ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
เพื่อเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็วและติดตามตลาดโฟกัสใน 15 นาที
ในโลกของมนุษยชาติ จะไม่มีคำกล่าวใด ๆ ที่ไม่มีจุดยืนใด ๆ หรือคำพูดใด ๆ ที่ไม่มีจุดประสงค์ใด ๆ
อัตราเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน และเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจเชิงนโยบายของธนาคารกลาง ทัศนคติและคำพูดของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยังมีอิทธิพลต่อการกระทำของเทรดเดอร์ในตลาดอีกด้วย
เงินทำให้โลกหมุนไป และสกุลเงินเป็นสินค้าถาวร ตลาดฟอเร็กซ์เต็มไปด้วยความประหลาดใจและความคาดหวัง
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
เพลิดเพลินกับกิจกรรมที่น่าตื่นเต้น ที่นี่ที่ FastBull
ข่าวด่วนล่าสุดและเหตุการณ์ทางการเงินทั่วโลก
ฉันมีประสบการณ์ 5 ปีในการวิเคราะห์ทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนามหภาคและการตัดสินแนวโน้มระยะกลางและระยะยาว ความสนใจของฉันอยู่ที่การพัฒนาของตะวันออกกลาง ตลาดเกิดใหม่ ถ่านหิน ข้าวสาลี และสินค้าเกษตรอื่นๆ
7 ปีของตลาดหุ้น การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โลหะมีค่า และประสบการณ์การซื้อขายและการวิเคราะห์อื่น ๆ โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐาน การสนับสนุนทางเทคนิค มีอคติต่อตรรกะธุรกรรมจากบนลงล่าง โดยเน้นที่วัฏจักรมหภาคและการควบคุมความเสี่ยง การคาดการณ์เชิงทฤษฎีอุปสงค์และอุปทานอเนกประสงค์ การเปลี่ยนแปลงของราคา สร้างสมดุลระหว่างผลกระทบของธุรกรรม การกระจายชิปและอารมณ์ตลาด และคงที่
อัปเดตล่าสุด
สร้างทัศนคติการลงทุนที่ดี
วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ปรัชญาการลงทุนของเขาประกอบด้วยการสร้างกรอบความคิดระยะยาว ขจัดญาณรบกวนของตลาด ไม่เก็งกำไร และเน้นย้ำว่าการลงทุนต้องมีมีจิตใจที่มั่นคงและเป้าหมายที่ชัดเจน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง
แม้ว่าระบบกฎหมายและกรอบการกำกับดูแลในฮ่องกงจะค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ตลาดหุ้นยังคงเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายพิเศษหลายประการ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่าง HKD และ USD นักลงทุนต่างชาติอาจเผชิญกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความผันผวนของนโยบายและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นฮ่องกงด้วย
โครงสร้างต้นทุนและภาษีเมื่อลงทุนในหุ้นฮ่องกง
ต้นทุนการซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมหุ้น ค่าอากรแสตมป์ ค่าธรรมเนียมการชำระบัญชี ฯลฯ สำหรับนักลงทุนต่างชาติอาจมีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินเพิ่มเติมเป็นดอลลาร์ฮ่องกงและภาษีอื่น ๆ ตามข้อบังคับท้องถิ่น
การวิเคราะห์อุตสาหกรรมฮ่องกง:อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็น
อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็นของฮ่องกง ได้แก่ รถยนต์ การศึกษา การท่องเที่ยว การจัดเลี้ยง เครื่องแต่งกาย และภาคส่วนอื่นๆ อีกมากมาย จากบริษัทจดทะเบียน 643 แห่งนั้น 35% เป็นบริษัทในจีนแผ่นดินใหญ่และคิดเป็น 65% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด ดังนั้นอุตสาหกรรมนี้จึงได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากเศรษฐกิจจีน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด
ไม่มีข้อมูล
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม
สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
นิวยอร์ค--4 ธ.ค.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า นักลงทุนกำลังจับตาดูปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นสหรัฐในเดือนธ.ค. ซึ่งรวมถึงการขายหุ้นเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี และแนวโน้มที่ตลาดหุ้นมักจะพุ่งขึ้นในช่วงคริสต์มาส หรือที่เรียกกันว่า Santa Claus rally ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นมาแล้ว 19.6% จากช่วงต้นปีนี้ และเพิ่งปิดตลาดวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ 4,594.63 ซึ่งถือเป็นระดับปิดสูงสุดใหม่ของปี 2023 โดยตลาดหุ้นได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 ในขณะที่มีหลักฐานบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐชะลอการเติบโตลงในช่วงนี้
ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวตามปัจจัยด้านฤดูกาลอย่างแข็งแกร่งในปีนี้ โดยดัชนี S&P 500 เพิ่งดิ่งลงเกือบ 5% ในเดือนก.ย. ในขณะที่เดือนก.ย.ถือเป็นเดือนที่ตลาดหุ้นมักจะดิ่งลงมากที่สุดในแต่ละปี และหลังจากนั้นตลาดหุ้นสหรัฐก็แกว่งตัวผันผวนมากในเดือนต.ค.ปีนี้ ซึ่งเป็นเดือนที่ตลาดมักจะแกว่งตัวผันผวนมากอยู่แล้วในแต่ละปี และหลังจากนั้นดัชนี S&P 500 ก็พุ่งขึ้นเกือบ 9% ในเดือนพ.ย.ปีนี้ด้วย ซึ่งถือเป็นเดือนที่ตลาดหุ้นมักจะพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งเช่นกัน ทั้งนี้ สถิติข้อมูลจากในอดีตบ่งชี้ว่า เดือนธ.ค.ถือเป็นเดือนที่ตลาดหุ้นสหรัฐมักจะพุ่งขึ้นมากเป็นอันดับสองของปี โดยดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นเฉลี่ย 1.54% ในเดือนธ.ค.ของแต่ละปีนับตั้งแต่ปี 1945 เป็นต้นมา นอกจากนี้ ดัชนีก็มักจะปิดตลาดเดือนธ.ค.ในแดนบวกด้วย โดยดัชนีเคยปิดตลาดเดือนธ.ค.ในแดนบวกราว 77% ของเดือนธ.ค.ทั้งหมดนับตั้งแต่ปี 1945 เป็นต้นมา และสัดส่วน 77% นี้ถือว่าสูงที่สุดเมื่อเทียบกับเดือนอื่น ๆ ของปี
ข้อมูลจากบริษัทแอลพีแอล ไฟแนนเชียลแสดงให้เห็นว่า ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐมักจะพุ่งขึ้นในช่วงครึ่งหลังของเดือนธ.ค.ในอัตราที่แข็งแกร่งกว่าช่วงครึ่งแรก โดยดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นเฉลี่ย 0.1% ในช่วงครึ่งแรกของเดือนธ.ค.หากวัดจากสถิติข้อมูลนับตั้งแต่ปี 1950 เป็นต้นมา และดัชนีพุ่งขึ้นเฉลี่ย 1.4% ในช่วงครึ่งหลังของเดือนธ.ค.
นักวิเคราะห์ระบุว่า หุ้นที่มีราคาดิ่งลงอย่างรุนแรงในปีนี้ อาจจะเผชิญกับแรงกดดันเพิ่มเติมในเดือนธ.ค.จากการขายหุ้นเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี เพราะว่านักลงทุนมักจะเทขายหุ้นดังกล่าวออกไปเพื่อตัดบัญชีก่อนสิ้นปี และสถิติข้อมูลจากในอดีตก็บ่งชี้ว่า หุ้นบางตัวในกลุ่มนี้อาจจะดีดขึ้นในช่วงปลายเดือนธ.ค.และในเดือนม.ค. เพราะว่านักลงทุนจะกลับเข้าซื้อหุ้นที่มีมูลค่าต่ำเกินไป ทั้งนี้ นับตั้งแต่ปี 1986 เป็นต้นมา หุ้นที่เคยดิ่งลง 10% หรือมากกว่านั้นในเดือนม.ค.-ต.ค.ของแต่ละปี มักจะพุ่งขึ้นในเดือนพ.ย.-ม.ค.ในอัตราที่แข็งแกร่งกว่าดัชนี S&P 500 ราว 1.9% โดยแบงก์ ออฟ อเมริกา โกลบัล รีเสิร์ชระบุในรายงานที่ออกมาในช่วงปลายเดือนต.ค.ว่า ทางธนาคารแนะนำให้เข้าซื้อหุ้นบริษัทเพย์แพล โฮลดิงส์, ซีวีเอส เฮลธ์ และคราฟท์ ไฮนซ์ เพราะหุ้นเหล่านี้อาจจะดีดขึ้นตามปัจจัยด้านภาษี
ถึงแม้ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งมากในปีนี้ การพุ่งขึ้นเกือบ 72% ของดัชนี S&P 500 ในปีนี้ก็ได้รับแรงหนุนมาจากหุ้นบริษัทขนาดยักษ์เพียงไม่กี่แห่ง โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มเติบโต ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทแอปเปิล, เทสลา และเอ็นวิเดีย แต่หุ้นบริษัทอีกหลายแห่งไม่ได้ทะยานขึ้นมากนัก โดยดัชนี S&P 500 ในแบบที่ให้หุ้นแต่ละตัวในดัชนีมีน้ำหนักเท่ากัน ปรับขึ้นเพียงราว 6% จากช่วงต้นปี 2023--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--30 พ.ย.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินแข็งค่าขึ้นในวันพุธ หลังจากร่วงลงแตะจุดต่ำสุดในรอบกว่า 3 เดือนในช่วงแรก โดยดอลลาร์ได้รับแรงหนุน หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยผลการประเมินครั้งที่สองสำหรับตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐประจำไตรมาส 3 โดยทางกระทรวงระบุว่าจีดีพีสหรัฐเพิ่มขึ้น 5.2% ในไตรมาส 3 เมื่อเทียบเป็นตัวเลขเต็มปี (annualized) ซึ่งสูงกว่าตัวเลขประเมินครั้งแรกที่ระดับ 4.9% และอยู่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 5.0% ด้วย โดยอัตราการเติบโตที่ 5.2% นี้ถือเป็นอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4/2021 เป็นต้นมา โดยรายงานตัวเลขดังกล่าวช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนปรับสถานะการลงทุน หลังจากดอลลาร์ร่วงลงมานาน 4 วันติดต่อกัน ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ยังคงมีแนวโน้มว่าอาจจะปิดตลาดเดือนพ.ย.ด้วยการดิ่งลงรายเดือนครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2022 โดยได้รับแรงกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 โดยขณะนี้นักลงทุนในตลาดสัญญาล่วงหน้าคาดว่า มีโอกาสเกือบ 50% ที่เฟดจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนมี.ค.ปีหน้า โดยเพิ่มขึ้นจากโอกาสเกือบ 35% ที่เคยคาดไว้ในช่วงเย็นวันอังคาร Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 102.82 ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 102.62 ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร และปิดตลาดวันพุธด้วยการปรับขึ้นรายวันครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหนึ่งสัปดาห์ โดยก่อนหน้านี้ดัชนีดอลลาร์เพิ่งดิ่งลงแตะ 102.46 ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนส.ค.
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 147.24 เยนในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยอ่อนค่าลงจากระดับปิดตลาดวันอังคารที่ 147.48 เยน หลังจากดิ่งลงแตะจุดต่ำสุดในรอบกว่า 2 เดือนที่ 146.68 เยนในระหว่างวัน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0968 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพุธ โดยปรับลงจาก 1.0990 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 1.1017 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 10 ส.ค.
ดัชนี Nasdaq และดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐขยับลงในวันพุธ แต่ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ขยับขึ้นในวันพุธ ในขณะที่นักลงทุนชะลอการลงทุนก่อนที่สหรัฐจะรายงานดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ออกมาในวันพฤหัสบดี โดยดัชนี PCE ถือเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) นิยมใช้ ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันพุธว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐเพิ่มขึ้น 5.2% ในไตรมาส 3 เมื่อเทียบเป็นตัวเลขเต็มปี (annualized) ซึ่งสูงกว่าตัวเลขประเมินครั้งแรกที่ระดับ 4.9% และสิ่งนี้ตอกย้ำให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐสามารถรักษาระดับความแข็งแกร่งไว้ได้เป็นอย่างดี แต่รายงานตัวเลขนี้ไม่ได้สนับสนุนให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในอนาคตอันใกล้นี้ ทั้งนี้ ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และหุ้นกลุ่มการเงินถือเป็นหุ้นสองกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุดในวันพุธ แต่หุ้นกลุ่มบริการการสื่อสารดิ่งลง 1.1% ทางด้านหุ้นบริษัทฮูมานารูดลง 5.5% และหุ้นบริษัทซิกนา กรุ๊ปดิ่งลง 8.1% หลังจากแหล่งข่าวกล่าวว่าบริษัทประกันสุขภาพ 2 แห่งนี้อยู่ในระหว่างการเจรจาเรื่องการควบกิจการเข้าด้วยกัน Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดขยับขึ้น 0.04% สู่ 35,430.42
ดัชนี S&P 500 ปิดขยับลง 0.09% สู่ 4,550.58 โดยดัชนีได้รับแรงกดดันมากที่สุดจากการดิ่งลงของหุ้นกลุ่มโมเมนตัมที่มักได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ย โดยเฉพาะหุ้นบริษัทไมโครซอฟท์ที่รูดลง 1.0% ในวันพุธ และหุ้นแอปเปิลที่ร่วงลง 0.5% ในวันพุธ อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P 500 ยังคงมีแนวโน้มว่าอาจจะปิดตลาดเดือนพ.ย.ด้วยการพุ่งขึ้นรายเดือนครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2022
ดัชนี Nasdaq ปิดปรับลง 0.16% สู่ 14,258.49
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX พุ่งขึ้นในวันพุธ ในขณะที่นักลงทุนรอดูการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร (โอเปกพลัส) ในวันพฤหัสบดี และนักลงทุนตั้งความหวังว่า กลุ่มโอเปกพลัสอาจจะดำเนินมาตรการที่ช่วยหนุนราคาน้ำมัน หลังจากแหล่งข่าวกล่าวว่า การเจรจาในช่วงก่อนการประชุมมุ่งความสนใจไปยังการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันลงอย่างรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก แต่ทางกลุ่มโอเปกพลัสยังไม่ได้ตกลงกันในรายละเอียดของเรื่องนี้ นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลยังรายงานอีกด้วยว่า กลุ่มโอเปกพลัสอาจจะปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันลงไปอีก 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน หลังจากทางกลุ่มดำเนินมาตรการปรับลดอุปทานน้ำมันลงไปแล้วราว 5 ล้านบาร์เรลต่อวันในช่วงที่ผ่านมา หรือราว 5% ของอุปสงค์น้ำมันในตลาดโลก ทั้งนี้ สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานในวันพุธว่า สต็อกน้ำมันดิบในคลังสหรัฐพุ่งขึ้น 1.6 ล้านบาร์เรล สู่ 449.7 ล้านบาร์เรลในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 24 พ.ย., สต็อกน้ำมันเบนซินในคลังสหรัฐทะยานขึ้น 1.8 ล้านบาร์เรล สู่ 218.2 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมัน Distillate ในคลังสหรัฐ ซึ่งครอบคลุมน้ำมันดีเซลและน้ำมัน heating oil ทะยานขึ้น 5.2 ล้านบาร์เรล สู่ 110.8 ล้านบาร์เรล Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนม.ค.ทะยานขึ้น 1.45 ดอลลาร์ หรือ 1.9% มาปิดตลาดที่ 77.86 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนม.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนพุ่งขึ้น 1.42 ดอลลาร์ หรือ 1.7% มาปิดตลาดที่ 83.10 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 3.70 ดอลลาร์ สู่ 2,044.59 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 2,051.89 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 5 พ.ค. หรือจุดสูงสุดในรอบเกือบ 7 เดือน โดยราคาทองได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า ทั้งนี้ ราคาทองได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากการดิ่งลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีดิ่งลงจาก 4.336% ในช่วงท้ายวันอังคาร สู่ 4.271% ในช่วงท้ายวันพุธ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรมีแนวโน้มว่าอาจจะปิดตลาดเดือนพ.ย.ด้วยการรูดลงรายเดือนครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2021 Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--27 พ.ย.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอ่อนค่าลงในวันศุกร์ โดยได้รับแรงกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ หลังจากบริษัทเอสแอนด์พี โกลบอลรายงานในวันศุกร์ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) โดยรวมขั้นต้นของสหรัฐทรงตัวที่ 50.7 ในเดือนนี้ ในขณะที่ดัชนี PMI ภาคบริการของสหรัฐขยับขึ้นจาก 50.6 ในเดือนต.ค. สู่ 50.8 ในเดือนพ.ย. และปัจจัยนี้ช่วยชดเชยดัชนี PMI ภาคการผลิตของสหรัฐที่ร่วงลงจาก 50.0 ในเดือนต.ค. สู่ 49.4 ในเดือนพ.ย. โดยดัชนีที่ระดับต่ำกว่า 50 แสดงให้เห็นถึงการหดตัว นอกจากนี้ เอสแอนด์พี โกลบอลยังระบุอีกด้วยว่า การที่ยอดสั่งซื้อไม่ได้พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งส่งผลให้ดัชนีการจ้างงานของสหรัฐดิ่งลงจาก 51.3 ในเดือนต.ค. สู่ 49.7 ในเดือนพ.ย. ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการจ้างงานในภาคเอกชนหดตัวลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2020 และสิ่งนี้สอดคล้องกับการคาดการณ์ที่ว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจชะลอตัวลงในไตรมาส 4 ทั้งนี้ การที่ตลาดแรงงานในสหรัฐอ่อนแอลงจะส่งผลดีต่อธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในการต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ ในขณะที่ดัชนีดอลลาร์มีแนวโน้มว่าอาจจะปิดตลาดเดือนพ.ย.ด้วยการดิ่งลงรายเดือนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 1 ปี โดยได้รับแรงกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า วัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดสิ้นสุดลงแล้ว และเฟดอาจจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีหน้า Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 103.41 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ โดยอ่อนค่าลงจาก 103.76 ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี และเข้าใกล้จุดต่ำสุดรอบ 2 เดือนครึ่งที่ 103.17 ที่เคยทำไว้ในวันที่ 21 พ.ย. โดยดัชนีดอลลาร์ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการปรับลง 0.4% จากสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากดิ่งลง 1.9% ในสัปดาห์ที่แล้ว
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 149.44 เยนในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ โดยปรับลงจากระดับปิดตลาดวันพฤหัสบดีที่ 149.56 เยน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0939 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันศุกร์ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 1.0904 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์และดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกขึ้นเล็กน้อยในวันศุกร์ แต่ดัชนี Nasdaq ปิดปรับลงเล็กน้อย โดยได้รับแรงกดดันจากความอ่อนแอของหุ้นบริษัทขนาดยักษ์ในกลุ่มโมเมนตัม ในขณะที่วอลุ่มการซื้อขายอยู่ในระดับเบาบางหลังวันขอบคุณพระเจ้า และนักลงทุนรอดูสัญญาณบ่งชี้ว่าผู้บริโภคสหรัฐจับจ่ายใช้สอยมากเพียงใดในช่วงเริ่มต้นของฤดูช้อปปิ้งปลายปี ทั้งนี้ ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น หุ้น 9 กลุ่มใหญ่ปิดตลาดในแดนบวกในวันศุกร์ โดยหุ้นกลุ่มการแพทย์ถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด ส่วนหุ้น 2 กลุ่มที่ปิดตลาดในแดนลบคือหุ้นกลุ่มบริการการสื่อสารและหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยหุ้นบริษัทเอ็นวิเดียซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปดิ่งลง 1.9% หลังจากรอยเตอร์รายงานข่าวว่า เอ็นวิเดียประสบความล่าช้าในการเปิดตัวชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ออกแบบมาเพื่อให้สอดคล้องกับกฎการส่งออกของสหรัฐ โดยอาจจะมีการเลื่อนการเปิดตัวชิปดังกล่าวออกไปจนถึงไตรมาสแรกของปี 2024 Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.33% สู่ 35,390.15
ดัชนี S&P 500 ปิดขยับขึ้น 0.06% สู่ 4,559.34
ดัชนี Nasdaq ปิดขยับลง 0.11% สู่ 14,250.86 โดยดัชนีตลาดหุ้นสำคัญทั้ง 3 ดัชนีของสหรัฐปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนบวกได้เป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ดิ่งลงในวันศุกร์ ในขณะที่มีการปล่อยตัวประกันชุดแรกออกจากเขตกาซาในวันศุกร์ ซึ่งถือเป็นวันแรกของแผนการหยุดยิงเป็นเวลา 4 วันในอิสราเอล และปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ค่าพรีเมียมความเสี่ยงจากความขัดแย้งทางการเมืองปรับลดลง อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันดิบยังคงปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการปรับขึ้นรายสัปดาห์เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 1 เดือน ก่อนที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร (โอเปกพลัส) จะจัดการประชุมในวันที่ 30 พ.ย.เพื่อตัดสินใจเรื่องมาตรการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันสำหรับปี 2024 ทั้งนี้ แหล่งข่าวกล่าวว่า กลุ่มโอเปกพลัสใกล้ที่จะประนีประนอมกับประเทศผู้ผลิตน้ำมันในทวีปแอฟริกาในเรื่องปริมาณการผลิตน้ำมันสำหรับปี 2024 โดยนายโทนี ซีคามอร์ นักวิเคราะห์ของบริษัทไอจีกล่าวว่า "มีแนวโน้มสูงที่กลุ่มโอเปกพลัสจะต่ออายุมาตรการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันที่ใช้อยู่ในปัจจุบันออกไป" Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนม.ค.ดิ่งลง 1.56 ดอลลาร์ หรือ 2% มาปิดตลาดที่ 75.54 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนม.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนรูดลง 84 เซนต์ หรือ 1% มาปิดตลาดที่ 80.58 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 10.18
ดอลลาร์ สู่ 2,001.97 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ และปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้น 1.11% จากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนบวกได้เป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกัน โดยราคาทองได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ ในขณะที่นักลงทุนคาดว่า วัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้สิ้นสุดลงแล้ว ทั้งนี้ ธนาคารคอมเมอร์ซแบงก์คาดว่า เฟดจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในช่วงกลางปีหน้า ซึ่งจะส่งผลให้ราคาทองมีแนวโน้มเคลื่อนตัวอยู่เหนือระดับ 2,000 ดอลลาร์ได้อย่างยั่งยืนเมื่อถึงเวลานั้น ทางด้านเทรดเดอร์คาดว่า เฟดมีแนวโน้มจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมในการประชุมวันที่ 12-13 ธ.ค. และมีโอกาสราว 64% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนพ.ค.ปีหน้า Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
เมืองควิเบก แคนาดา, Nov. 15, 2023 (GLOBE NEWSWIRE) — LeddarTech® บริษัทซอฟต์แวร์ยานยนต์ที่ให้บริการซอฟต์แวร์ฟิวชันเซ็นเซอร์และการรับรู้ระดับต่ำที่ได้รับการจดสิทธิบัตรสำหรับ ADAS และ AD ได้ประกาศอย่างภาคภูมิใจที่จะแต่งตั้งุคุณ Chris Stewart ให้ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (“CFO”)
ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ LeddarTech คุณ Stewart จะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุน LeddarTech ในการรวมธุรกิจกับ Prospector Capital Corp. ซึ่งมีการประกาศเมื่อเร็ว ๆ นี้ และการเปลี่ยนผ่านเป็นบริษัทที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์
คุณ Stewart มีประสบการณ์ด้านการจัดการทางการเงินมากกว่า 20 ปีในบริษัทต่าง ๆ ตั้งแต่ระดับสตาร์ทอัพไปจนถึงบริษัทมหาชนขนาดใหญ่ ก่อนหน้านี้ คุณ Stewart ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Bionano Genomics Inc. ตั้งแต่เดือนกันยายน 2563 จนกระทั่งได้ร่วมงานกับ LeddarTech ในเดือนพฤศจิกายน 2566 ดำรงตำแหน่งหัวหน้าของ Maxwell Ultracapacitors ที่ Tesla Inc. ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2562 ถึงกรกฎาคม 2563 และดำรงตำแหน่งรองประธานฝ่ายการเงินและเทคโนโลยีสารสนเทศที่ Maxwell Technologies Inc. ซึ่งเป็นบริษัทจัดเก็บพลังงานสาธารณะ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2558 ถึงพฤษภาคม 2562 ซึ่งเป็นเวลาที่ Tesla เข้าซื้อบริษัท นอกจากนี้ คุณ Stewart ยังดำรงตำแหน่งผู้นำหลายตำแหน่ง ซึ่งรวมถึงรองประธานฝ่ายการเงินที่ Entropic Communications และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ V-ENABLE Inc. (ปัจจุบันคือ GroundTruth) ซึ่งเป็นผู้นำด้านโฆษณาบนมือถือแบบกำหนดเป้าหมาย
คุณ Stewart สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีในสาขาบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัย Southern California และปริญญาโทสาขาวิชาการบริหารอุตสาหกรรมจากมหาวิทยาลัย Carnegie Mellon
“ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานกับบริษัทที่มีวิสัยทัศน์แห่งนี้ อีกทั้งยังได้ทำงานร่วมกับพนักงานของ LeddarTech ในช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้” คุณ Stewart กล่าว “ผมตั้งตารอที่จะสร้างพันธมิตรที่น่าเกรงขามในทุกระดับ ซึ่งรวมถึงผู้ถือหุ้นของ LeddarTech คณะกรรมการบริหารและทีมผู้นำ และสนับสนุน LeddarTech ในขณะที่บริษัทดำเนินการเพื่อบรรลุการรวมธุรกิจและดำเนินงานในฐานะบริษัทที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ผมรู้สึกกระชุ่มกระชวยอย่างมากกับความสำเร็จของ LeddarTech และตั้งตารอที่จะช่วยให้บริษัทได้ตระหนักถึงศักยภาพทั้งหมดที่มีอยู่ของบริษัท”
คุณ Charles Boulanger ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ LeddarTech ได้แสดงความคิดเห็นว่า: “ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่คุณ Chris ได้เข้าร่วมทีมผู้บริหารของ LeddarTech ในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ในฐานะผู้บริหารทางการเงินที่ประสบความสำเร็จ อีกทั้งยังมีประสบการณ์กว้างขวางในการเป็นผู้นำและการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานทางการเงินขององค์กรต่าง ๆ คุณ Chris จึงมีประวัติที่น่าเชื่อถือในการจัดการและเปลี่ยนแปลงฟังก์ชันทางการเงินเพื่อขับเคลื่อนความสามารถในการทำกำไรและการเติบโต ทักษะความสามารถของ Chris สอดคล้องกับเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของ LeddarTech อย่างสมบูรณ์แบบ”
LeddarTech Inc. (“LeddarTech”) และ Prospector Capital Corp. (“Prospector”) (NASDAQ: PRSR, PRSRU, PRSRW) เป็นบริษัทที่ไม่มีภาระต้องจ่ายภาษีใด ๆ (exempted company) ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่เกาะเคย์แมน ซึ่งนำโดยอดีตประธาน Qualcomm Derek Aberle และมีอดีตรองประธาน Qualcomm Steve Altman เป็นประธาน เป็นคู่สัญญาในข้อตกลงการรวมธุรกิจขั้นสุดท้าย ซึ่งเมื่อการรวมธุรกิจเสร็จสิ้น จะส่งผลให้ LeddarTech กลายเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อปิดการทำธุรกรรม ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสที่สี่ของปี 2566 LeddarTech Holdings Inc. (“Newco”) ซึ่งเป็นบริษัทที่มีการควบรวมกิจการซึ่งก่อตั้งขึ้นจากการรวมธุรกิจนั้น คาดว่าจะได้รับการจดทะเบียนใน NASDAQ ภายใต้สัญลักษณ์ย่อ “LDTC”
เกี่ยวกับ LeddarTech
บริษัทซอฟต์แวร์ระดับโลกที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2550 และมีสำนักงานใหญ่ในควิเบกซิตี้ โดยมีศูนย์การวิจัยและพัฒนาเพิ่มเติมในมอนทรีออล โตรอนโต และเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล LeddarTech พัฒนาและจัดหาโซลูชันซอฟต์แวร์การรับรู้ที่ครอบคลุมซึ่งเปิดใช้งานการใช้งาน ADAS และแอปพลิเคชันการขับขี่อัตโนมัติ (AD) ซอฟต์แวร์เกรดยานยนต์ของ LeddarTech นั้นใช้ AI ขั้นสูงและอัลกอริธึมการมองเห็นด้วยคอมพิวเตอร์เพื่อสร้างแบบจำลอง 3D ของสภาพแวดล้อมที่แม่นยำ ช่วยให้สามารถตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้นและนำทางได้ปลอดภัยยิ่งขึ้น เทคโนโลยีที่ประสิทธิภาพสูง ปรับขนาดได้และคุ้มค่านี้มีให้สำหรับ OEM และซัพพลายเออร์ระดับ Tier 1-2 เพื่อใช้โซลูชัน ADAS สำหรับยานยนต์และรถออฟโรดอย่างมีประสิทธิภาพ
LeddarTech นั้นเป็นผู้รับผิดชอบนวัตกรรมการรับรู้จากระยะไกลหลายรายการ โดยมีการยื่นขอรับสิทธิบัตรมากกว่า 150 ฉบับ (ได้รับอนุมัติ 80 ฉบับ) ซึ่งนำไปใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของ ADAS และ AD การรับรู้ถึงรอบยานพาหนะที่ดีขึ้นนั้นเป็นสิ่งสำคัญในการทำให้การสัญจรทั่วโลกปลอดภัยขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ยั่งยืนและราคาสามารถเข้าถึงได้: นี่คือสิ่งที่ผลักดันให้ LeddarTech พยายามกลายเป็นโซลูชันซอฟต์แวร์ฟิวชันเซ็นเซอร์และการรับรู้ที่นำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ LeddarTech ได้ที่ www.leddartech.com และบน LinkedIn, Twitter, Facebook และ YouTube.
เกี่ยวกับ Prospector Capital Corp.
Prospector คือบริษัทเข้าซื้อกิจการที่มีจุดประสงค์พิเศษซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อให้เกิดการควบรวมกิจการ การแลกเปลี่ยนหุ้น การได้มาซึ่งสินทรัพย์ การซื้อหุ้น การปรับโครงสร้างองค์กร หรือการรวมธุรกิจที่คล้ายกันกับธุรกิจตั้งแต่หนึ่งแห่งขึ้นไป โดยมุ่งเน้นไปที่บริษัทที่มีโซลูชันขั้นสูงและมีความแตกต่างสูงสำหรับภาคส่วนเทคโนโลยี บริษัทนำโดยทีมผู้ลงทุนและผู้บริหารที่มีประสบการณ์ ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การจำแนกและการลงทุนในบริษัทที่มีการเติบโตสูง ซึ่งมีทีมผู้บริหารที่แข็งแกร่งและมีโอกาสทางการตลาดที่น่าสนใจ หลักทรัพย์ของ Prospector มีการซื้อขายบน NASDAQ ภายใต้สัญลักษณ์ย่อ “PRSR” “PRSRU” และ “PRSRW”
ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับธุรกรรมที่เสนอและที่ที่จะหาข้อมูลดังกล่าว
ในการเชื่อมต่อกับการรวมธุรกิจที่เสนอ Prospector, LeddarTech และกิจการที่ควบรวมกันจะจัดเตรียมและจะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการลงทะเบียนในแบบฟอร์ม F-4 (“คำชี้แจงการลงทะเบียน”) ต่อ SEC Prospector, LeddarTech และกิจการที่รวมกันจะจัดเตรียมและยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการลงทะเบียนต่อ SEC และ Prospector จะส่งแบบแสดงรายการข้อมูลการลงทะเบียนไปยังผู้ถือหุ้นทางไปรษณีย์ และยื่นเอกสารอื่น ๆ เกี่ยวกับการรวมธุรกิจต่อ SEC ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ไม่ได้ใช้แทนหนังสือมอบฉันทะ ใบลงทะเบียน หนังสือมอบฉันทะ/หนังสือชี้ชวน หรือเอกสารอื่น ๆ ที่ Prospector หรือกิจการที่รวมกันอาจยื่นต่อ SEC ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรวมธุรกิจ ผู้ลงทุนและผู้ถือครองหลักทรัพย์ควรอ่านแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์อย่างถี่ถ้วนและครบถ้วนเมื่อมีให้ รวมถึงอ่านการแก้ไขหรือส่วนเสริมใด ๆ ในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ และเอกสารอื่น ๆ ที่ยื่นโดย Prospector หรือกิจการที่รวมกันต่อ SEC ที่เกี่ยวข้องกับการรวมธุรกิจ เนื่องจากเอกสารเหล่านี้จะประกอบด้วยข้อมูลสำคัญ ผู้ลงทุนและผู้ถือครองหลักทรัพย์จะสามารถรับสำเนาแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และเอกสารอื่น ๆ ที่ยื่นต่อ SEC โดย Prospector หรือกิจการที่รวมกันได้ฟรีผ่านทางเว็บไซต์ที่ดูแลโดย SEC ที่www.sec.gov
ข้อความเชิงคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต
ข้อความบางข้อความในข่าวประชาสัมพันธ์นี้อาจถือเป็นข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าตามความหมายของพระราชบัญญัติปฏิรูปการฟ้องร้องคดีหลักทรัพย์ส่วนบุคคลปี 2538 แห่งสหรัฐอเมริกา มาตรา 27A ว่าด้วยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ และมาตรา 21E ว่าด้วยพระราชบัญญัติการแลกเปลี่ยน (ซึ่งข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าจะรวมถึง แถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้าและข้อมูลเชิงคาดการณ์ล่วงหน้าตามความหมายของกฎหมายหลักทรัพย์ของแคนาดาที่มีการบังคับใช้) ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงข้อความเกี่ยวกับการรวมธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Prospector, LeddarTech และ Newco ความสามารถในการบรรลุผลสำเร็จของการรวมธุรกิจและระยะเวลา ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการรวมธุรกิจ การปิดการจัดหาเงินทุนสำหรับบุคคลในวงจำกัดและรายได้ที่คาดว่าจะได้รับจากการดำเนินการดังกล่าว และข้อความที่เกี่ยวข้องกับกลยุทธ์ของ Newco ที่มีการคาดการณ์ไว้ การดำเนินงานในอนาคต โอกาส วัตถุประสงค์ และประมาณการทางการเงิน และเมตริกทางการเงินอื่น ๆ ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ในอนาคตโดยทั่วไปประกอบด้วยข้อความที่มีลักษณะที่เป็นการคาดการณ์ และขึ้นอยู่กับหรืออ้างถึงเหตุการณ์หรือเงื่อนไขในอนาคต และรวมถึงคำเช่น “อาจ” “จะ” “ควร" “น่าจะ” “คาดหวัง” “คาดการณ์” ” “วางแผน” “มีแนวโน้ม” “เชื่อ” “ประมาณการ” “โครงการ” “ตั้งใจ” และสำนวนอื่น ๆ ที่คล้ายกัน ข้อความที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงในอดีตถือเป็นข้อความเชิงคาดการณ์ล่วงหน้า ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าตั้งอยู่บนความเชื่อและสมมติฐานในปัจจุบันที่มีความเสี่ยงและความไม่แน่นอน และไม่ได้รับประกันประสิทธิภาพในอนาคต ผลลัพธ์ที่แท้จริงอาจแตกต่างอย่างมากจากที่มีอยู่ในข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าอันเป็นผลมาจากปัจจัยต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง: (i) ความเสี่ยงที่เงื่อนไขในการปิดการรวมธุรกิจไม่เป็นไปตามข้อกำหนด รวมถึงความล้มเหลวในการขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นสำหรับการรวมธุรกิจอย่างทันท่วงทีหรือโดยสิ้นเชิง หรือการไม่ได้รับการดำเนินการขออนุญาตขึ้นทะเบียนที่จำเป็นใด ๆ อย่างทันท่วงทีหรือโดยสิ้นเชิง รวมถึงศาลยุติธรรมชั้นต้นแห่งควิเบก (ii) ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเวลาของการบรรลุผลสำเร็จของการรวมธุรกิจและความสามารถของ Prospector, LeddarTech และกิจการที่รวมกันเพื่อบรรลุผลสำเร็จของการรวมธุรกิจ (iii) ความเป็นไปได้ที่ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการรวมธุรกิจจะไม่เกิดขึ้นจริง และการปฏิบัติทางภาษีที่คาดว่าจะได้รับจากการรวมธุรกิจ (iv) เกิดเหตุการณ์ใด ๆ ที่อาจนำไปสู่การยุติการรวมธุรกิจ (v) ความเสี่ยงที่การฟ้องร้องของผู้ถือหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการรวมธุรกิจหรือการชำระบัญชีหรือการสอบสวนอื่น ๆ อาจส่งผลกระทบต่อระยะเวลาหรือการเกิดขึ้นของการรวมธุรกิจ หรือส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายจำนวนมากในการป้องกัน การชดใช้ค่าเสียหาย และความรับผิด (vi) การเปลี่ยนแปลงในสภาวะเศรษฐกิจทั่วไปและ/หรืออุตสาหกรรมเฉพาะ (vii) การหยุดชะงักที่อาจเกิดขึ้นจากการรวมธุรกิจที่อาจส่งผลเสียต่อธุรกิจของ LeddarTech (viii) ความสามารถของ LeddarTech ในการรักษา ดึงดูด และจ้างบุคลากรหลัก (ix) ปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นหรือการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์กับลูกค้า พนักงาน ซัพพลายเออร์หรือบุคคลอื่น ๆ อันเป็นผลมาจากการประกาศหรือการสิ้นสุดของการรวมธุรกิจ (x) ความไม่แน่นอนทางธุรกิจที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่มีอยู่ในระหว่างการควบรวมธุรกิจที่อาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพทางการเงินของ LeddarTech (xi) การพัฒนาด้านกฎหมาย กฎระเบียบ และเศรษฐกิจ (xii) ความไม่แน่นอนและความรุนแรงของเหตุการณ์ภัยพิบัติ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง การก่อการร้าย การระบาดของสงครามหรือการเป็นศัตรู และการแพร่ระบาด การแพร่ระบาดใหญ่ หรือการระบาดของโรคใด ๆ (รวมถึงโควิด-19) ตลอดจนการตอบสนองของฝ่ายบริหารต่อปัจจัยใด ๆ ดังกล่าวข้างต้น (xiii) การเข้าถึงเงินทุนและการเงิน และความสามารถของ LeddarTech ในการรักษาการปฏิบัติตามพันธสัญญาหนี้สิน และ (xiv) ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ตามรายละเอียดในรายงานของ Prospector ที่ยื่นต่อ SEC เป็นระยะ รวมถึงรายงานประจำปีของ Prospector ในแบบฟอร์ม 10-K, รายงานประจำไตรมาสในแบบฟอร์ม 10-Q ที่จัดทำเป็นระยะ รายงานปัจจุบันในแบบฟอร์ม 8-K ที่จัดทำเป็นระยะ และเอกสารอื่น ๆ ที่ยื่นต่อ SEC ตลอดจนปัจจัยเสี่ยงที่จะระบุไว้ในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ รายการปัจจัยสำคัญข้างต้นยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้ง Prospector และ LeddarTech ไม่สามารถรับประกันได้ว่าเงื่อนไขในการรวมธุรกิจจะเป็นที่พอใจ ทั้ง Prospector และ LeddarTech ไม่มีภาระผูกพันใด ๆ ในการแก้ไขหรือปรับปรุงข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าใด ๆ หรือจัดทำข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นผลมาจากข้อมูลใหม่ เหตุการณ์ในอนาคตหรืออื่น ๆ เว้นแต่ตามที่กฎหมายที่ใช้บังคับได้กำหนดไว้
ไม่มีการเสนอหรือชักชวน
ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ไม่ถือเป็นการเสนอขายหรือการชักชวนให้ซื้อหลักทรัพย์ใด ๆ ของ Prospector หรือกิจการที่รวมกัน การชักชวนให้ลงคะแนนเสียงหรือการอนุมัติใด ๆ และจะไม่มีการขายหลักทรัพย์ในเขตอำนาจศาลใด ๆ ที่ข้อเสนอ การชักชวน หรือการขายดังกล่าวจะผิดกฎหมายก่อนที่จะมีการจดทะเบียนหรือมีคุณสมบัติเหมาะสมภายใต้กฎหมายหลักทรัพย์ของเขตอำนาจศาลดังกล่าว การเสนอขายหลักทรัพย์จะกระทำมิได้เว้นแต่จะใช้วิธีชี้ชวนซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดของมาตรา 10 ของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ปี 1933 ซึ่งมีการแก้ไขเพิ่มเติม ("พระราชบัญญัติหลักทรัพย์")
ผู้มีส่วนร่วมในการชักชวน
Prospector, LeddarTech และกิจการที่รวมกัน ตลอดจนกรรมการ เจ้าหน้าที่บริหาร และพนักงานบางรายที่เกี่ยวข้อง อาจถือว่าเป็นผู้มีส่วนร่วมในการชักชวนของตัวแทนที่เกี่ยวข้องกับการรวมธุรกิจ สามารถดูข้อมูลเกี่ยวกับกรรมการและเจ้าหน้าที่บริหารของ Prospector ได้จากรายงานประจำปีในแบบฟอร์ม 10-K สำหรับปีบัญชีซึ่งสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565 โดยมีการยื่นต่อ SEC เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2566 ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลที่อาจถือว่าเป็นผู้มีส่วนร่วมในการชักชวนของตัวแทนที่เกี่ยวข้องกับการรวมธุรกิจซึ่งอยู่ภายใต้กฎของ SEC รวมถึงคำอธิบายเกี่ยวกับผลประโยชน์โดยตรงหรือโดยอ้อมจากการถือครองหลักทรัพย์หรืออื่น ๆ จะระบุไว้ในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเมื่อมีการยื่นเอกสารดังกล่าวต่อ SEC สามารถรับเอกสารเหล่านี้ได้ฟรีจากแหล่งที่ระบุไว้ข้างต้น
ติดต่อ:Daniel Aitken รองประธานฝ่ายการตลาดระดับโลก การสื่อสารและผู้ลงทุนสัมพันธ์ของ LeddarTech Inc. โทร.: + 1-418-653-9000 ต่อ 232 daniel.aitken@LeddarTech.com
Leddar, LeddarTech, LeddarVision, LeddarSP, VAYADrive, VayaVision และโลโก้ที่เกี่ยวข้องเป็นเครื่องหมายการค้าหรือเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ LeddarTech Inc. และบริษัทในเครือ แบรนด์ ชื่อผลิตภัณฑ์ และเครื่องหมายอื่น ๆ ทั้งหมดเป็นหรืออาจเป็นเครื่องหมายการค้าหรือเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนที่ใช้เพื่อระบุผลิตภัณฑ์หรือบริการของเจ้าของที่เกี่ยวข้อง
กรุงเทพฯ--19 ต.ค.--รอยเตอร์
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเยนและยูโรในวันพุธ โดยดอลลาร์ได้รับแรงหนุนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีที่พุ่งขึ้นแตะ 4.928% ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันพุธ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดรอบ 16 ปี และนักลงทุนเข้าซื้อดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัย ในขณะที่นักลงทุนจับตาดูว่าสงครามระหว่างกลุ่มฮามาสกับอิสราเอลในภูมิภาคตะวันออกกลางจะทวีความรุนแรงขึ้นหรือไม่ ทั้งนี้ ดอลลาร์ได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงเป็นเวลานาน ในขณะที่เฟดพยายามทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% โดยนายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ หนึ่งในผู้ว่าการเฟดกล่าวในวันพุธว่า เขาต้องการจะ "รอและจับตาดู" ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะยังคงอยู่ในภาวะแข็งแกร่งต่อไป หรือว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะอ่อนแอลงโดยได้รับแรงกดดันจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในช่วงที่ผ่านมา โดยถ้อยแถลงของเขาบ่งชี้ว่า เฟดอาจจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 31 ต.ค.-1 พ.ย. แต่เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงหลังจากนั้น ส่วนนายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์คกล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยจำเป็นจะต้องอยู่ในระดับสูงต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อจะได้ทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 106.54 ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 106.22 ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร และเทียบกับระดับ 107.34 ที่เคยทำไว้ในวันที่ 3 ต.ค. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2022 โดยดัชนีดอลลาร์พุ่งขึ้นมาแล้วราว 7% นับตั้งแต่กลางเดือนก.ค. ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปีทะยานขึ้นราว 1.20% ในช่วงเวลาเดียวกัน
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 149.92 เยนในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยปรับขึ้นจากระดับปิดตลาดวันอังคารที่ 149.80 เยน หลังจากปรับขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 2 สัปดาห์ที่ 149.96 เยนในระหว่างวัน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0535 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพุธ โดยอ่อนค่าลงจาก 1.0575 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร และเทียบกับระดับ 1.0448 ดอลลาร์ที่เคยทำไว้ในวันที่ 3 ต.ค. ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2022
ตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงในวันพุธ ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งสุงขึ้น หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดการเริ่มต้นสร้างบ้านเดี่ยวในสหรัฐพุ่งขึ้น 3.2% สู่ 963,000 ยูนิตต่อปีในเดือนก.ย. จาก 933,000 ยูนิตต่อปีในเดือนส.ค. และรายงานดังกล่าวสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงต่อไปเป็นเวลานาน โดยปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) พุ่งสูงขึ้น ซึ่งส่งผลลบต่อความน่าลงทุนของหุ้น โดยเฉพาะหุ้นของบริษัทที่มีหนี้สินสูง นอกจากนี้ ความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางก็กระตุ้นให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงสินทรัพย์เสี่ยงในช่วงนี้ด้วย ทั้งนี้ นักลงทุนจับตาดูการรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ในช่วงนี้ โดยหุ้นพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิลพุ่งขึ้น 2.6% หลังจากบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านสินค้าอุปโภคบริโภคแห่งนี้เปิดเผยยอดขายรายไตรมาสที่สูงเกินคาด แต่หุ้นยูไนเต็ด แอร์ไลน์ โฮลดิงส์ในกลุ่มสายการบินดิ่งลง 9.7% หลังจากทางบริษัทคาดว่าต้นทุนที่สูงขึ้นจะสร้างความเสียหายต่อผลกำไรในไตรมาส 4 โดยปัจจัยนี้มีส่วนกดดันให้ดัชนีหุ้นกลุ่มสายการบินของสหรัฐดิ่งลง 5.6% ในวันพุธด้วย ทางด้านหุ้นธนาคารมอร์แกน สแตนเลย์ดิ่งลง 6.8% หลังจากผลกำไรไตรมาส 3 ของบริษัทนี้ได้รับแรงกดดันจากความเฉื่อยชาในการทำข้อตกลงทางธุรกิจ Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.98% สู่ 33,665.08
ดัชนี S&P 500 ปิดดิ่งลง 1.34% สู่ 4,314.6
ดัชนี Nasdaq ปิดรูดลง 1.62% สู่ 13,314.30
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX พุ่งขึ้นในวันพุธ ในขณะที่นักลงทุนกังวลกับอุปทานน้ำมันในตลาดโลก หลังจากนายฮอสเซน อามิราบดอลลาเฮียน รมว.ต่างประเทศของอิหร่านเรียกร้องให้มีการคว่ำบาตรน้ำมันต่ออิสราเอล หลังจากมีชาวปาเลสไตน์หลายร้อยคนเสียชีวิตในเหตุระเบิดที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกาซา ซิตี้ อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวกล่าวว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ไม่ได้วางแผนที่จะดำเนินมาตรการใด ๆ ในทันทีตามข้อเรียกร้องของอิหร่าน ทางด้านจอร์แดนได้ยกเลิกแผนการที่จะจัดประชุมสุดยอดร่วมกับประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐ, ประธานาธิบดีมาห์มุด อับบาสของปาเลสไตน์ และประธานาธิบดีอับเดล ฟัตตาห์ อัล-ซิซี ของอียิปต์ ส่วนปธน.ไบเดนของสหรัฐประกาศว่าจะยืนหยัดเคียงข้างอิสราเอลในวันพุธ และเขากล่าวว่าเหตุระเบิดที่โรงพยาบาลในกาซาดูเหมือนว่าเกิดจากความผิดพลาดของกลุ่มนักรบในการยิงจรวด ทั้งนี้ ราคาน้ำมันได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากตัวเลขสต็อกน้ำมันในคลังสหรัฐด้วย โดยสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานในวันพุธว่า สต็อกน้ำมันดิบในคลังสหรัฐดิ่งลง 4.5 ล้านบาร์เรล สู่ 419.7 ล้านบาร์เรลในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 13 ต.ค. ถึงแม้โพลล์รอยเตอร์คาดว่าสต็อกน้ำมันดิบอาจปรับลดลงเพียง 300,000 บาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคุชชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบน้ำมันตามสัญญาในตลาด NYMEX ร่วงลง 758,000 บาร์เรล สู่ 21 ล้านบาร์เรล ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2014 และปัจจัยนี้ทำให้นักลงทุนกังวลกับคุณภาพของน้ำมันที่ยังคงเหลืออยู่ที่เมืองคุชชิง นอกจากนี้ EIA ยังรายงานอีกด้วยว่า สต็อกน้ำมันเบนซินในคลังสหรัฐดิ่งลง 2.4 ล้านบาร์เรล สู่ 223.3 ล้านบาร์เรล, สต็อกน้ำมัน Distillate ในคลังสหรัฐรูดลง 3.2 ล้านบาร์เรล สู่ 113.8 ล้านบาร์เรล และอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันปรับขึ้น 0.4% สู่ 86.1% Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนพ.ย.ทะยานขึ้น 1.66 ดอลลาร์ หรือ 1.9% มาปิดตลาดที่ 88.32 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 89.88 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดรอบ 2 สัปดาห์
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนธ.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนทะยานขึ้น 1.60 ดอลลาร์ หรือ 1.8% มาปิดตลาดที่ 91.50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 93.00 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดรอบ 2 สัปดาห์
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐพุ่งขึ้น 24.62 ดอลลาร์ หรือ 1.28% สู่ 1,947.69 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 1,962.39 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. หรือจุดสูงสุดในรอบกว่า 2 เดือน โดยราคาทองพุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 5% จากช่วงต้นเดือนต.ค. ในขณะที่นักลงทุนเข้าซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความกังวลเรื่องสงครามในภูมิภาคตะวันออกกลางที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ นายไรอัน แมคอินไทร์ ผู้จัดการพอร์ตลงทุนของบริษัทสปรอทท์ แอสเซท แมเนจเมนท์กล่าวว่า "ราคาทองอาจจะพุ่งขึ้นเหนือระดับ 2,000 ดอลลาร์ได้ในระยะอันใกล้นี้ ถ้าหากความขัดแย้งระหว่างประเทศทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และราคาทองอาจจะได้รับแรงหนุนถ้าหากเฟดหยุดพักจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หรือถ้าหากเฟดส่งสัญญาณว่ามีโอกาสน้อยลงที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต" Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--18 ต.ค.--รอยเตอร์
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเยนในวันอังคาร แต่ดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับยูโร หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขยอดค้าปลีกที่แข็งแกร่งเกินคาดในเดือนก.ย. โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันอังคารว่า ยอดค้าปลีกปรับขึ้น 0.7% ในเดือนก.ย. หลังจากปรับขึ้น 0.8% ในเดือนส.ค. และอยู่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ +0.3% สำหรับเดือนก.ย. ในขณะที่ภาคครัวเรือนปรับเพิ่มการซื้อยานยนต์และใช้จ่ายเงินมากยิ่งขึ้นในร้านอาหารและบาร์ โดยยอดขายในบริษัทตัวแทนจำหน่ายรถยนต์พุ่งขึ้น 1.0% ในเดือนก.ย. หลังจากปรับขึ้น 0.4% ในเดือนส.ค. ส่วนยอดขายที่ร้านอาหารและบาร์ปรับขึ้น 0.9% ในเดือนก.ย. ทั้งนี้ นักลงทุนรอฟังถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลายรายในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดในวันพฤหัสบดีที่ 19 ต.ค. ก่อนที่เจ้าหน้าที่เฟดจะเข้าสู่ช่วงของการงดแสดงความเห็นต่อสาธารณชนตั้งแต่วันที่ 21 ต.ค. และเฟดจะจัดการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 31 ต.ค.-1 พ.ย. โดยนายโธมัส บาร์คิน ประธานเฟดสาขาริชมอนด์กล่าวในวันอังคารว่า ต้นทุนการกู้ยืมที่อยู่ในระดับสูงเป็นเวลานานกำลังสร้างแรงกดดันในทางลบต่ออุปสงค์ แต่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าปัจจัยนี้จะส่งผลกระทบอย่างไรบ้างต่อการกำหนดนโยบายของเฟดในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 106.22 ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร โดยขยับลงจาก 106.26 ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ และเทียบกับระดับ 107.34 ที่เคยทำไว้ในวันที่ 3 ต.ค. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2022
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 149.80 เยนในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร โดยแข็งค่าขึ้นจากระดับปิดตลาดวันจันทร์ที่ 149.50 เยน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0575 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร โดยปรับขึ้นจาก 1.0558 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันจันทร์ และเทียบกับระดับ 1.0448 ดอลลาร์ที่เคยทำไว้ในวันที่ 3 ต.ค. ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2022
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดขยับขึ้นเล็กน้อยในวันอังคาร ส่วนดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดเกือบทรงตัว และดัชนี Nasdaq ปรับลงในวันอังคาร โดยตลาดหุ้นสหรัฐได้รับแรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่พุ่งสูงขึ้น หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีทะยานขึ้นจาก 4.71% ในช่วงท้ายวันจันทร์ สู่ 4.847% ในช่วงท้ายวันอังคาร หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันอังคารว่า ยอดค้าปลีกปรับขึ้น 0.7% ในเดือนก.ย. หลังจากปรับขึ้น 0.8% ในเดือนส.ค. และอยู่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ +0.3% สำหรับเดือนก.ย. นอกจากนี้ ตลาดหุ้นก็ได้รับแรงกดดันจากการดิ่งลงของหุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิปด้วย หลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศว่า ทางรัฐบาลวางแผนจะระงับการส่งออกชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) ขั้นสูงไปยังจีน โดยข่าวนี้ส่งผลให้ดัชนีฟิลาเดลเฟียสำหรับหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐร่วงลง 0.8% และส่งผลให้หุ้นบริษัทเอ็นวิเดีย ซึ่งถือเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกดิ่งลง 4.7% ถึงแม้เอ็นวิเดียคาดว่ามาตรการจำกัดการส่งออกนี้จะไม่ส่งผลกระทบมากนักต่อผลประกอบการของเอ็นวิเดียในระยะอันใกล้นี้ ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐได้รับแรงหนุนเข้ามาบ้างจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งที่บริษัทสหรัฐหลายแห่งรายงานออกมา ซึ่งรวมถึงธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกาที่มีราคาหุ้นพุ่งขึ้น 2.3% หลังจากเปิดเผยผลประกอบการ ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินของสหรัฐปรับขึ้น 0.6% ในวันอังคาร Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดขยับขึ้น 0.04% สู่ 33,997.65
ดัชนี S&P 500 ปิดขยับลง 0.01% สู่ 4,373.2
ดัชนี Nasdaq ปิดปรับลง 0.25% สู่ 13,533.75
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ทรงตัวในวันอังคาร แต่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับขึ้น ในขณะที่นักลงทุนรอดูว่าความพยายามทางการทูตของสหรัฐและการที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐจะเดินทางเยือนอิสราเอลในวันพุธจะสามารถช่วยป้องกันไม่ให้สงครามในภูมิภาคตะวันออกกลางลุกลามออกไปได้หรือไม่ โดยราคาน้ำมันได้รับแรงกดดันในช่วงแรก หลังจากนายโธมัส บาร์คิน ประธานเฟดสาขาริชมอนด์กล่าวในวันอังคารว่า ต้นทุนการกู้ยืมที่อยู่ในระดับสูงเป็นเวลานานกำลังสร้างแรงกดดันในทางลบต่ออุปสงค์ แต่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าปัจจัยนี้จะส่งผลกระทบอย่างไรบ้างต่อการกำหนดนโยบายของเฟดในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันได้รับแรงหนุนเข้ามาในวันอังคารด้วยเช่นกัน หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขยอดค้าปลีกที่แข็งแกร่งเกินคาด ทั้งนี้ นายอามิน นัสเซอร์ ซีอีโอของบริษัทซาอุดิ อารามโค ซึ่งถือเป็นบริษัทน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก กล่าวว่า ทางบริษัทสามารถปรับเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ถ้าหากมีความจำเป็น โดยทางบริษัทมีกำลังการผลิตส่วนเกิน 3 ล้านบาร์เรลต่อวัน และเขากล่าวว่าอุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มว่าอาจจะปรับขึ้นสู่ 103 ล้านบาร์เรลต่อวันในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ทางด้านการปิโตรเลียมสหรัฐ (API) ซึ่งเป็นหน่วยงานของเอกชน ได้เปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันสหรัฐประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 13 ต.ค. หลังจากตลาด NYMEX ปิดทำการในวันอังคาร โดยระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบในคลังสหรัฐดิ่งลงราว 4.4 ล้านบาร์เรล, สต็อกน้ำมันเบนซินในคลังสหรัฐรูดลงราว 1.6 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมัน distillate ในคลังสหรัฐลดลงราว 610,000 บาร์เรล Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนพ.ย.ทรงตัวที่ 86.66 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนธ.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนปรับขึ้น 25 เซนต์ มาปิดตลาดที่ 89.90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 3.63 ดอลลาร์ สู่ 1,923.07 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร และพุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 4% จากช่วงต้นเดือนต.ค. ในขณะที่เทรดเดอร์จับตาดูความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส และเทรดเดอร์รอฟังถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลายรายในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดในวันพฤหัสบดีที่ 19 ต.ค. ก่อนที่เจ้าหน้าที่เฟดจะเข้าสู่ช่วงของการงดแสดงความเห็นต่อสาธารณชนตั้งแต่วันที่ 21 ต.ค. และเฟดจะจัดการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 31 ต.ค.-1 พ.ย. ทั้งนี้ ธนาคารคอมเมอร์ซแบงก์ยังคงคาดการณ์ตามเดิมว่า ราคาทองจะอยู่ที่ 1,900 ดอลลาร์ในช่วงสิ้นปีนี้ และ 2,100 ดอลลาร์ในช่วงสิ้นปี 2024 โดยคอมเมอร์ซแบงก์ระบุว่า ถ้าหากความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางไม่ได้ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ราคาทองก็มีแนวโน้มว่าอาจปรับขึ้นเพียงในวงจำกัด ในขณะที่เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเวลาที่ช้าเกินคาด ทางด้านนายเอเวอเรทท์ มิลแมน หัวหน้านักวิเคราะห์ตลาดของบริษัทเกนส์วิลล์ คอยน์กล่าวว่า ถ้าหากความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางยังคงดำเนินต่อไป ราคาทองก็จะยังคงเคลื่อนตัวอยู่เหนือ 1,900 ดอลลาร์ Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ข้อมูลจากเคาน์เตอร์พอยต์ รีเสิร์ชพบว่า ตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลกหดตัวลง 8% สู่ระดับต่ำสุดของไตรมาส 3 ในรอบ 10 ปีเนื่องจากอุปสงค์ที่ซบเซาสำหรับแบรนด์ชั้นนำ อาทิ แอปเปิล และซัมซุงในตลาดประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่
ส่วนแบ่งตลาดของแบรนด์ชั้นนำ 5 แบรนด์ ซึ่งรวมถึงแบรนด์เสียวหมี่, ออปโป้ และวีโว่ของจีน ร่วงลงมาที่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี
รายงานนี้ทำให้เกิดความวิตกว่า ภาวะตกต่ำของตลาดอาจจะลดกำไรของบริษัทต่างๆ อาทิ แอปเปิล ซึ่งยอดขายร่วงลง 8% ในไตรมาสดังกล่าว ขณะที่ยอดขายของซัมซุงร่วงลง 13% แต่บริษัทที่มีส่วนแบ่งตลาดมากขึ้นในไตรมาสดังกล่าวได้แก่หัวเว่ย แม้ถูกสหรัฐออกมาตรการคว่ำบาตรเข้มงวดก็ตาม
อย่างไรก็ดี ยอดขายโดยรวมเพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาส 2 ซึ่งทำให้มีความหวังว่า ตลาดอาจจะหยุดสถิติการร่วงลงเมื่อเทียบรายปีนานกว่า 2 ปีในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ และเคานท์เตอร์พอยต์ระบุว่า การเปิดตัวไอโฟน 15 ที่วางจำหน่ายในเดือนก.ย.นั้นเป็นปัจจัยหนึ่งที่อาจจะช่วยพลิกฟื้นการขยายตัวในตลาดพัฒนาแล้วเช่นสหรัฐ, ยุโรป และเกาหลี
ตลาดเกิดใหม่เป็นตลาดที่สดใสสำหรับยอดขายสมาร์ทโฟนท่ามกลางปีที่ย่ำแย่ โดยในไตรมาส 3 ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเป็นภูมิภาคเดียวที่สามารถเติบโตขึ้นเมื่อเทียบรายปีได้--จบ--
Eikon source text
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน