ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
เพื่อเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็วและติดตามตลาดโฟกัสใน 15 นาที
ในโลกของมนุษยชาติ จะไม่มีคำกล่าวใด ๆ ที่ไม่มีจุดยืนใด ๆ หรือคำพูดใด ๆ ที่ไม่มีจุดประสงค์ใด ๆ
อัตราเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน และเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจเชิงนโยบายของธนาคารกลาง ทัศนคติและคำพูดของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยังมีอิทธิพลต่อการกระทำของเทรดเดอร์ในตลาดอีกด้วย
เงินทำให้โลกหมุนไป และสกุลเงินเป็นสินค้าถาวร ตลาดฟอเร็กซ์เต็มไปด้วยความประหลาดใจและความคาดหวัง
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
เพลิดเพลินกับกิจกรรมที่น่าตื่นเต้น ที่นี่ที่ FastBull
ข่าวด่วนล่าสุดและเหตุการณ์ทางการเงินทั่วโลก
ฉันมีประสบการณ์ 5 ปีในการวิเคราะห์ทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนามหภาคและการตัดสินแนวโน้มระยะกลางและระยะยาว ความสนใจของฉันอยู่ที่การพัฒนาของตะวันออกกลาง ตลาดเกิดใหม่ ถ่านหิน ข้าวสาลี และสินค้าเกษตรอื่นๆ
7 ปีของตลาดหุ้น การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โลหะมีค่า และประสบการณ์การซื้อขายและการวิเคราะห์อื่น ๆ โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐาน การสนับสนุนทางเทคนิค มีอคติต่อตรรกะธุรกรรมจากบนลงล่าง โดยเน้นที่วัฏจักรมหภาคและการควบคุมความเสี่ยง การคาดการณ์เชิงทฤษฎีอุปสงค์และอุปทานอเนกประสงค์ การเปลี่ยนแปลงของราคา สร้างสมดุลระหว่างผลกระทบของธุรกรรม การกระจายชิปและอารมณ์ตลาด และคงที่
อัปเดตล่าสุด
สร้างทัศนคติการลงทุนที่ดี
วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ปรัชญาการลงทุนของเขาประกอบด้วยการสร้างกรอบความคิดระยะยาว ขจัดญาณรบกวนของตลาด ไม่เก็งกำไร และเน้นย้ำว่าการลงทุนต้องมีมีจิตใจที่มั่นคงและเป้าหมายที่ชัดเจน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง
แม้ว่าระบบกฎหมายและกรอบการกำกับดูแลในฮ่องกงจะค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ตลาดหุ้นยังคงเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายพิเศษหลายประการ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่าง HKD และ USD นักลงทุนต่างชาติอาจเผชิญกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความผันผวนของนโยบายและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นฮ่องกงด้วย
โครงสร้างต้นทุนและภาษีเมื่อลงทุนในหุ้นฮ่องกง
ต้นทุนการซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมหุ้น ค่าอากรแสตมป์ ค่าธรรมเนียมการชำระบัญชี ฯลฯ สำหรับนักลงทุนต่างชาติอาจมีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินเพิ่มเติมเป็นดอลลาร์ฮ่องกงและภาษีอื่น ๆ ตามข้อบังคับท้องถิ่น
การวิเคราะห์อุตสาหกรรมฮ่องกง:อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็น
อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็นของฮ่องกง ได้แก่ รถยนต์ การศึกษา การท่องเที่ยว การจัดเลี้ยง เครื่องแต่งกาย และภาคส่วนอื่นๆ อีกมากมาย จากบริษัทจดทะเบียน 643 แห่งนั้น 35% เป็นบริษัทในจีนแผ่นดินใหญ่และคิดเป็น 65% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด ดังนั้นอุตสาหกรรมนี้จึงได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากเศรษฐกิจจีน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด
ไม่มีข้อมูล
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม
สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
กรุงเทพฯ--17 ก.ย.--รอยเตอร์
ดอลลาร์/เยนดิ่งลงแตะจุดต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปีในระหว่างช่วงการซื้อขายวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนคาดการณ์ว่า มีโอกาสมากยิ่งขึ้นที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% ในการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 17-18 ก.ย. โดยการคาดการณ์ดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลและหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทมส์ในสัปดาห์ที่แล้ว ทั้งนี้ นักลงทุนคาดการณ์ในตอนนี้ว่า มีโอกาส 67% ที่เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% สู่ 4.75-5.00% ในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. โดยโอกาสดังกล่าวพุ่งขึ้นจากระดับราว 15% ที่เคยคาดไว้ในสัปดาห์ที่แล้ว และนักลงทุนก็คาดการณ์ในตอนนี้ว่า มีโอกาส 33% ที่เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 100.70 ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยอ่อนค่าลงจาก 101.10 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 140.60 เยนในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยปรับลงจากระดับปิดตลาดวันศุกร์ที่ 140.82 เยน หลังจากดิ่งลงแตะ 139.58 เยนในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2023
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.1132 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันจันทร์ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 1.1076 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันศุกร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์และดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นในวันจันทร์ แต่ดัชนี Nasdaq ปรับลงในวันจันทร์ โดยได้รับแรงกดดันจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ในขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐดิ่งลง 0.95% ในวันจันทร์ และถือเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มใหญ่ที่ร่วงลงมากที่สุด ทางด้านหุ้นบริษัทแอปเปิลดิ่งลง 2.78% และถือเป็นหุ้นที่ถ่วงดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq ลงมากที่สุดในวันจันทร์ หลังจากนักวิเคราะห์ของบล.ทีเอฟ อินเตอร์เนชันแนลระบุว่า อุปสงค์สำหรับโทรศัพท์ไอโฟน 16 ของแอปเปิลอยู่ต่ำเกินคาด และความกังวลเรื่องอุปสงค์นี้ก็กดดันหุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิปของสหรัฐให้ดิ่งลงด้วย โดยดัชนีฟิลาเดลเฟียสำหรับหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐรูดลง 1.41% ในวันจันทร์ ในขณะที่หุ้นบริษัทเอ็นวิเดียดิ่งลง 1.95%, หุ้นบรอดคอมรูดลง 2.19% และหุ้นไมครอน เทคดิ่งลง 4.43% อย่างไรก็ดี ในบรรดาดัชนีหุ้นกลุ่มใหญ่ 11 กลุ่มในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น มีดัชนีหุ้นกลุ่มใหญ่เพียงแค่ 2 กลุ่มที่ปิดตลาดวันจันทร์ในแดนลบ ซึ่งได้แก่ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มใหญ่ที่พุ่งขึ้นมากที่สุดในวันจันทร์ คือดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินที่พุ่งขึ้น 1.22% และดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานที่ทะยานขึ้น 1.2% ทั้งนี้ นักลงทุนคาดการณ์ในตอนนี้ว่า มีโอกาส 67% ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% สู่ 4.75-5.00% ในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. ทางด้านหุ้นบริษัทอินเทล คอร์ปพุ่งขึ้น 6.36% ในวันจันทร์ หลังจากมีข่าวว่าอินเทลมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้รับเงินจากรัฐบาลกลางสหรัฐราว 3.5 พันล้านดอลลาร์เพื่อผลิตเซมิคอนดักเตอร์ให้กับกระทรวงกลาโหมสหรัฐ Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.55% สู่ 41,622.08 ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดใหม่
ดัชนี S&P 500 ปิดปรับขึ้น 0.13% สู่ 5,633.09 ซึ่งอยู่ห่างจากสถิติระดับปิดสูงสุดที่เคยทำไว้ในเดือนก.ค.ในระดับไม่ถึง 1%
ดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลง 0.52% สู่ 17,592.13
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX พุ่งขึ้นในวันจันทร์ โดยได้รับแรงหนุนจากพายุเฮอริเคนฟรานซีนที่ยังคงส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่องต่อการผลิตน้ำมันของสหรัฐในอ่าวเม็กซิโก โดยสำนักงานความปลอดภัยและการบังคับใช้ทางสิ่งแวดล้อม (BSEE) ของสหรัฐรายงานในวันจันทร์ว่า ยังคงมีการปิดการผลิตน้ำมันดิบกว่า 12% และมีการปิดการผลิตก๊าซธรรมชาติราว 16% ของสหรัฐในอ่าวเม็กซิโก โดยเป็นผลจากพายุเฮอริเคนฟรานซีน และปัจจัยบวกนี้ก็ช่วยบดบังแรงกดดันที่ราคาน้ำมันได้รับจากความกังวลเรื่องอุปสงค์น้ำมันในจีน นอกจากนี้ นักลงทุนก็รอดูผลการประชุมกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 17-18 ก.ย.ด้วย ทั้งนี้ ราคาน้ำมันได้รับแรงกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอของจีนในช่วงสุดสัปดาห์ ที่ผ่านมา ในขณะที่จีนถือเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยจีนรายงานว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนเติบโตเพียง 4.5% ในเดือนส.ค.เมื่อเทียบรายปี ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. หรือต่ำที่สุดในรอบ 5 เดือน โดยชะลอตัวลงจาก +5.1% ในเดือนก.ค. ในขณะที่ยอดค้าปลีกของจีนปรับขึ้นเพียง 2.1% ในดือนส.ค. โดยชะลอตัวลงจาก +2.7% ในเดือนก.ค. ทางด้านปริมาณการกลั่นน้ำมันในจีนดิ่งลง 6.2% ในเดือนส.ค.เมื่อเทียบรายปี โดยดิ่งลงเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน ในขณะที่มีการนำน้ำมันดิบเข้ากลั่นเพียง 59.07 ล้านตันในเดือนส.ค. หรือ 13.91 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยดิ่งลงจาก 15.23 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนส.ค.ปีที่แล้ว Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนต.ค.ทะยานขึ้น 1.44 ดอลลาร์ หรือ 2.1% มาปิดตลาดที่ 70.09 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันจันทร์ หลังจากพุ่งขึ้นราว 1% ในสัปดาห์ที่แล้ว แต่ยังคงอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของเดือนส.ค.ที่ 75.43 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย.ที่ตลาดกรุงลอนดอนพุ่งขึ้น 1.14 ดอลลาร์ หรือ 1.59% มาปิดตลาดที่ 72.75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันจันทร์ หลังจากพุ่งขึ้นราว 1% ในสัปดาห์ที่แล้ว แต่ยังคงอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของเดือนส.ค.ที่ 78.88 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 6.08 ดอลลาร์ สู่ 2,582.58 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ หลังจากพุ่งขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ในระหว่างวันที่ 2,589.59 ดอลลาร์ โดยราคาทองได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ และจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% ในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
3 ก.ย.--รอยเตอร์
มูลค่าในตลาดของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐดิ่งลงในเดือนส.ค. ในขณะที่มีความกังวลเรื่องต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นในการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ โดยนักลงทุนมองว่าหุ้นกลุ่มนี้อาจจะได้รับผลกระทบมากเป็นพิเศษ ถ้าหากตลาดหุ้นปรับฐานลงในอนาคต ทั้งนี้ มูลค่าในตลาดของบริษัทแอลฟาเบทของสหรัฐดิ่งลง 4.7% ในเดือนส.ค. โดยได้รับแรงกดดันจากปัจจัยหลายประการ ซึ่งรวมถึงการชะลอตัวลงของยอดขายโฆษณาในยูทูบ, การที่ผู้พิพากษาในสหรัฐตัดสินว่า กูเกิลละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด และการแข่งขันกับบริษัทโอเพนเอไอ ในขณะที่โอเพนเอไอกำลังพัฒนาตัวจำลองต้นแบบสำหรับโปรแกรมค้นหาข้อมูลออนไลน์ที่ใช้ AI โดยมูลค่าของแอลฟาเบทดิ่งลง 9.978 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนส.ค. สู่ 2.0209 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงสิ้นเดือนส.ค.
แอลฟาเบทถือเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก โดยรองจากแอปเปิลที่มีมูลค่า 3.4818 ล้านล้านดอลลาร์, ไมโครซอฟท์ที่มีขนาด 3.1006 ล้านล้านดอลลาร์ และเอ็นวิเดียที่มีขนาด 2.9282 ล้านล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ บริษัทขนาดยักษ์อีกแห่งที่มีมูลค่าดิ่งลงอย่างรุนแรงในเดือนส.ค. คืออะเมซอนดอทคอมที่มีมูลค่าในตลาดดิ่งลง 4.5% โดยได้รับผลกระทบจากยอดขายออนไลน์ที่ชะลอตัวลง โดยมูลค่าของอะเมซอนรูดลง 8.9 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนส.ค. สู่ 1.8735 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงสิ้นเดือนส.ค.
มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของเทสลาดิ่งลง 7.7% ในเดือนส.ค. หลังจากเทสลาเปิดเผยผลกำไรที่อ่อนแอลงในไตรมาสสอง และหลังจากมีข่าวว่าแคนาดาวางแผนจะเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 100% จากรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีน โดยเทสลาซึ่งถือเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก ได้เริ่มต้นส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในนครเซี่ยงไฮ้ไปสู่แคนาดาในปีที่แล้ว โดยมูลค่าของเทสลาดิ่งลง 5.728 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ 6.828 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงปลายเดือนส.ค. ทั้งนี้ มูลค่าในตลาดของเอ็นวิเดียดิ่งลง 7.7% ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนส.ค. สู่ 2.92 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงสิ้นเดือนส.ค. หลังจากเอ็นวิเดียคาดว่า อัตราผลกำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ 75% ในไตรมาสสาม ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 75.5% และเอ็นวิเดียรายงานว่า รายได้พุ่งขึ้น 122% ในไตรมาสสองเมื่อเทียบรายปี หลังจากรายได้เคยพุ่งขึ้นกว่า 200% เมื่อเทียบรายปีมาติดต่อกัน 3 ไตรมาส โดยเอ็นวิเดียครองส่วนแบ่งสูงกว่า 80% ในตลาดชิป AI
มูลค่าของบริษัทบางแห่งพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเดือนส.ค. โดยมูลค่าในตลาดของบริษัทอีไล ลิลลีในกลุ่มผู้ผลิตยาพุ่งขึ้นเกือบ 20% ในเดือนส.ค. หรือพุ่งขึ้นราว 1.4805 แสนล้านดอลลาร์ สู่ 9.124 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงสิ้นเดือนส.ค. โดยได้รับแรงหนุนจากยอดขายที่แข็งแกร่ง และจากการเปิดตัวยาลดน้ำหนักที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานประเภท 2 ในผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเกิน ทั้งนี้ มูลค่าในตลาดของบริษัทเบิร์คเชียร์ แฮทธาเวย์ของนายวอร์เรน บัฟเฟตต์พุ่งขึ้นมาปิดตลาดเหนือระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์ได้เป็นครั้งแรกในช่วงสิ้นเดือนส.ค. โดยได้รับแรงหนุนจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัทนี้ ในขณะที่นักลงทุนหลายรายมองว่าบริษัทนี้เหมือนเป็นตัวแทนของเศรษฐกิจสหรัฐ โดยมูลค่าของเบิร์คเชียร์พุ่งขึ้น 8.062 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ 1.0264 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงสิ้นเดือนส.ค.
มูลค่าในตลาดของบริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์พุ่งขึ้นเกือบ 10% ในเดือนส.ค. หลังจากเมตารายงานว่า รายได้ไตรมาสสองอยู่สูงเกินคาด และเมตาคาดการณ์ว่า รายได้จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในไตรมาสเดือนก.ค.-ก.ย. โดยสิ่งนี้บ่งชี้ว่า รายได้จากโฆษณาดิจิทัลที่แข็งแกร่งในแพลตฟอร์มของเมตาจะสามารถชดเชยต้นทุนจากการลงทุนใน AI ทั้งนี้ มูลค่าของเมตาพุ่งขึ้น 1.1759 แสนล้านดอลลาร์ สู่ 1.3188 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงสิ้นเดือนส.ค.--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
6 ส.ค.--รอยเตอร์
ความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจในช่วงนี้กระตุ้นให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์หลายประเภทที่เคยพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงต้นปีนี้ ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐและบิทคอยน์ และ นักลงทุนก็พยายามประเมินในช่วงนี้ว่า ราคาสินทรัพย์เหล่านี้อาจจะดิ่งลงได้อีกมากเพียงใดในอนาคต ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงมาแล้วกว่า 5% นับตั้งแต่วันพุธที่ 31 ก.ค. และดิ่งลงในช่วง 3 วันทำการที่ผ่านมาในอัตราที่รุนแรงที่สุดในรอบกว่า 2 ปี ส่วนดัชนีนิกเกอิของตลาดหุ้นญี่ปุ่นดิ่งลง 2.49% ในวันที่ 1 ส.ค., รูดลง 5.81% ในวันศุกร์ที่ 2 ส.ค., ดิ่งลง 12.40% ในวันจันทร์ และดีดขึ้น 8.52% ในวันนี้ ทางด้านบิทคอยน์ดิ่งลง 8.00% ในวันจันทร์ ก่อนจะดีดขึ้น 2.29% ในวันนี้ อย่างไรก็ดี นักลงทุนได้เข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงนี้ ซึ่งรวมถึงพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและฟรังก์สวิส โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปี ซึ่งเป็นสิ่งที่ปรับตัวสวนทางกับราคาพันธบัตร ได้ดิ่งลงจาก 4.105% ในช่วงสิ้นเดือนก.ค. สู่ 3.783% ในช่วงท้ายวานนี้ ส่วนดอลลาร์สหรัฐ/ฟรังก์สวิสดิ่งลงจาก 0.8776 ฟรังก์สวิสในช่วงสิ้นเดือนก.ค. สู่ 0.8483 ฟรังก์สวิสในช่วงท้ายวานนี้ หลังจากรูดลงแตะ 0.8451 ฟรังก์สวิสในระหว่างช่วงการซื้อขายวันจันทร์ ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค. หรือจุดต่ำสุดรอบ 7 เดือน
นักลงทุนบางรายระบุว่า ความอ่อนแอของตลาดหุ้นมักจะเป็นโอกาสในการเริ่มต้นใหม่ตามปกติ โดยเฉพาะหลังจากตลาดหุ้นพุ่งขึ้นติดต่อกันมาเป็นเวลานานหลายเดือนโดยแทบไม่ได้ชะลอตัวลงเลยในช่วงที่ผ่านมา โดยแบงก์ ออฟ อเมริกา โกลบัล รีเสิร์ชระบุว่า สถิติข้อมูลนับตั้งแต่ปี 1936 เป็นต้นมาแสดงให้เห็นว่า ดัชนี S&P 500 ย่อตัวลงในระดับ 5% หรือมากกว่านั้นเฉลี่ยราว 3 ครั้งต่อปี อย่างไรก็ดี นักลงทุนรายอื่น ๆ คาดว่า ตลาดอาจจะแกว่งตัวผันผวนต่อไป และระบุว่านักลงทุนควรจะใช้ความระมัดระวังในการลงทุน โดยนายบิล กรอส ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทพิมโค ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ลงทุนในตราสารหนี้ระบุว่า "ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้มีการระบายการลงทุนออกมา คือการใช้เงินกู้มากเกินไปในระบบการเงินโลก, การแข็งค่าของเยน และการดิ่งลงมากเกินไปของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ" และเขาระบุเสริมว่า “ผมไม่ได้เข้าซื้อเมื่อตลาดฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยจากจุดต่ำสุดของช่วงเช้า และผมก็ไม่ได้ขายออกมาด้วย ตลาดอยู่ในภาวะผันผวนมากเกินไปในตอนนี้"
นักลงทุนอาจจะยังคงเทขายหุ้นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ต่อไป เพราะถึงแม้ว่าดัชนี Nasdaq 100 ที่ครอบคลุมหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจำนวนมากดิ่งลงในช่วงนี้ ดัชนีก็ยังคงพุ่งขึ้นกว่า 6% จากช่วงต้นปีนี้ หลังจากที่ดัชนีเคยได้รับแรงหนุนในช่วงต้นปีจากผลกำไรที่แข็งแกร่ง และจากกระแสความนิยมในธุรกิจปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยการพุ่งขึ้นในช่วงต้นปีส่งผลให้หุ้นบริษัทหลายแห่งในดัชนีนี้มีมูลค่าสูง และทำให้นักลงทุนกังวลว่าอาจจะเกิดภาวะฟองสบู่แตกเหมือนกับที่เคยเกิดกับหุ้นกลุ่มอินเทอร์เน็ตในช่วงต้นทศวรรษ 2000 ทั้งนี้ มูลค่าหุ้นสหรัฐยังคงอยู่ในระดับสูงมาก โดยดัชนี S&P 500 มีค่าพีอีเรโชอยู่ที่ 20.5 เท่าของคาดการณ์ผลกำไรช่วง 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 15.7 เท่า นอกจากนี้ หุ้นบริษัทขนาดยักษ์ในกลุ่ม Magnificent Seven ก็ครองน้ำหนักสูงถึง 1 ใน 3 ของดัชนี S&P 500 ด้วย ดังนั้นทิศทางของหุ้นกลุ่มนี้จึงอาจจะส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อทิศทางของตลาดหุ้นสหรัฐโดยรวม โดยบริษัทกลุ่ม "Magnificent 7" นี้ประกอบด้วย บริษัทแอปเปิล, ไมโครซอฟท์, แอลฟาเบท, อะเมซอนดอทคอม, เอ็นวิเดีย, เมตา แพลตฟอร์มส์ และเทสลา
นายโมฮิท กุมาร หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ยุโรปของบริษัทเจฟฟรีส์ระบุว่า "เรามองว่าการปรับสถานะการลงทุนคือปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของตลาดในระยะนี้" และเขากล่าวเสริมว่า "หุ้นสหรัฐโดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีมีการเข้าซื้อมากเกินไป และจำเป็นจะต้องมีการขจัดภาวะฟองสบู่ออกไปบ้าง" ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้รับแรงกดดันเพิ่มเติม หลังจากบริษัทเบิร์คเชียร์ แฮทธาเวย์ของนายวอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้เปิดเผยผลประกอบการในวันเสาร์ที่ผ่านมา และทางบริษัทระบุว่า ทางบริษัทได้ขายหุ้นบริษัทแอปเปิลที่เคยถือครองไว้ออกไปราวครึ่งหนึ่ง และเบิร์คเชียร์ปล่อยให้ปริมาณเงินสดของบริษัทพุ่งขึ้นสู่ 2.77 แสนล้านดอลลาร์ในไตรมาสสอง โดยเบิร์คเชียร์มักจะปล่อยให้ปริมาณเงินสดเพิ่มสูงขึ้น เมื่อเบิร์คเชียร์ไม่พบว่ามีธุรกิจแห่งใดหรือมีหุ้นตัวใดที่มีราคาที่เหมาะสมสำหรับการเข้าซื้อ
ความผันผวนของตลาดการเงินในช่วงนี้ได้รับแรงกระตุ้นจากการที่นักลงทุนระบาย carry trade ออกมาด้วย โดย carry trade คือการที่นักลงทุนกู้ยืมสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ อย่างเช่นเยนและฟรังก์สวิส เพื่อนำไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ ที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่า ซึ่งรวมถึงหุ้น, สกุลเงินที่ให้อัตราผลตอบแทนสูง และสินทรัพย์เสี่ยงอื่น ๆ โดยนักลงทุนได้ทำ carry trade แบบนี้มาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว อย่างไรก็ดี นักลงทุนได้เริ่มระบาย carry trade ออกมาด้วยการเข้าซื้อเยน หลังจากธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ประกาศผลการประชุมกำหนดนโยบายประจำวันที่ 30-31 ก.ค. โดยระบุว่าบีโอเจปรับขึ้นเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นจาก 0-0.1% สู่ 0.25% ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2008 ทั้งนี้ การระบาย carry trade ด้วยการเข้าซื้อเยนส่งผลให้ดอลลาร์/เยนรูดลงแตะจุดต่ำสุดรอบ 7 เดือนที่ 141.675 เยนในวันจันทร์ และออกห่างจากจุดสูงสุดในรอบเกือบ 38 ปีที่ 161.96 เยนที่เคยทำไว้ในวันที่ 3 ก.ค. ทางด้านนายฌอง บอยแวง ประธานสถาบันการลงทุนแบล็คร็อคกล่าวว่า "เมื่อใดก็ตามที่เราได้รับการยืนยันว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ไม่มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าว เมื่อนั้นตลาดโลกก็จะกลับเข้าสู่ความสงบ"--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
สกุลเงินตลาดเกิดใหม่ในเอเชียแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ในวันนี้ หลังจากข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐออกมาชะลอตัวลง ซึ่งเพิ่มคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย.นี้
รายงานเงินเฟ้อของสหรัฐที่จะออกมาในวันนี้อาจจะหนุนการคาดการณ์เรื่องการลดดอกเบี้ย ขณะที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะชะลอตัวลง และนักลงทุนจะรอดูการแถลงของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดต่อสภาคองเกรสในวันอังคารและพุธนี้เพื่อประเมินจังหวะเวลาในการลดดอกเบี้ย
นักวิเคราะห์จากบาร์เคลย์สกล่าวว่า "ตลาดกำลังคาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ยจากธนาคารกลางเกาหลีอย่างเร็วที่สุดในเดือนส.ค.นี้ แต่เราก็เชื่อว่ายังคงเป็นเงื่อนไข เพราะระดับอัตราแลกเปลี่ยนยังคงน่ากังวล และราคาที่อยู่อาศัยเริ่มปรับตัวขึ้นอีกครั้ง"
ธนาคารกลางเกาหลี และธนาคารกลางมาเลเซียจะประชุมนโยบายในวันพฤหัสบดีนี้ ซึ่งคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ย
ตลาดจะรอดูข้อมูลเงินเฟ้อของจีนในวันพุธนี้ และข้อมูลจีดีพีของมาเลเซียในวันศุกร์นี้ด้วย
อัตราแลกเปลี่ยน ณ เวลา 12.11 น.ตามเวลาไทย
COUNTRY |
FX RIC |
FX DAILY % |
FX YTD % |
Japan |
JPY= |
+0.12 |
-12.12 |
China |
CNY=CFXS |
-0.01 |
-2.36 |
India |
INR=IN |
+0.05 |
-0.28 |
Indonesia |
IDR= |
+0.18 |
-5.23 |
Malaysia |
MYR= |
- |
-2.49 |
Philippines |
PHP= |
+0.01 |
-5.35 |
S.Korea |
KRW=KFTC |
+0.18 |
-6.59 |
Singapore |
SGD= |
+0.05 |
-2.12 |
Taiwan |
TWD=TP |
+0.23 |
-5.14 |
Thailand |
THB=TH |
+0.12 |
-6.13 |
Eikon source text
3 ก.ค.--รอยเตอร์
บริษัทที่ทำธุรกิจปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเฉพาะบริษัทผู้ผลิตชิป มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดพุ่งขึ้นสูงมากในเดือนมิ.ย. ซึ่งรวมถึงบริษัทเอ็นวิเดียในสหรัฐที่เคยมีมูลค่าพุ่งขึ้นจนสามารถก้าวขึ้นมาครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกได้เป็นเวลาสั้น ๆ ในระหว่างเดือนมิ.ย. ทั้งนี้ มูลค่าหลักทรัพย์ของเอ็นวิเดียเคยพุ่งขึ้นแตะ 3.34 ล้านล้านดอลลาร์ในระหว่างเดือนมิ.ย. ก่อนที่จะลดช่วงบวกลงในเวลาต่อมา โดยเป็นผลจากคำสั่งเทขายทำกำไรและความกังวลเรื่องมูลค่าหุ้นที่ระดับสูง โดยมูลค่าของเอ็นวิเดียลดลงมาอยู่ที่ 3.0391 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงปลายเดือนมิ.ย. ซึ่งส่งผลให้เอ็นวิเดียครองตำแหน่งที่ 3 ในอันดับบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของไมโครซอฟท์พุ่งขึ้น 7.6% ในเดือนมิ.ย. สู่ 3.3219 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งส่งผลให้ไมโครซอฟท์ครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก ส่วนมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของแอปเปิลทะยานขึ้น 9.6% ในเดือนมิ.ย. สู่ 3.2297 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งส่งผลให้แอปเปิลครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่ามากเป็นอันดับ 2 ของโลก ทั้งนี้ บริษัทที่มีมูลค่ามากเป็นอันดับ 4 ของโลกคือแอลฟาเบาท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล โดยแอลฟาเบทมีมูลค่า 2.2581 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงปลายเดือนมิ.ย.
มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของบริษัทอะเมซอนดอทคอม อิงค์พุ่งขึ้นแตะ 2.0111 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงปลายเดือนมิ.ย. ซึ่งส่งผลให้อะเมซอนกลายเป็นบริษัทสหรัฐแห่งที่ 5 ที่มีมูลค่าพุ่งขึ้นเหนือ 2 ล้านล้านดอลลาร์ โดยอะเมซอนได้รับแรงหนุนจากกระแสความนิยมใน AI ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ บริษัทที่มีมูลค่ามากเป็นอันดับ 6 ของโลกในช่วงปลายเดือนมิ.ย.คือซาอุดิ อาราเบียน ออยล์ ที่มีมูลค่า 1.7998 ล้านล้านดอลลาร์, อันดับ 7 คือเมตา แพลตฟอร์มส์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก ที่มีมูลค่า 1.279 ล้านล้านดอลลาร์, อันดับ 8 คือเบิร์คเชียร์ แฮทธาเวย์ ที่มีมูลค่า 8.779 แสนล้านดอลลาร์, อันดับ 9 คืออีไล ลิลลี แอนด์ โค ที่เป็นผู้ผลิตยา โดยบริษัทนี้มีมูลค่า 8.605 แสนล้านดอลลาร์ และอันดับ 10 คือบริษัทไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริง โค (TSMC) ที่มีมูลค่า 7.697 แสนล้านดอลลาร์
อันดับ 11 คือบริษัทบรอดคอม อิงค์ที่มีมูลค่า 7.474 แสนล้านดอลลาร์ โดยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของบรอดคอมพุ่งขึ้นราว 20% ในเดือนมิ.ย. หลังจากบรอดคอมปรับขึ้นตัวเลขคาดการณ์รายได้ประจำปีสำหรับชิป AI ราว 10% และประกาศแตกหุ้นเพื่อทำประโยชน์จากการพุ่งขึ้นของราคาหุ้นในปีนี้ ทั้งนี้ อันดับ 12 คือเทสลา ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่มีมูลค่า 6.311 แสนล้านดอลลาร์, อันดับ 13 คือธนาคารเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โคที่มีมูลค่า 5.808 แสนล้านดอลลาร์, อันดับ 14 คือบริษัทวอลมาร์ทในธุรกิจค้าปลีกที่มีมูลค่า 5.446 แสนล้านดอลลาร์ และอันดับ 15 คือบริษัท SPDR S&P 500 ETF Trust ที่มีมูลค่า 5.404 แสนล้านดอลลาร์
อันดับ 16 คือบริษัทวีซ่า อิงค์ที่ทำธุรกิจบัตรเครดิต ซึ่งมีมูลค่า 5.252 แสนล้านดอลลาร์, อันดับ 17 คือบริษัทเอ็กซอน โมบิลที่ทำธุรกิจน้ำมัน ซึ่งมีมูลค่า 5.164 แสนล้านดอลลาร์, อันดับ 18 คือบริษัทโนโว นอร์ดิสก์ของเดนมาร์กที่ทำธุรกิจยา โดยบริษัทนี้มีมูลค่า 4.898 แสนล้านดอลลาร์, อันดับ 19 คือบริษัท iShares Core S&P 500 ETF ที่มีมูลค่า 4.872 แสนล้านดอลลาร์ และอันดับ 20 คือกองทุนแวงการ์ด 500 อินเด็กซ์ ฟันด์ ที่มีมูลค่า 4.717 แสนล้านดอลลาร์--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
สกุลเงินตลาดเกิดใหม่ในเอเชียยังคงอ่อนค่าท่ามกลางดอลลาร์ที่ทรงตัวในวันนี้ ขณะที่นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทำให้มีความหวังขึ้นมาใหม่ว่า เฟดอาจจะเริ่มวงจรการลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
เขากล่าวว่า สหรัฐมีเงินเฟ้อที่ลดลงอีกครั้ง พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ผู้กำหนดนโยบายต้องการข้อมูลเพิ่มเติมก่อนที่จะพิจารณาการลดอัตราดอกเบี้ย
เครื่องมือเฟดวอทช์ของซีเอ็มอีพบว่า ตลาดกำลังปรับตัวรับโอกาส 67.1% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยในการประชุมในเดือนก.ย. เทียบกับโอกาส 54.7% ในเดือนที่แล้ว
วอน และบาทอ่อนค่า 0.2% ขณะที่สกุลเงินอื่นๆทรงตัว
นักลงทุนจะรอดูข้อมูลเงินเฟ้อจากไทย, ฟิลิปปินส์ และไต้หวันในสัปดาห์นี้ ขณะที่ข้อมูลเงินเฟ้อของเกาหลีใต้และอินโดนีเซียชะลอตัวลง โดยเงินเฟ้อในเดือนมิ.ย.ของอินโดนีเซียชะลอตัวกว่าที่คาดไว้
นายอัลวิน ตัน หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์อัตราแลกเปลี่ยนเอเชียจากอาร์บีซี แคปิตอล มาร์เกตส์กล่าวว่า ธนาคารกลางส่วนใหญ่ในเอเชียยกเว้นจีนอาจจะไม่ลดดอกเบี้ยก่อนเฟด แม้เงินเฟ้อชะลอตัวลงอีกก็ตาม เนื่องจากความวิตกเกี่ยวกับการอ่อนค่าของอัตราแลกเปลี่ยน
อัตราแลกเปลี่ยน ณ เวลา 11.44 น.ตามเวลาไทย
COUNTRY |
FX RIC |
FX DAILY % |
FX YTD % |
Japan |
JPY= |
-0.17 |
-12.77 |
China |
CNY=CFXS |
-0.03 |
-2.41 |
India |
INR=IN |
+0.01 |
-0.35 |
Indonesia |
IDR= |
+0.03 |
-6.04 |
Malaysia |
MYR= |
-0.02 |
-2.71 |
Philippines |
PHP= |
+0.04 |
-5.76 |
S.Korea |
KRW=KFTC |
-0.22 |
-7.34 |
Singapore |
SGD= |
-0.06 |
-2.76 |
Taiwan |
TWD=TP |
-0.09 |
-5.89 |
Thailand |
THB=TH |
-0.18 |
-7.19 |
Eikon source text
กรุงเทพฯ--31 พ.ค.--รอยเตอร์
ดอลลาร์สหรัฐร่วงลงในวันพฤหัสบดี หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่ผ่านการทบทวนแล้วในวันพฤหัสบดี โดยระบุว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐเติบโตขึ้นเพียง 1.3% ในไตรมาสเดือนม.ค.-มี.ค.เมื่อเทียบเป็นตัวเลขเต็มปี (annualized) ซึ่งต่ำกว่าระดับ +1.6% ที่เคยรายงานไว้ในขั้นต้น และต่ำกว่าระดับ +3.4% ในไตรมาส 4/2023 โดยการปรับทบทวนตัวเลขจีดีพีลงนี้เป็นผลจากการปรับทบทวนปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคให้ต่ำลงจากเดิม โดยรายงานระบุว่า ปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคปรับขึ้นเพียง 2.0% ในไตรมาสแรกเมื่อเทียบเป็นตัวเลขเต็มปี โดยปรับลดลง 0.5% จากตัวเลขขั้นต้น ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้สหรัฐก็ได้รายงานตัวเลขเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่อ่อนแอออกมาด้วยเช่นกัน ซึ่งรวมถึงตัวเลขยอดค้าปลีก และการใช้จ่ายด้านอุปกรณ์ ทางด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีดิ่งลงจาก 4.624% ในช่วงท้ายวันพุธ สู่ 4.554% ในวันพฤหัสบดี หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่งพุ่งขึ้นแตะ 4.638% ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันพุธ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 2 พ.ค. และการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) ในวันพุธก็มีส่วนช่วยหนุนให้ดัชนีดอลลาร์ทะยานขึ้นในวันพุธด้วย Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 104.77 ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี โดยร่วงลงจาก 105.13 ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ หลังจากปรับขึ้นแตะ 105.18 ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันพฤหัสบดี ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค. หรือจุดสูงสุดรอบ 2 สัปดาห์
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 156.81 เยนในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี โดยอ่อนค่าลงจากระดับปิดตลาดวันพุธที่ 157.60 เยน หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 157.76 เยนในวันพุธ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดรอบ 4 สัปดาห์ และเข้าใกล้จุดสูงสุดรอบ 34 ปีที่ระดับ 160.245 เยนที่เคยทำไว้ในวันที่ 29 เม.ย.
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0832 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี โดยแข็งค่าขึ้นจาก 1.0800 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพุธ หลังจากยูโรเพิ่งร่วงลง 0.5% ในวันพุธ และหลังจากเพิ่งดิ่งลงแตะจุดต่ำสุดรอบ 2 สัปดาห์ที่ 1.0786 ดอลลาร์ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันพฤหัสบดี
ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลงในวันพฤหัสบดี โดยได้รับแรงกดดันจากหุ้นบริษัทเซลส์ฟอร์ซที่ดิ่งลง 19.7% ในวันพฤหัสบดี หลังจากเซลส์ฟอร์ซรายงานในวันพุธว่า ทางบริษัทคาดการณ์รายได้และผลกำไรไตรมาสสองในระดับที่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ในตลาด โดยเป็นผลจากการที่ลูกค้าใช้จ่ายเงินในระดับต่ำกับผลิตภัณฑ์ธุรกิจองค์กรและผลิตภัณฑ์คลาวด์ของเซลส์ฟอร์ซ โดยการดิ่งลงของหุ้นเซลส์ฟอร์ซมีส่วนกดดันดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐให้ปิดดิ่งลง 2.5% ในวันพฤหัสบดี ซึ่งส่งผลให้ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีถือเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มใหญ่ที่รูดลงมากที่สุดในวันพฤหัสบดี ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มใหญ่ที่ดิ่งลงมากเป็นอันดับสอง คือดัชนีหุ้นกลุ่มบริการการสื่อสารที่รูดลง 1.1% อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นกลุ่มใหญ่อีก 9 กลุ่มที่เหลือปิดตลาดวันพฤหัสบดีในแดนบวก ทั้งนี้ หุ้นเทสลาพุ่งขึ้น 1.5% หลังจากรอยเตอร์รายงานว่า เทสลาเตรียมที่จะจดทะเบียนซอฟท์แวร์ระบบขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ (FSD) ในจีน ส่วนหุ้นบริษัท HP ทะยานขึ้น 17% หลังจาก HP รายงานรายได้ไตรมาสสองที่ดีเกินคาด ทางด้านหุ้นบริษัทเบสท์ บายในกลุ่มค้าปลีกพุ่งขึ้น 13.4% หลังจากเบสท์ บายเปิดเผยผลกำไรรายไตรมาสที่ดีเกินคาด อย่างไรก็ดี หุ้นบริษัทโคห์ลส์ ซึ่งเป็นบริษัทเครือข่ายห้างสรรพสินค้าดิ่งลง 22.9% หลังจากโคห์ลส์ปรับลดคาดการณ์ผลกำไรและยอดขายประจำปี Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับลง 0.86% สู่ 38,111.48
ดัชนี S&P 500 ปิดร่วงลง 0.60% สู่ 5,235.48
ดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 1.08% สู่ 16,737.08
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ดิ่งลงในวันพฤหัสบดีเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากรัฐบาลสหรัฐรายงานว่า อุปสงค์เชื้อเพลิงในสหรัฐอยู่ในระดับต่ำ และสต็อกน้ำมันเบนซินกับน้ำมัน distillate ในคลังพุ่งสูงขึ้น โดยสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานในวันพฤหัสบดีว่า สต็อกน้ำมันดิบในคลังสหรัฐดิ่งลง 4.2 ล้านบาร์เรล สู่ 454.7 ล้านบาร์เรลในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 24 พ.ค. ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงอย่างรุนแรงเกินคาด หลังจากโพลล์รอยเตอร์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบในคลังสหรัฐอาจปรับลดลงเพียง 1.9 ล้านบาร์เรล โดยการดิ่งลงของสต็อกน้ำมันดิบในครั้งนี้เป็นผลจากการที่โรงกลั่นน้ำมันในสหรัฐปรับเพิ่มอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันขึ้น 2.6% สู่ 94.3% ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดรอบ 9 เดือน อย่างไรก็ดี EIA ระบุว่า สต็อกน้ำมันเบนซินในคลังสหรัฐพุ่งขึ้น 2 ล้านบาร์เรล สู่ 228.8 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมัน Distillate ในคลังสหรัฐ ซึ่งครอบคลุมน้ำมันดีเซลและน้ำมัน heating oil ทะยานขึ้น 2.5 ล้านบาร์เรล สู่ 119.3 ล้านบาร์เรล ในขณะที่อุปสงค์น้ำมันเบนซินดิ่งลงราว 2% จากสัปดาห์ก่อนหน้านั้น สู่ 9.15 ล้านบาร์เรลต่อวัน ทั้งนี้ นักวิเคราะห์เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า อุปสงค์น้ำมันเชื้อเพลิงน่าจะพุ่งสูงขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์วันเมโมเรียล เดย์ ซึ่งตรงกับวันจันทร์ที่ 27 พ.ค.ในปีนี้ โดยนายจอห์น คิลดัฟ หุ้นส่วนของบริษัทอะเกน แคปิตัลกล่าวว่า "ผมคาดไว้ก่อนหน้านี้ว่า สต็อกน้ำมันเบนซินน่าจะดิ่งลงในช่วงก่อนสุดสัปดาห์วันหยุดยาว แต่เนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันผลิตน้ำมันเบนซินออกมาเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้สต็อกผลิตภัณฑ์น้ำมันในคลังปรับลดลงมาได้" Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนก.ค.รูดลง 1.32 ดอลลาร์ หรือ 1.7% มาปิดตลาดที่ 77.91 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนดิ่งลง 1.74 ดอลลาร์ หรือ 2.1% มาปิดตลาดที่ 81.86 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 4.23 ดอลลาร์ สู่ 2,343.00 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี โดยราคาทองได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ และจากการดิ่งลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีนี้ ทั้งนี้ เทรดเดอร์คาดการณ์ในตอนนี้ว่า มีโอกาสราว 52% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน