคาดไว้ในช่วงเย็นวันพุธ และนักลงทุนยังคาดการณ์กันอีกด้วยว่า มีโอกาส 68% ที่เฟดอาจจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 6-7 พ.ย. ซึ่งจะถือเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 105.60 ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี โดยอ่อนค่าลงจาก 105.80 ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ หลังจากปรับขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ 106.00
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 155.65 เยนในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี โดยแข็งค่าขึ้นจากระดับปิดตลาดวันพุธที่ 155.34 เยน หลังจากดิ่งลงแตะจุดต่ำสุดของวันที่ 155.31 เยน และหลังจากพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ 155.75 เยน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดรอบ 34 ปี หรือจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0729 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี โดยปรับขึ้นจาก 1.0697 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพุธ
ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลงในวันพฤหัสบดี โดยได้รับแรงกดดันจากรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐที่ระบุว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐเติบโต 1.6% ในไตรมาสแรกเมื่อเทียบเป็นตัวเลขเต็มปี (annualized) ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี และอยู่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ +2.4% แต่ดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐานปรับขึ้น 3.7% ในไตรมาสแรก ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ +3.4% โดยรายงานนี้ส่งผลให้นักลงทุนในตลาดเงินคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพียง 0.36% ในปีนี้ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐก็ได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากหุ้นบริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์ที่ดิ่งลง 10.56% ในวันพฤหัสบดีด้วย หลังจากเมตาเปิดเผยผลประกอบการที่น่าผิดหวัง ทางด้านหุ้นอีก 3 ตัวในกลุ่ม Magnificent Seven ของสหรัฐก็รูดลงในวันพฤหัสบดีด้วยเช่นกัน ซึ่งรวมถึงหุ้นแอลฟาเบทที่ดิ่งลง 1.97%, หุ้นอะเมซอนดอทคอมที่รูดลง 1.65% และหุ้นไมโครซอฟท์ที่ดิ่งลง 2.45% ในวันพฤหัสบดี ทั้งนี้ การดิ่งลงของหุ้นเมตาส่งผลให้ดัชนีหุ้นกลุ่มการสื่อสารของสหรัฐกลายเป็นหุ้นกลุ่มใหญ่ที่รูดลงมากที่สุดในวันพฤหัสบดี ส่วนหุ้นกลุ่มอื่น ๆ ที่รูดลงในวันพฤหัสบดีรวมถึงหุ้นกลุ่มการแพทย์, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์, กลุ่มการเงิน, กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น และกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ทางด้านหุ้นบริษัทอินเตอร์เนชันแนล บิสเนส แมชชีนส์ (IBM) ดิ่งลง 8% หลังจาก IBM ประกาศเรื่องการทำข้อตกลงขนาด 6.4 พันล้านดอลลาร์เพื่อเข้าซื้อบริษัทฮาชิ คอร์ป อย่างไรก็ดี หุ้นนิวมอนท์ ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองแร่ทองที่ใหญ่ที่สุดในโลกพุ่งขึ้น 12% หลังจากนิวมอนท์รายงานผลกำไรไตรมาสแรกที่สูงเกินคาด โดยได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของราคาทองในช่วงที่ผ่านมา Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดดิ่งลง 0.98% สู่ 38,085.80
ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.46% สู่ 5,048.42
ดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลง 0.64% สู่ 15,611.76
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ปรับขึ้นในวันพฤหัสบดี โดยได้รับแรงหนุนจากความกังวลเรื่องอุปทานน้ำมันในภูมิภาคตะวันออกกลาง ในขณะที่อิสราเอลดำเนินการโจมตีทางอากาศต่อเมืองราฟาห์ในภาคใต้ของเขตกาซา หลังจากอิสราเอลประกาศว่าจะอพยพพลเรือนออกจากเมืองราฟาห์และจะเริ่มการโจมตีอย่างเต็มรูปแบบ ถึงแม้ชาติพันธมิตรเตือนว่าการทำเช่นนี้จะส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ ราคาน้ำมันได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากถ้อยแถลงของเจเน็ต เยลเลน รมว.คลังสหรัฐที่ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังคงอยู่ในภาวะที่ดีมาก โดยเยลเลนได้กล่าวต่อรอยเตอร์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่งกว่าที่ตัวเลขไตรมาสแรกบ่งชี้ไว้ และเธอกล่าวเสริมว่า อาจจะมีการปรับทบทวนตัวเลขอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจประจำไตรมาสแรกให้สูงขึ้นในเวลาต่อมา หลังจากสหรัฐได้รับข้อมูลเพิ่มเติม และอัตราเงินเฟ้อก็จะชะลอตัวลงสู่ระดับปกติมากกว่านี้ หลังจากปัจจัยที่ผิดปกติบางประการทำให้เศรษฐกิจเติบโตในไตรมาสแรกในอัตราที่ต่ำที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนมิ.ย.ปรับขึ้น 76 เซนต์ หรือ 0.9% มาปิดตลาดที่ 83.57 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมิ.ย.ที่ตลาดกรุงลอนดอนพุ่งขึ้น 99 เซนต์ หรือ 1.1% มาปิดตลาดที่ 89.01 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 15.96 ดอลลาร์ สู่ 2,331.78 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี โดยราคาทองได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ ถึงแม้ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งสูงขึ้น หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่สูงเกินคาดในไตรมาสแรก ทั้งนี้ ยอดการนำเข้าทองสุทธิจากฮ่องกงสู่จีนพุ่งขึ้น 40% ในเดือนมี.ค.เมื่อเทียบรายเดือน โดยพุ่งขึ้นสู่ 55.836 ตันในเดือนมี.ค. จาก 39.826 ตันในเดือนก.พ. โดยจีนถือเป็นประเทศผู้ใช้ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
หุ้นเทสลาพุ่งแรง 11% สวนทางข่าวรายได้ไตรมาส 1 พลาดเป้า หลังอีลอน มัสก์ ประกาศจะเดินหน้าผลิต 'รถยนต์อีวีราคาถูก' ภายในต้นปีหน้า สยบข่าวปล่อยก่อนหน้านี้ว่าทิ้งแผนโลว์คอสต์หันไปมุ่งโรโบแท็กซี่
ราคาหุ้นของบริษัท "เทสลา อิงค์" (Tesla) ปรับตัวขึ้นทันทีถึง 11% ระหว่างการซื้อขายเมื่อวานนี้ (23 เม.ย.) ภายหลัง "อีลอน มัสก์" ซีอีโอของเทสลาประกาศจะเดินหน้าแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูก (affordable EV) ออกมาเร็วกว่าที่คาดภายในต้นปีหน้า 2568 ซึ่งเป็นการสยบรายงานข่าวของรอยเตอร์สที่เคยเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า มัสก์จะยกเลิกแผนอีวีโลว์คอสต์และเบนเข็มไปเน้นโรโบแท็กซี่แทน
มัสก์กล่าวกับผู้ถือหุ้นว่า บริษัทมีแผนจะเริ่มการผลิตรถอีวีราคาถูกรุ่นใหม่ในช่วงต้นปี 2568 หากไม่ใช่ปลายปีนี้ ซึ่งนับเป็นการมาถึงของอีวีโลว์คอสต์ที่เร็วขึ้น จากเดิมที่มัสก์เคยส่งสัญญาณก่อนหน้านี้ว่าอาจจะเริ่มได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568
บริษัทระบุว่ากำลังเร่งเปิดตัว "รถยนต์ใหม่ซึ่งรวมถึงรุ่นที่มีราคาไม่แพงให้มากขึ้น" ซึ่งจะสามารถดำเนินการผลิตได้ในสายการผลิตเดียวกันกับกลุ่มผลิตภัณฑ์ปัจจุบันของเทสลา โดยบริษัทตั้งเป้าที่จะ "ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่" จากกำลังการผลิตในปัจจุบัน และเพื่อให้บรรลุ "การเติบโตมากกว่า 50% จากการผลิตในปี 2023" ก่อนที่จะลงทุนในสายการผลิตใหม่
ซีอีโอและผู้ก่อตั้งเทสลายังย้ำถึงการลงทุนของบริษัทในโครงสร้างพื้นฐานด้านปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) และระบุว่าเทสลากำลังอยู่ระหว่างการเจรจาพูดคุยกับ "บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่รายหนึ่ง" เพื่อขอใช้เทคโนโลยีระบบช่วยขับขี่ที่มีการทำตลาดในสหรัฐภายใต้ชื่อว่า Full Self-Driving (FSD) และเทสลายังมีการแสดงความคืบหน้าของการพัฒนาโรโบแท็กซีอีกด้วย
ผลประกอบการ Q1 แย่กว่าที่คาด
การประกาศแผนอีวีโลว์คอสต์อย่างเป็นทางการช่วยให้ผู้ถือหุ้นมีความหวังท่ามกลางข่าวร้ายในการแถลงผลประกอบการไตรมาส 1 ของเทสลา ซึ่งบริษัทมีรายรับลดลงถึง 9% ซึ่งพลาดเป้าจากที่ผลสำรวจนักวิเคราะห์ของบริษัท LSEG คาดการณ์เอาไว้ โดยเป็นการลดลงที่มากที่สุดในรอบ 12 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2555
ในผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2567 เทสลามีรายรับ 2.13 หมื่นล้านดอลลาร์ น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.215 หมื่นล้านดอลลาร์ และลดลงจากที่ทำได้ 2.517 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา
บริษัทมีกำไรสุทธิลดลงถึง 55% อยู่ที่ 1,130 ล้านดอลลาร์ จาก 2,510 ล้านในไตรมาสเดียวกันปีก่อน ขณะที่ีกำไรต่อหุ้น (EPS) 45 เซนต์ น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 51 เซนต์
เทสลายังคาดการณ์ถึงทิศทางปี 2568 ที่แย่ลง โดยเปิดเผยกับนักลงทุนว่า การเติบโตของยอดขายในปีนี้อาจน้อยกว่าการเติบโตของปี 2567 อย่างเห็นได้ชัด
ทั้งนี้ก่อนการรายงานผลประกอบการ ราคาหุ้นของเทสลาดิ่งลงไปแล้วมากกว่า 40% ในปีนี้ จนลงไปแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค. 2566 จากความกังวลเรื่องตัวเลขการส่งมอบรถที่ลดลง การแข่งขันที่ตึงเครียดกับค่ายรถไฟฟ้าจากจีน และกลยุทธ์การลดราคาอย่างต่อเนื่องของบริษัท ซึ่งเมื่อต้นเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา บริษัทเพิ่งรายงานยอดการส่งมอบรถยนต์ในไตรมาสแรกปีนี้ลดลงถึง 8.5% เมื่อเทียบปีที่แล้ว
ล่าสุดมีรายงานด้วยว่า บริษัทได้ประกาศ "เลย์ออฟ" พนักงาน 3,332 อัตราในแคลิฟอร์เนีย และอีก 2,688 ในออสติน รัฐเท็กซัส โดยเป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างตามที่บริษัทระบุก่อนหน้านี้ว่าจะมีการเลิกจ้างพนักงานทั่วโลกกว่า 10%
นิวยอร์ค--22 เม.ย.--รอยเตอร์
นักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐรอดูผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงบริษัทเทสลาที่เป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่จะรายงานผลประกอบการออกมาในวันที่ 23 เม.ย., บริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์ที่จะรายงานออกมาในวันที่ 24 เม.ย. และบริษัทไมโครซอฟท์กับบริษัทแอลฟาเบทที่จะรายงานผลประกอบการออกมาในวันที่ 25 เม.ย. โดยบริษัททั้ง 4 แห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทกลุ่ม "Magnificent 7" หรือบริษัทขนาดยักษ์ 7 แห่งของสหรัฐ และบริษัท 7 แห่งนี้เคยมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้น 24% ในปี 2023 อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐชะลอการพุ่งขึ้นในช่วงนี้โดยได้รับแรงกดดันจากการที่นักลงทุนปรับลดการคาดการณ์เรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทั้งนี้ ในส่วนของบริษัทที่เหลืออีก 3 แห่งในกลุ่ม Magnificent 7 นั้น บริษัทแอปเปิลกับบริษัทอะเมซอนดอทคอมจะรายงานผลประกอบการออกมาในสัปดาห์หน้า และบริษัทเอ็นวิเดียจะรายงานผลประกอบการออกมาในวันที่ 22 พ.ค. ในขณะที่หุ้นเอ็นวิเดียพุ่งขึ้นมาแล้ว 70% จากช่วงต้นปีนี้
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุวว่า ผลประกอบการของบริษัทกลุ่มนี้อาจจะถือเป็นบททดสอบที่สำคัญสำหรับการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐ เนื่องจากบริษัทกลุ่มนี้ครองน้ำหนักมากในดัชนี และหุ้นกลุ่มนี้ครองส่วนแบ่งสำคัญในพอร์ตลงทุน ถึงแม้ว่าการพุ่งขึ้นของหุ้นในตลาดสหรัฐขยายวงกว้างออกไปแล้วในปีนี้ก็ตาม โดยผู้จัดการกองทุนในผลสำรวจของแบงก์ ออฟ อเมริกา โกลบัล รีเสิร์ชระบุว่า หุ้นบริษัทขนาดยักษ์กลุ่มนี้ยังคงครองตำแหน่งการลงทุนที่มีการกระจุกตัวมากที่สุดในตลาด ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 เคยพุ่งขึ้นราว 10% จากช่วงต้นปีนี้ ก่อนจะลดช่วงบวกลงครึ่งหนึ่งสู่ 5% ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐยังคงลดลงได้ยาก และปัจจัยนี้ส่งผลให้นักลงทุนปรับลดการคาดการณ์เรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดยในตอนนี้นักลงทุนในตลาดสัญญาล่วงหน้าคาดว่า เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงรวมกันไม่ถึง 0.40% ในปีนี้ หลังจากที่เคยคาดการณ์ในช่วงต้นปี 2024 ว่า เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงรวมกัน 1.50% ในปี 2024
นักลงทุนจะรอดูดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันศุกร์ที่ 26 เม.ย.ด้วย ในขณะที่เฟดมักใช้ดัชนี PCE เป็นมาตรวัดภาวะเงินเฟ้อ โดยนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์คาดว่า ดัชนี PCE อาจปรับขึ้น 0.3% ในเดือนมี.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากปรับขึ้น 0.3% ในเดือนก.พ. และตัวเลขนี้อาจจะส่งผลกระทบต่อการประชุมกำหนดนโยบายของเฟดในวันที่ 30 เม.ย.-1 พ.ค.
หุ้นกลุ่ม Magnificent 7 ปรับตัวในทิศทางที่แตกต่างกันไปในปี 2024 หลังจากที่เคยพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในปี 2023 โดยหุ้นเทสลาดิ่งลงมาแล้วราว 40% จากช่วงต้นปีนี้ เนื่องจากนักลงทุนกังวลกับธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าของเทสลา แต่หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์พุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 40% ในปี 2024, หุ้นแอลฟาเบททะยานขึ้นมาแล้วราว 12% จากช่วงต้นปีนี้ และหุ้นไมโครซอฟท์บวกขึ้นมาแล้ว 7.5% จากช่วงต้นปีนี้ ทางด้านนักยุทธศาสตร์การลงทุนของธนาคารยูบีเอสคาดการณ์ไว้ในวันที่ 8 เม.ย.ว่า บริษัท 6 แห่งในกลุ่ม Magnificent 7 ยกเว้นบริษัทเทสลา อาจจะมีผลกำไรพุ่งขึ้นรวมกัน 42.1% ในไตรมาสแรก ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกนระบุว่า ถ้าหากไม่รวมหุ้นกลุ่ม Magnificent 7 แล้ว ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 ก็ปรับลดลงเมื่อเทียบรายปีในช่วง 4 ไตรมาสที่ผ่านมา ดังนั้นบริษัทกลุ่มนี้จึงมีความสำคัญต่อตลาดหุ้นสหรัฐเป็นอย่างมาก
บริษัทกว่า 300 แห่งในดัชนี S&P 500 จะรายงานผลประกอบการในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้า โดยมีการคาดการณ์กันว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจพุ่งขึ้น 9% ในปี 2024 ทั้งนี้ ค่าพีอีเรโชล่วงหน้าสำหรับบริษัทในดัชนี S&P 500 ยังคงอยู่ที่ระดับราว 20 เท่าของคาดการณ์ผลกำไรในปัจจุบัน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 15.7 เท่าเป็นอย่างมาก--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
จีนเตือน 'สงครามราคา' รถอีวี - ปลั๊กอินไฮบริด ปีนี้จ่อรุนแรงขึ้น เหตุผู้ผลิตแข่งกันส่งมอบ ดันปริมาณรถล้นตลาด
คณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน (NDRC) ซึ่งเป็นหน่วยงานวางแผนระดับสูงของจีน แถลงในวันนี้ (22 เม.ย.67) ว่า สงครามราคาในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) และรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้นในปี 2567 นี้ โดยสาเหตุสำคัญเป็นเพราะรถยนต์ล้นตลาด
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานอ้างตัวเลขคาดการณ์ของ NDRC ว่าในปีนี้จะมีการเปิดตัวรถยนต์ใหม่ราว 150 รุ่น ในจำนวนนี้มากกว่า 110 รุ่น จะเป็นรถยนต์พลังงานใหม่ (เอ็นอีวี) ซึ่งจะทำให้การแข่งขันทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
หน่วยงานของจีนประมาณการว่า ความต้องการรถยนต์พลังงานใหม่ ซึ่งรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด จะเพิ่มขึ้น 2.1 ล้านคันในปีนี้ แต่บีวายดี (BYD), ไอโต้ (Aito) และหลี่ ออโต้ (Li Auto) สามแบรนด์รถเอ็นอีวีชั้นนำ มีแผนจะเพิ่มยอดส่งมอบรถเป็น 2.3 ล้านคันในปีนี้ ซึ่งส่งสัญญาณภาวะรถยนต์ล้นตลาด
ขณะที่ปัจจัยต้นทุนแบตเตอรี่ที่ลดลงและต้นทุนต่อหน่วยที่ต่ำลงจะเป็นอีกสองสาเหตุหลักของการลดราคารถเอ็นอีวี โดยคาดว่าจะลดลงราว 5%-10% ในปีนี้ ที่นครเซินเจิ้น ทางตอนใต้ของจีน ที่มีอัตราการใช้รถยนต์ไฟฟ้าสูง
ข้อมูลระบุด้วยว่า บีวายดี และเดนซ่า (Denza) เป็นผู้นำในการลดราคารถยนต์เอ็นอีวี โดยปรับลดราคารถ 5 รุ่นลง 7.15%-9.7% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบกับราคาในช่วงต้นปีนี้ ขณะเดียวกัน หลี่ ออโต้ ก็ปรับลดราคารถ 4 รุ่น ตามรอยบีวายดี และเทสลา (Tesla) ด้วยเช่นกัน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน