ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
เพื่อเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็วและติดตามตลาดโฟกัสใน 15 นาที
ในโลกของมนุษยชาติ จะไม่มีคำกล่าวใด ๆ ที่ไม่มีจุดยืนใด ๆ หรือคำพูดใด ๆ ที่ไม่มีจุดประสงค์ใด ๆ
อัตราเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน และเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจเชิงนโยบายของธนาคารกลาง ทัศนคติและคำพูดของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยังมีอิทธิพลต่อการกระทำของเทรดเดอร์ในตลาดอีกด้วย
เงินทำให้โลกหมุนไป และสกุลเงินเป็นสินค้าถาวร ตลาดฟอเร็กซ์เต็มไปด้วยความประหลาดใจและความคาดหวัง
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
เพลิดเพลินกับกิจกรรมที่น่าตื่นเต้น ที่นี่ที่ FastBull
ข่าวด่วนล่าสุดและเหตุการณ์ทางการเงินทั่วโลก
ฉันมีประสบการณ์ 5 ปีในการวิเคราะห์ทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนามหภาคและการตัดสินแนวโน้มระยะกลางและระยะยาว ความสนใจของฉันอยู่ที่การพัฒนาของตะวันออกกลาง ตลาดเกิดใหม่ ถ่านหิน ข้าวสาลี และสินค้าเกษตรอื่นๆ
7 ปีของตลาดหุ้น การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โลหะมีค่า และประสบการณ์การซื้อขายและการวิเคราะห์อื่น ๆ โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐาน การสนับสนุนทางเทคนิค มีอคติต่อตรรกะธุรกรรมจากบนลงล่าง โดยเน้นที่วัฏจักรมหภาคและการควบคุมความเสี่ยง การคาดการณ์เชิงทฤษฎีอุปสงค์และอุปทานอเนกประสงค์ การเปลี่ยนแปลงของราคา สร้างสมดุลระหว่างผลกระทบของธุรกรรม การกระจายชิปและอารมณ์ตลาด และคงที่
อัปเดตล่าสุด
สร้างทัศนคติการลงทุนที่ดี
วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ปรัชญาการลงทุนของเขาประกอบด้วยการสร้างกรอบความคิดระยะยาว ขจัดญาณรบกวนของตลาด ไม่เก็งกำไร และเน้นย้ำว่าการลงทุนต้องมีมีจิตใจที่มั่นคงและเป้าหมายที่ชัดเจน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง
แม้ว่าระบบกฎหมายและกรอบการกำกับดูแลในฮ่องกงจะค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ตลาดหุ้นยังคงเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายพิเศษหลายประการ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่าง HKD และ USD นักลงทุนต่างชาติอาจเผชิญกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความผันผวนของนโยบายและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นฮ่องกงด้วย
โครงสร้างต้นทุนและภาษีเมื่อลงทุนในหุ้นฮ่องกง
ต้นทุนการซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมหุ้น ค่าอากรแสตมป์ ค่าธรรมเนียมการชำระบัญชี ฯลฯ สำหรับนักลงทุนต่างชาติอาจมีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินเพิ่มเติมเป็นดอลลาร์ฮ่องกงและภาษีอื่น ๆ ตามข้อบังคับท้องถิ่น
การวิเคราะห์อุตสาหกรรมฮ่องกง:อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็น
อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็นของฮ่องกง ได้แก่ รถยนต์ การศึกษา การท่องเที่ยว การจัดเลี้ยง เครื่องแต่งกาย และภาคส่วนอื่นๆ อีกมากมาย จากบริษัทจดทะเบียน 643 แห่งนั้น 35% เป็นบริษัทในจีนแผ่นดินใหญ่และคิดเป็น 65% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด ดังนั้นอุตสาหกรรมนี้จึงได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากเศรษฐกิจจีน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด
ไม่มีข้อมูล
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม
สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ลอนดอน/นิวยอร์ค/ฮ่องกง--25 ม.ค.--รอยเตอร์
กลุ่มฮูตีในเยเมน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน ได้โจมตีเรือขนส่งสินค้าในทะเลแดงในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้เรือจำนวนมากไม่สามารถแล่นผ่านคลองสุเอซที่เชื่อมระหว่างทวีปยุโรปกับทวีปเอเชีย และปัจจัยนี้สร้างความเสียหายเป็นอย่างมากต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ซึ่งรวมถึงส่งผลลบต่ออุปทานน้ำมัน, ธัญพืช และสินค้าอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมากด้วย ทั้งนี้ กองทุนเฮจด์ฟันด์ 5 แห่งได้แบ่งปันแนวคิดเกี่ยวกับวิธีการลงทุนท่ามกลางสถานการณ์นี้ โดยกองทุนแรกคือกองทุนเคย์เลอร์ แคปิตัลที่มีขนาด 54 ล้านดอลลาร์ โดยนายเบรนท์ เบลอท ผู้ก่อตั้งกองทุนนี้เปิดเผยว่า เขาชื่นชอบการลงทุนในออปชั่น ซึ่งครอบคลุมการขายพุทออปชั่นสเปรดสำหรับสัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบที่ส่งมอบในเดือนธ.ค. 2024 ซึ่งเป็นสัญญาสำหรับใช้ในการทำประกันความเสี่ยงถ้าหากราคาน้ำมันดิ่งลงสู่ระดับ 50-60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และการเข้าซื้อคอลล์ออปชั่นเป็นจำนวนสูงราว 5 เท่าของจำนวนพุทออปชั่นสเปรดที่ขายไป ซึ่งเป็นคอลล์ออปชั่นที่จะให้ผลกำไร ถ้าหากราคาสัญญาน้ำมันดิบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้นแตะ 120 ดอลลาร์ในปี 2024 นอกจากนี้ เขายังตั้งข้อสังเกตอีกด้วยว่า ถ้าหากนักลงทุนรายใดขายพุทสเปรดแบบนี้เป็นจำนวน 100 สัญญา และเข้าซื้อคอลล์ออปชั่นเป็นจำนวน 500 สัญญาก่อนเกิดสงครามยูเครนในช่วงต้นปี 2022 นักลงทุนรายนั้นก็จะทำกำไรได้สูงกว่า 4 ล้านดอลลาร์เมื่อเกิดสงครามยูเครน
กองทุนเฮดจ์ฟันด์แห่งที่ 2 คือกองทุนสเวลแลนด์ แคปิตัลที่มีขนาดราว 400 ล้านดอลลาร์ โดยนาเดีย มาร์ติน วิกเก็น ผู้บริหารของกองทุนนี้คาดว่า อุปสงค์ในบริษัทขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จะพุ่งสูงขึ้นในระยะยาว ในขณะที่ปัญหาการขาดตอนในทะเลแดงส่งผลให้ระยะเวลาในการขนส่ง LNG เพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา และความต้องการใช้เรือขนส่ง LNG ก็เพิ่มสูงขึ้นด้วย โดย LNG คือสิ่งที่นำมาใช้ในการผลิตเป็นก๊าซธรรมชาติเพื่อใช้ในการทำความร้อนและในการทำอาหาร ทั้งนี้ เธอกล่าวเสริมว่า อุปสงค์ดังกล่าวจะได้รับแรงหนุนจากปัจจัยหลายประการ ซึ่งรวมถึงการขนส่งสินค้าและการผลิตที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐ, อุปสงค์ที่ฟื้นตัวขึ้นในจีน, ภาวะเศรษฐกิจเฟื่องฟูในอินเดีย และการที่ก๊าซธรรมชาติเข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้นในการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานทดแทนได้ นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์กันอีกด้วยว่า ยอดนำเข้า LNG ในจีนจะพุ่งขึ้นสู่ 88 ล้านตันในปี 2025 จาก 27 ล้านตันในปี 2016 และยอดนำเข้า LNG ในเกาหลีใต้จะทะยานขึ้นสู่ 46 ล้านตันในปี 2025 จาก 34 ล้านตันในปี 2016
กองทุนเฮดจ์ฟันด์แห่งที่ 3 คือกองทุนออสไปซ์ แคปิตัลที่มีขนาด 1 พันล้านดอลลาร์ โดยนายทิม พิคเคอริง ผู้ก่อตั้งกองทุนนี้ระบุว่า ทางกองทุนหันมาพึ่งพากลยุทธ์การลงทุนแบบระยะสั้นมากยิ่งขึ้น เนื่องจากตลาดขาดทิศทางที่ชัดเจนในระยะยาว และสิ่งนี้ส่งผลให้ทางกองทุนถือครองสถานะขายในสินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มธัญพืชในวงกว้าง ในขณะที่ทางกองทุนถือครองทั้งสถานะซื้อและสถานะขายในสินค้ากลุ่มพลังงาน, โลหะ และสินค้าโภคภัณฑ์ ทางด้านราคาสัญญาข้าวโพดส่งมอบเดือนมี.ค.ดิ่งลงมาแล้ว 12% นับตั้งแต่เกิดสงครามในอิสราเอลในเดือนต.ค. 2023 ส่วนราคาสัญญาข้าวสาลีส่งมอบเดือนมี.ค.รูดลงมาแล้ว 23% ในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งนี้ ปัญหาการขาดตอนในทะเลแดงส่งผลให้เรือขนส่งธัญพืชหลายลำต้องแล่นอ้อมทวีปแอฟริกา แทนที่จะแล่นผ่านทะเลแดง ซึ่งส่งผลให้ระยะเวลาในการขนส่งสินค้ายาวนานขึ้น และส่งผลลบต่ออุปทาน โดยนายพิคเคอริงกล่าวเสริมว่า "เราคาดว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวมจะปรับขึ้นในช่วงต่อไปในปี 2024"
กองทุนเฮดจ์ฟันด์แห่งที่ 4 คือกองทุนของเรน ทรี พาร์ทเนอร์ส โดยนายเกิงเว่ย หลิน ซีอีโอของกองทุนแห่งนี้คาดว่า ปัญหาภาวะปั่นป่วนวุ่นวายในทะเลแดงจะดำเนินไปเพียงแค่ในระยะสั้นเท่านั้น และปัญหานี้ยังไม่ได้ส่งผลกระทบมากนักต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก อย่างไรก็ดี ต้นทุนการขนส่งได้พุ่งขึ้นมาแล้วในระยะสั้น และด้วยเหตุนี้เขาจึงชื่นชอบการลงทุนในบริษัทขนส่งสินค้าขนาดยักษ์ของจีน ในขณะที่จีนถือเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก และจีนถือเป็นประเทศผู้ส่งออกสินค้ารายใหญ่ที่สุดในโลกด้วย ทั้งนี้ ดัชนีค่าระวางตู้คอนเทนเนอร์เซี่ยงไฮ้ ซึ่งใช้วัดอัตราค่าระวางการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ออกจากท่าเรือในจีน พุ่งขึ้นมาแล้ว 120% นับตั้งแต่เดือนธ.ค.เป็นต้นมา แต่ดัชนีตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ของจีนดิ่งลงมาแล้วเกือบ 7% จากช่วงต้นเดือนนี้
กองทุนเฮดจ์ฟันด์แห่งที่ 5 คือริเวอร์พาร์ค ฟันด์ ซึ่งมีขนาด 2 พันล้านดอลลาร์ โดยนายคอนราด แวน ทีนโฮเวน ผู้จัดการพอร์ตลงทุนของริเวอร์พาร์คคาดว่า กลุ่มฮูตีจะโจมตีเรือเป็นเวลาไม่นานเกินกว่า 12-18 เดือน และด้วยเหตุนี้เขาจึงมองว่า มีโอกาสในการเข้าช้อนซื้อหุ้นบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคที่เคยมีราคาดิ่งลงในปีนี้โดยเป็นผลจากความกังวลเรื่องห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งรวมถึงบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ทั้งนี้ หุ้นบริษัทไนกี้ซึ่งเป็นผู้ค้าปลีกชุดกีฬาดิ่งลงมาแล้ว 7.5% ในปีนี้ ส่วนหุ้นลูลูเลมอนซึ่งเป็นผู้ค้าปลีกชุดกีฬาเช่นกัน รูดลงมาแล้ว 6% จากช่วงต้นปีนี้ แต่นายแวน ทีนโฮเวนเชื่อว่า ทั้งสองบริษัทนี้มีสต็อกสินค้าคงคลังส่วนเกินที่สามารถนำมาใช้ในการรับมือกับปัญหาด้านโลจิสติกส์ในระยะสั้น--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--25 ม.ค.--รอยเตอร์
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงในวันพุธ หลังจากแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ในขณะที่นักลงทุนปรับสถานะการลงทุน และนักลงทุนรอดูตัวเลขอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐประจำไตรมาส 4/2023 ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันพฤหัสบดี และรอดูดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันศุกร์ โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มักใช้ดัชนี PCE เป็นมาตรวัดภาวะเงินเฟ้อ นอกจากนี้ นักลงทุนก็รอดูผลการประชุมกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 30-31 ม.ค.ด้วย เพื่อมองหาสัญญาณบ่งชี้ว่า เฟดจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อใด โดยนักลงทุนคาดการณ์กันว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.25-5.50% ตามเดิมในการประชุมสิ้นเดือนม.ค. ทั้งนี้ เทรดเดอร์คาดการณ์ในวันพุธว่า มีโอกาสราว 40% ที่เฟดจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค. โดยปรับลดลงจากโอกาส 47% ที่เคยคาดไว้ในช่วงเย็นวันอังคาร และปรับลดลงจากโอกาส 80% ที่เคยคาดไว้เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน นอกจากนี้ เทรดเดอร์ยังคาดการณ์กันในวันพุธอีกด้วยว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 5 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในปี 2024 Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 103.29 ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยอ่อนค่าลงจาก 103.50 ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร หลังจากเพิ่งพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 6 สัปดาห์ที่ 103.82 ในวันอังคาร โดยดัชนีดอลลาร์พุ่งขึ้นมาแล้วราว 1.7% จากช่วงต้นปีนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเกินคาดของสหรัฐ และจากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดที่ส่งผลให้นักลงทุนปรับลดการคาดการณ์เรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 147.50 เยนในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยร่วงลงจากระดับปิดตลาดวันอังคารที่ 148.36 เยน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0883 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพุธ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 1.0851 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร หลังจากร่วงลงแตะจุดต่ำสุดรอบ 6 สัปดาห์ที่ 1.0820 ดอลลาร์ในวันอังคาร
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของตลาดหุ้นสหรัฐปรับลงในวันพุธ แต่ดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq บวกขึ้นในวันพุธ ในขณะที่หุ้นเน็ตฟลิกซ์พุ่งขึ้น 10.7% สู่จุดสูงสุดรอบ 2 ปี หลังจากเน็ตฟลิกซ์เปิดเผยว่ายอดสมาชิกพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และรายงานดังกล่าวทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่า เน็ตฟลิกซ์ได้รับชัยชนะในการแข่งขันกันระหว่างธุรกิจสตรีมมิง หลังจากเน็ตฟลิกซ์ออกมาตรการปราบปรามการแบ่งปันรหัสผ่าน และเน็ตฟลิกซ์มีเนื้อหาที่สามารถดึงดูดผู้ชม โดยการพุ่งขึ้นของหุ้นเน็ตฟลิกซ์มีส่วนช่วยหนุนดัชนีหุ้นกลุ่มบริการการสื่อสารของสหรัฐให้ทะยานขึ้น 1.2% และดัชนีหุ้นกลุ่มนี้ก็พุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 2 ปีในวันพุธด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐก็ได้รับแรงหนุนจากรายงานของบริษัท ASML ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ผลิตชิปของเนเธอร์แลนด์ที่บ่งชี้ว่า อุปสงค์ชิปทั่วโลกฟื้นตัวขึ้นด้วย โดยรายงานของ ASML มีส่วนช่วยหนุนดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐให้พุ่งขึ้น 1.54% ในวันพุธ และดัชนีหุ้นกลุ่มนี้สามารถแตะสถิติสูงสุดใหม่ได้ในระหว่างวัน ทั้งนี้ หุ้นบริษัทขนาดยักษ์ของสหรัฐพุ่งขึ้นในวันพุธ โดยหุ้นไมโครซอฟท์ปิดบวกขึ้น 0.92% สู่ 402.56 ดอลลาร์ หลังจากทะยานขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ที่ 405.63 ดอลลาร์ได้ในระหว่างวัน ซึ่งส่งผลให้มูลค่าในตลาดของไมโครซอฟท์พุ่งขึ้นมาอยู่เหนือ 3 ล้านล้านดอลลาร์ได้เป็นครั้งแรก ทางด้านหุ้นแอลฟาเบทพุ่งขึ้น 1.13% ในวันพุธ, หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ทะยานขึ้น 1.43% ในวันพุธ และหุ้นเอ็นวิเดียพุ่งขึ้น 2.49% ในวันพุธ Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับลง 0.26% สู่ 37,806.39
ดัชนี S&P 500 ปิดขยับขึ้น 0.08% สู่ 4,868.55 ในวันพุธ ซึ่งถือเป็นการทำสถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ได้เป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน แต่จำนวนหุ้นลบในดัชนีนี้อยู่สูงกว่าจำนวนหุ้นบวกในสัดส่วน 2.5 ต่อ 1 ในวันพุธ
ดัชนี Nasdaq ปิดบวกขึ้น 0.36% สู่ 15,481.92 หลังจากพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2022 ในระหว่างวัน โดยขณะนี้ดัชนีอยู่ห่างจากสถิติระดับปิดสูงสุดที่เคยทำไว้ในเดือนพ.ย. 2021 ในระดับไม่ถึง 4%
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX พุ่งขึ้นในวันพุธโดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยหลายประการ ซึ่งรวมถึงตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบในสหรัฐที่ดิ่งลงอย่างรุนแรงเกินคาด, การร่วงลงของปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐ, มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน, ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งรวมถึงในทะเลแดง, อิสราเอล และอิรัก และราคาน้ำมันก็ได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ในวันพุธด้วย เพราะการอ่อนค่าของดอลลาร์ส่งผลให้น้ำมันมีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ ทั้งนี้ สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานในวันพุธว่า สต็อกน้ำมันดิบในคลังสหรัฐดิ่งลง 9.2 ล้านบาร์เรล สู่ 420.7 ล้านบาร์เรลในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 19 ม.ค. ถึงแม้โพลล์รอยเตอร์คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบอาจลดลงเพียง 2.1 ล้านบาร์เรล ทางด้านปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐดิ่งลงจากสถิติสูงสุดที่ 13.3 ล้านบาร์เรลที่เคยทำไว้เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน สู่ 12.3 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดรอบ 5 เดือน ในขณะที่บ่อน้ำมันในสหรัฐประสบปัญหาทางการผลิตเพราะภาวะอากาศหนาวจัด Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนมี.ค.พุ่งขึ้น 72 เซนต์ หรือ 1.0% มาปิดตลาดที่ 75.09 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมี.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนปรับขึ้น 49 เซนต์ หรือ 0.6% มาปิดตลาดที่ 80.04 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐร่วงลง 16.10 ดอลลาร์ สู่ 2,012.59 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยราคาทองได้รับแรงกดดันจากตัวเลขกิจกรรมทางธุรกิจที่แข็งแกร่งในสหรัฐ ถึงแม้ว่าราคาทองได้รับแรงหนุนเข้ามาบ้างจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ก็ตาม ทั้งนี้ บริษัทเอสแอนด์พี โกลบอล รายงานในวันพุธว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) สำหรับผลผลิตโดยรวมของสหรัฐ ซึ่งครอบคลุมทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ พุ่งขึ้นจาก 50.9 ในเดือนธ.ค. สู่ 52.3 ในเดือนม.ค. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2023 โดยดัชนีที่ระดับสูงกว่า 50 แสดงให้เห็นว่าภาคเอกชนของสหรัฐขยายตัว นอกจากนี้ เอสแอนด์พี โกลบอลยังรายงานอีกด้วยว่า ดัชนีราคาผลผลิตของสหรัฐดิ่งลงจาก 54.8 ในเดือนธ.ค. สู่ 51.7 ในเดือนม.ค. ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2020 หรือจุดต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปีครึ่ง Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--18 ม.ค.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินปรับขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 1 เดือนในระหว่างช่วงการซื้อขายวันพุธ หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันพุธว่า ยอดค้าปลีกของสหรัฐปรับขึ้น 0.6% ในเดือนธ.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากปรับขึ้น 0.3% ในเดือนพ.ย. และอยู่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ +0.4% สำหรับเดือนธ.ค. โดยรายงานตัวเลขนี้บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีความแข็งแกร่ง และสิ่งนี้ส่งผลให้นักลงทุนปรับลดการคาดการณ์เรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทั้งนี้ นักลงทุนคาดการณ์ในวันพุธว่า มีโอกาส 53.2% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 0.25% ในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค. โดยปรับลดลงจากโอกาส 65.1% ที่เคยคาดไว้ในวันอังคาร Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 103.34 ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยขยับขึ้นจาก 103.31 ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 103.69 ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค. หรือจุดสูงสุดรอบหนึ่งเดือน
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 148.15 เยนในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยพุ่งขึ้นจากระดับปิดตลาดวันอังคารที่ 147.18 เยน หลังจากทะยานขึ้นแตะ 148.52 เยนในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 28 พ.ย.
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0881 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพุธ โดยปรับขึ้นจาก 1.0874 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร หลังจากดิ่งลงแตะ 1.0843 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค.
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันพุธ หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขยอดค้าปลีกเดือนธ.ค.ที่แข็งแกร่ง และรายงานตัวเลขดังกล่าวทำให้นักลงทุนปรับลดการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค. โดยรายงานตัวเลขดังกล่าวส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะ 4.129% ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันพุธ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค.ด้วย และปัจจัยนี้ก็ส่งผลลบต่อหุ้นบริษัทขนาดยักษ์ของสหรัฐ โดยหุ้นบริษัทอะเมซอน, เอ็นวิเดีย และแอลฟาเบทร่วงลง 0.5%-1% ในวันพุธ ในขณะที่หุ้นบริษัทเทสลาซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าดิ่งลง 2% หลังจากเทสลาปรับลดราคารถยนต์ "โมเดล วาย" ในเยอรมนี ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐ ซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มที่มักจะได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยดิ่งลง 1.9% ในวันพุธ ในขณะที่ดัชนี Russell 2000 สำหรับหุ้นบริษัทขนาดเล็กของสหรัฐปรับลง 0.7% และปิดตลาดที่ระดับปิดต่ำสุดในรอบกว่า 1 เดือน ทางด้านดัชนีความผันผวนตลาด CBOE หรือดัชนี VIX ที่ใช้วัดระดับความกังวลในตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดในรอบกว่า 2 เดือนที่ 15.40 ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันพุธ Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับลง 0.25% สู่ 37,266.67
ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.56% สู่ 4,739.21 และออกห่างจากสถิติระดับปิดสูงสุดที่ 4,796.56 ซึ่งเคยทำไว้ในวันที่ 3 ม.ค. 2022
ดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลง 0.59% สู่ 14,855.62
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ปรับขึ้นแต่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ร่วงลงในวันพุธ ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบสหรัฐได้รับแรงหนุนจากภาวะอากาศหนาวจัดซึ่งถือเป็นอุปสรรคขัดขวางการผลิตน้ำมันในสหรัฐ โดยรัฐนอร์ธ ดาโกตาของสหรัฐรายงานว่า อุณหภูมิที่ต่ำกว่าศูนย์องศาฟาเรนไฮต์ส่งผลให้ปริมาณการผลิตน้ำมันในรัฐนี้ดิ่งลง 650,000-700,000 บาร์เรลต่อวัน หรือดิ่งลงกว่าครึ่งหนึ่งของปริมาณการผลิตตามปกติ อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันได้รับแรงกดดันในวันพุธจากตัวเลขอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่น่าผิดหวังในจีน โดยจีนรายงานในวันพุธว่า เศรษฐกิจจีนขยายตัว 5.2% เมื่อเทียบรายปีในไตรมาส 4 ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 5.3% และตัวเลขดังกล่าวก็ทำให้นักลงทุนกังวลกับอุปสงค์พลังงาน ทั้งนี้ หลังจากตลาด NYMEX ปิดทำการในวันพุธ การปิโตรเลียมสหรัฐ (API) ซึ่งเป็นหน่วยงานของเอกชน ได้เปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันสหรัฐประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 12 ม.ค. โดยระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบในคลังสหรัฐเพิ่มขึ้น 480,000 บาร์เรล Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนก.พ.ปรับขึ้น 16 เซนต์ สู่ 72.56 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมี.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนร่วงลง 41 เซนต์ สู่ 77.88 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐดิ่งลง 21.87 ดอลลาร์ หรือ 1.08% สู่ 2,005.72 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ หลังจากรูดลงแตะ 2,001.72 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค. หรือจุดต่ำสุดรอบ 1 เดือน โดยราคาทองได้รับแรงกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ เพราะตัวเลขดังกล่าวหนุนให้ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินพุ่งขึ้นแตะ 103.69 ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันพุธ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค. หรือจุดสูงสุดรอบหนึ่งเดือน และหนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะ 4.129% ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันพุธ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค.ด้วย ทั้งนี้ ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลลบต่อราคาทอง เพราะการแข็งค่าของดอลลาร์ส่งผลให้ทองมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ และทองเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ดอกเบี้ย Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--15 ม.ค.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินแข็งค่าขึ้นในวันศุกร์ โดยได้รับแรงหนุนจากคำสั่งซื้อดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัย หลังจากเครื่องบินรบ, เรือ และเรือดำน้ำของสหรัฐกับอังกฤษดำเนินการโจมตีทางอากาศในเยเมน โดยการโจมตีดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อตอบโต้ต่อการที่กลุ่มฮูตีในเยเมน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน โจมตีเรือขนส่งสินค้าในทะเลแดงเพื่อเป็นการสนับสนุนกลุ่มฮามาสในเขตฉนวนกาซา และเหตุการณ์นี้ก็ทำให้นักลงทุนกังวลกันว่า ความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางอาจจะขยายวงกว้างออกไป ทั้งนี้ ดอลลาร์ลดช่วงบวกลงมาบ้างในเวลาต่อมา หลังจากสำนักงานสถิติแรงงาน (BLS) ในกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) สำหรับอุปสงค์ขั้นสุดท้ายในสหรัฐปรับลง 0.1% ในเดือนธ.ค. หลังจากปรับลง 0.1% ในเดือนพ.ย. โดยการปรับลดลงในเดือนธ.ค.ถือเป็นการปรับลดลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน โดยได้รับแรงกดดันจากราคาสินค้าที่ร่วงลง 0.4% ในเดือนธ.ค. หลังจากราคาสินค้าปรับลง 0.3% ในเดือนพ.ย. ทางด้านราคาผู้ผลิตในภาคบริการทรงตัวในเดือนธ.ค. และปัจจัยเหล่านี้บ่งชี้ว่า มีโอกาสมากยิ่งขึ้นที่อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐจะชะลอตัวลงในช่วงหลายเดือนข้างหน้า Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 102.43 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 102.21 ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 144.90 เยนในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ โดยอ่อนค่าลงจากระดับปิดตลาดวันพฤหัสบดีที่ 145.28 เยน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0949 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันศุกร์ โดยปรับลงจาก 1.0970 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของตลาดหุ้นสหรัฐปรับลงในวันศุกร์ แต่ดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq ขยับขึ้นเล็กน้อยในวันศุกร์ โดยตลาดหุ้นสหรัฐได้รับแรงหนุนในวันศุกร์จากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) สหรัฐที่อยู่ในระดับต่ำเกินคาด และตัวเลขดังกล่าวช่วยกระตุ้นความคาดหวังที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนมี.ค. โดยนักลงทุนคาดการณ์กันในวันศุกร์ว่า มีโอกาส 79.5% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 0.25% ในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค. โดยปรับขึ้นจากโอกาส 73.2% ที่เคยคาดการณ์กันไว้ในวันพฤหัสบดี นอกจากนี้ รายงานดัชนี PPI ก็ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีร่วงลงจาก 3.975% ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี สู่ 3.950% ในช่วงท้ายวันศุกร์ด้วย ทั้งนี้ ตลาดหุ้นขยับขึ้นได้เพียงเล็กน้อยในวันศุกร์ เพราะว่าตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการภาคธนาคารที่ไร้ทิศทางชัดเจน โดยดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐดิ่งลง 1.26% ในวันศุกร์ ในขณะที่หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริการูดลง 1.06% หลังจากแบงค์ ออฟ อเมริการายงานว่าผลกำไรไตรมาสสี่หดตัวลง และทางธนาคารลงบัญชีค่าใช้จ่ายพิเศษ 3.7 พันล้านดอลลาร์ ส่วนหุ้นธนาคารเวลส์ ฟาร์โกรูดลง 3.34% หลังจากเวลส์ ฟาร์โกประกาศเตือนว่า รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NII) อาจดิ่งลง 7%-9% ในปี 2024 นอกจากนี้ ดัชนีดาวโจนส์ก็ได้รับแรงกดดันในวันศุกร์จากหุ้นบริษัทยูไนเต็ดเฮลธ์ที่ดิ่งลง 3.37% ด้วย หลังจากทางบริษัทรายงานว่า ต้นทุนทางการแพทย์อยู่ในระดับที่สูงเกินคาด Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับลง 0.31% สู่ 37,592.98 ในวันศุกร์ และปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการบวกขึ้น 0.34% จากสัปดาห์ที่แล้ว
ดัชนี S&P 500 ปิดขยับขึ้น 0.08 % สู่ 4,783.83 ในวันศุกร์ และปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้น 1.84% จากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่กลางเดือนธ.ค.
ดัชนี Nasdaq ปิดขยับขึ้น 0.02% สู่ 14,972.76 ในวันศุกร์ และปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการทะยานขึ้น 3.09% จากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ย.
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX พุ่งขึ้นในวันศุกร์ ในขณะที่มีเรือขนส่งน้ำมันจำนวนมากยิ่งขึ้นที่หลีกเลี่ยงเส้นทางเดินเรือในทะเลแดง หลังจากสหรัฐกับอังกฤษดำเนินการโจมตีทางอากาศและทางทะเลต่อกลุ่มฮูตีในเยเมน เพื่อตอบโต้ต่อการที่กลุ่มฮูตีโจมตีเรือขนส่งสินค้าในทะเลแดง โดยบริษัทสเตนา บัลค์, บริษัทฮาฟเนีย และบริษัททอร์ม ซึ่งเป็นสามบริษัทเรือขนส่งน้ำมันประกาศว่า ทางบริษ้ทได้ตัดสินใจระงับเรือทุกลำไม่ให้แล่นไปสู่ทะเลแดง นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้รับแรงหนุนเพิ่มเติม หลังจากสำนักงานศุลกากรจีนรายงานในวันศุกร์ว่า จีนนำเข้าน้ำมันดิบสูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2023 โดยจีนนำเข้าน้ำมันดิบ 563.99 ล้านตันในปี 2023 โดยพุ่งขึ้น 11% จากปี 2022 ในขณะที่อุปสงค์ในจีนฟื้นตัวขึ้นหลังผ่านพ้นวิกฤติโรคระบาด ทั้งนี้ บริษัทเบเกอร์ ฮิวจ์รายงานในวันศุกร์ว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซที่ใช้งานในสหรัฐลดลง 2 แท่น สู่ 619 แท่นในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 12 ม.ค. ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. โดยจำนวนแท่นขุดเจาะในสหรัฐเพิ่งดิ่งลงราว 20% ในปี 2023 หลังจากพุ่งขึ้น 33% ในปี 2022 และหลังจากทะยานขึ้น 67% ในปี 2021 โดยการดิ่งลงในปี 2023 มีสาเหตุมาจากการรูดลงของราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ, จากต้นทุนในการขุดเจาะที่พุ่งขึ้น และจากการที่บริษัทพลังงานปรับลดรายจ่ายลงเพื่อจะได้ปรับเพิ่มเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้น Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนก.พ.ปรับขึ้น 66 เซนต์ หรือ 0.9% มาปิดตลาดที่ 72.68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 75.25 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดของปีนี้ อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันดิบสหรัฐปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการดิ่งลง 1.1% จากสัปดาห์ที่แล้ว โดยได้รับแรงกดดันจากการที่ซาอุดิอาระเบียปรับลดราคาน้ำมันลงอย่างรุนแรง และจากตัวเลขสต็อกน้ำมันในคลังสหรัฐที่พุ่งสูงเกินคาด
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมี.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนพุ่งขึ้น 88 เซนต์ หรือ 1.1% มาปิดตลาดที่ 78.29 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันศุกร์ หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 80.75 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดของปีนี้ อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการปรับลง 0.5% จากสัปดาห์ที่แล้ว
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐพุ่งขึ้น 20.63 ดอลลาร์ หรือ 1.02% สู่ 2,048.72 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ หลังจากพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 1 สัปดาห์ที่ 2,062.19 ดอลลาร์ในระหว่างวัน โดยราคาทองได้รับแรงหนุนจากความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และปัจจัยดังกล่าวช่วยกระตุ้นคำสั่งซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย นอกจากนี้ ราคาทองก็ได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเร็ว ๆ นี้ด้วย หลังจากสำนักงานสถิติแรงงาน (BLS) ในกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) สำหรับอุปสงค์ขั้นสุดท้ายในสหรัฐปรับลง 0.1% ในเดือนธ.ค. หลังจากปรับลง 0.1% ในเดือนพ.ย. Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--11 ม.ค.--รอยเตอร์
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเยนและยูโรในวันพฤหัสบดี ถึงแม้สหรัฐรายงานตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่สูงเกินคาด และตัวเลขดังกล่าวทำให้นักลงทุนบางรายไม่แน่ใจว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค.เหมือนอย่างที่เทรดเดอร์เคยคาดการณ์กันไว้หรือไม่ ทั้งนี้ สำนักงานสถิติแรงงาน (BLS) ในกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ปรับขึ้น 0.3% ในเดือนพ.ย.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากขยับขึ้น 0.1% ในเดือนพ.ย. โดยค่าที่พัก ซึ่งครอบคลุมค่าเช่าและค่าเข้าพักในโรงแรม ครองสัดส่วนสูงกว่าครึ่งหนึ่งของการปรับขึ้นของดัชนี CPI ในครั้งนี้ ส่วนดัชนี CPI ทั่วไปแบบเทียบรายปีปรับขึ้น 3.4% ในเดือนธ.ค. โดยเร่งตัวขึ้นจาก 3.1% ในเดือนพ.ย. ทางด้านนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า ดัชนี CPI ทั่วไปอาจปรับขึ้นเพียง 0.2% ในเดือนธ.ค.เมื่อเทียบรายเดือน และอาจปรับขึ้นเพียง 3.2% เมื่อเทียบรายปี นอกจากนี้ BLS ยังรายงานอีกด้วยว่า ดัชนี CPI พื้นฐานที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงานปรับขึ้น 0.3% ในเดือนธ.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากปรับขึ้น 0.3% ในเดือนพ.ย. ส่วนดัชนี CPI พื้นฐานแบบเทียบรายปีปรับขึ้น 3.9% ในเดือนธ.ค. ซึ่งถือเป็นอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2021 หลังจากปรับขึ้น 4.0% ในเดือนพ.ย.เมื่อเทียบรายปี Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 102.21 ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี โดยอ่อนค่าลงจาก 102.34 ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ แต่ดัชนีดอลลาร์ยังคงอยู่ห่างจากจุดต่ำสุดรอบ 5 เดือนที่ 100.61 ที่เคยทำไว้ในวันที่ 28 ธ.ค.
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 145.28 เยนในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี โดยร่วงลงจากระดับปิดตลาดวันพุธที่ 145.73 เยน หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 146.41 เยนในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 11 ธ.ค.
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0970 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี ซึ่งใกล้เคียงกับระดับ 1.0971 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพุธ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของตลาดหุ้นสหรัฐขยับขึ้น แต่ดัชนี S&P 500 ขยับลง และดัชนี Nasdaq ทรงตัวในวันพฤหัสบดี ในขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่สูงเกินคาด และรายงานว่ายอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐร่วงลง 1,000 ราย สู่ 202,000 รายในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 6 ม.ค. ซึ่งถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า ตลาดแรงงานสหรัฐอยู่ในภาวะแข็งแกร่ง โดยรายงานตัวเลขเหล่านี้ทำให้นักลงทุนคาดการณ์กันว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเร็ว ๆ นี้ อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐได้รับแรงหนุนเข้ามาบ้างจากการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีปรับลงจาก 4.030% ในช่วงท้ายวันพุธ สู่ 3.975% ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี หลังจากมีการเปิดประมูลพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 30 ปีขนาด 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์ และการเปิดประมูลดังกล่าวได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน ทั้งนี้ ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น มีหุ้นเพียง 2 กลุ่มที่ปิดตลาดวันพฤหัสบดีในแดนบวก ซึ่งได้แก่หุ้นกลุ่มพลังงานที่ปิดบวกขึ้น 0.16% และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ปิดปรับขึ้น 0.44% ทางด้านหุ้นธนาคารหลายแห่งร่วงลงก่อนที่ภาคธนาคารจะเริ่มต้นรายงานผลประกอบการรายไตรมาสในวันศุกร์นี้ โดยหุ้นซิตี้กรุ๊ปดิ่งลง 1.77%, หุ้นเจพีมอร์แกน เชสปรับลง 0.42%, หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริการูดลง 1.33% และหุ้นเวลส์ ฟาร์โกขยับลง 0.08% Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดขยับขึ้น 0.04% สู่ 37,711.02
ดัชนี S&P 500 ปิดขยับลง 0.07% สู่ 4,780.24 ในวันพฤหัสบดี โดยดัชนีบวกขึ้นเพียง 0.21% จากช่วงต้นปีนี้ แต่ยังคงอยู่ใกล้สถิติระดับปิดสูงสุดที่ 4,796.56 ที่เคยทำไว้ในเดือนม.ค. 2022
ดัชนี Nasdaq ปิดขยับขึ้น 0.54 จุด หรือ 0% สู่ 14,970.19
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX พุ่งขึ้นในวันพฤหัสบดี หลังจากอิหร่านเข้ายึดเรือเซนต์ นิโคลัส ซึ่งเป็นเรือขนส่งน้ำมันที่ติดธงของหมู่เกาะมาร์แชล และเป็นเรือที่ใช้ในการขนส่งน้ำมันดิบอิรักไปยังตุรกี โดยการเข้ายึดเรือนี้เกิดขึ้นนอกชายฝั่งประเทศโอมาน และถือเป็นการตอบโต้ต่อการที่สหรัฐเคยยึดเรือขนส่งและน้ำมันอิหร่านในปีที่แล้ว โดยเหตุการณ์ล่าสุดนี้ทำให้นักลงทุนกังวลกันว่า ความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางอาจจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาลสหรัฐและรัฐบาลอังกฤษยังส่งสัญญาณอีกด้วยว่า ทั้งสองประเทศนี้อาจจะดำเนินมาตรการเพิ่มเติม ถ้าหากกลุ่มฮูตีในเยเมน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน ยังคงดำเนินการโจมตีเรือขนส่งสินค้าในทะเลแดงต่อไป ในขณะที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ได้ผ่านมติในวันพุธที่เรียกร้องให้กลุ่มฮูตียุติการโจมตีเรือในทะเลแดงในทันที ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดีเซลในสหรัฐพุ่งขึ้นราว 3% สู่ระดับปิดสูงสุดรอบ 3 สัปดาห์ โดยได้รับแรงหนุนจากพยากรณ์อากาศที่ระบุว่า พื้นที่หลายแห่งในสหรัฐจะเผชิญกับภาวะอากาศหนาวจัดในสัปดาห์หน้า Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนก.พ.ปรับขึ้น 65 เซนต์ หรือ 0.9% มาปิดตลาดที่ 72.02 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมี.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนปรับขึ้น 61 เซนต์ หรือ 0.8% มาปิดตลาดที่ 77.41 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 4.69 ดอลลาร์ สู่ 2,028.09 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี หลังจากดิ่งลงแตะ 2,013.14 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดรอบ 1 เดือน โดยราคาทองได้รับแรงกดดันในช่วงแรกจากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐที่อยู่สูงเกินคาด และจากถ้อยแถลงแบบสายเหยี่ยวของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพราะปัจจัยเหล่านี้ทำให้นักลงทุนคาดการณ์กันว่า เฟดอาจจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูงต่อไปตามเดิมในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค. อย่างไรก็ดี ดอลลาร์อ่อนค่าลงในวันพฤหัสบดี และการอ่อนค่าของดอลลาร์ก็ช่วยให้ทองมีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ ทั้งนี้ ลอเรตตา เมสเตอร์ ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์กล่าวในวันพฤหัสบดีว่า ตัวเลข CPI ล่าสุดบ่งชี้ว่า อาจจะเป็นการเร็วเกินไปที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนมี.ค. ทางด้านนายโธมัส บาร์คิน ประธานเฟดสาขาริชมอนด์กล่าวว่า ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่ออกมาในครั้งนี้แทบไม่ได้บ่งชี้ถึงแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่มีความชัดเจน Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--22 ธ.ค.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินร่วงลงแตะจุดต่ำสุดในรอบกว่า 4 เดือนในวันพฤหัสบดี ในขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐดีดขึ้นในวันพฤหัสบดี หลังจากที่เพิ่งดิ่งลงในวันพุธ และการดีดขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐก็ส่งผลให้นักลงทุนลดความต้องการซื้อดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัย นอกจากนี้ นักลงทุนก็รอดูดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ประจำเดือนพ.ย.ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันศุกร์ เพราะธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มักใช้ดัชนี PCE เป็นมาตรวัดภาวะเงินเฟ้อ โดยนักลงทุนคาดการณ์กันว่า ถ้าหากดัชนี PCE ขยับขึ้นเพียง 0.1% ในเดือนพ.ย.เมื่อเทียบรายเดือน สิ่งนี้ก็จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาชะลอตัวลงสู่ระดับเพียง 2.1% เมื่อเทียบเป็นตัวเลขเต็มปี (annualized) ซึ่งจะเข้าใกล้กับเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อที่เฟดตั้งไว้ที่ 2% ทั้งนี้ นักลงทุนบางรายคาดว่า ถ้าหากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐชะลอตัวลง ปัจจัยดังกล่าวก็จะกระตุ้นให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง เพื่อเป็นการสกัดกั้นไม่ให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (หรืออัตราดอกเบี้ยที่ปรับตามภาวะเงินเฟ้อ) พุ่งสูงขึ้น และนักลงทุนบางรายก็คาดว่า เฟดอาจจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างแข็งกร้าวในเร็ว ๆ นี้ Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 101.78 ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี โดยร่วงลงจาก 102.41 ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ หลังจากดิ่งลงแตะ 101.73 ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 4 ส.ค. หรือจุดต่ำสุดในรอบกว่า 4 เดือน
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 142.10 เยนในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี โดยดิ่งลงจากระดับปิดตลาดวันพุธที่ 143.56 เยน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.1008 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี โดยแข็งค่าขึ้นจาก 1.0938 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพุธ
ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นในวันพฤหัสบดี หลังจากที่เพิ่งดิ่งลงในวันพุธ ในขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาในวันพฤหัสบดีช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนคาดการณ์กันว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในอนาคต และการคาดการณ์ดังกล่าวก็ช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยง โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐเพิ่มขึ้น 4.9% ในไตรมาสสามเมื่อเทียบเป็นตัวเลขเต็มปี (annualized) โดยปรับลดลงจากรายงานครั้งก่อนที่ระบุว่าจีดีพีเติบโต 5.2% ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นทั้ง 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดวันพฤหัสบดีในแดนบวก โดยดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยถือเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มใหญ่ที่พุ่งขึ้นมากที่สุดในวันพฤหัสบดี ทางด้านดัชนีฟิลาเดลเฟียสำหรับหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐทะยานขึ้น 2.8% โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นบริษัทไมครอน เทคโนโลยีที่เป็นผู้ผลิตชิปที่พุ่งขึ้น 8.6% หลังจากไมครอนคาดการณ์รายได้รายไตรมาสที่สูงเกินคาด เนื่องจากมีสัญญาณบ่งชี้ว่า ตลาดชิปหน่วยความจำจะฟื้นตัวขึ้นในปี 2024 โดยการพุ่งขึ้นของหุ้นไมครอนมีส่วนช่วยหนุนดัชนี Nasdaq ด้วย Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.87% สู่ 37,404.35
ดัชนี S&P 500 ปิดพุ่งขึ้น 1.03% สู่ 4,746.75
ดัชนี Nasdaq ปิดทะยานขึ้น 1.26% สู่ 14,963.87
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ปรับลงในวันพฤหัสบดี หลังจากแองโกลาประกาศว่า แองโกลาจะถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) โดยนายเดียมานติโน อาเซเวโด รมว.น้ำมันแองโกลากล่าวว่า การที่แองโกลาเป็นสมาชิกกลุ่มโอเปกไม่ได้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของแองโกลา และก่อนหน้านี้แองโกลาก็เคยประท้วงการตัดสินใจของกลุ่มโอเปกในการประชุมในเดือนพ.ย.มาแล้ว เนื่องจากแองโกลาไม่เห็นด้วยกับการที่กลุ่มโอเปกปรับลดโควต้าการผลิตน้ำมันของแองโกลาประจำปี 2024 ลงเพื่อช่วยพยุงราคาน้ำมัน ทางด้านนักลงทุนมองว่า การถอนตัวของแองโกลาในครั้งนี้จะส่งผลให้มีการตั้งคำถามต่อความพยายามของกลุ่มโอเปกในการหนุนราคาน้ำมันโดยใช้วิธีจำกัดการผลิตน้ำมัน ทั้งนี้ แองโกลาผลิตน้ำมันราว 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในขณะที่กลุ่มโอเปกทั้งกลุ่มผลิตน้ำมันราว 28 ล้านบาร์เรลตอวัน โดยนายแมทท์ สมิธ จากบริษัทเคเพลอร์กล่าวว่า "ดูเหมือนว่ากลุ่มโอเปกกำลังจะประสบกับความพ่ายแพ้ในความพยายามหนุนราคาน้ำมันให้สูงขึ้น" ในขณะที่ประเทศนอกกลุ่มโอเปก ซึ่งรวมถึงสหรัฐ ได้เข้ามาแทนที่โอเปกและครองส่วนแบ่งตลาดน้ำมันเพิ่มมากขึ้น และเขากล่าวเสริมว่า การถอนตัวของแองโกลาทำให้มีการตั้งข้อสงสัยต่อทิศทางของกลุ่มโอเปกและความสามัคคีภายในกลุ่มโอเปก ถึงแม้ว่าการถอนตัวของแองโกลาอาจจะส่งผลกระทบเพียงในวงจำกัดต่อปริมาณอุปทานน้ำมันในตลาดโลก Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนก.พ.ปรับลง 33 เซนต์ มาปิดตลาดที่ 73.89 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.พ.ที่ตลาดกรุงลอนดอนปรับลง 31 เซนต์ มาปิดตลาดที่ 79.39 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 16.30 ดอลลาร์ สู่ 2,045.49 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี โดยราคาทองได้รับแรงหนุนจากการดิ่งลงของดอลลาร์สหรัฐ หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาในวันพฤหัสบดีช่วยกระตุ้นการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนมี.ค.ปีหน้า ทั้งนี้ นักลงทุนคาดว่า มีโอกาส 83% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค. 2024 หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐเพิ่มขึ้น 4.9% ในไตรมาสสามเมื่อเทียบเป็นตัวเลขเต็มปี (annualized) โดยปรับลดลงจากรายงานครั้งก่อนที่ระบุว่าจีดีพีเติบโต 5.2% ทางด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสหรัฐเพิ่มขึ้น 2,000 ราย สู่ 205,000 รายในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 16 ธ.ค. Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--12 ธ.ค.--รอยเตอร์
เยนดิ่งลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในวันจันทร์เป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากที่เคยพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในสัปดาห์ที่แล้ว โดยเยนได้รับแรงหนุนในวันพฤหัสบดีที่ 7 ธ.ค.จากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) จะปรับลดการใช้นโยบายการเงินแบบสายพิราบ หลังจากนายคาสุโอะ อุเอดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น กล่าวในวันพฤหัสบดีว่า บีโอเจมีทางเลือกว่าจะตั้งเป้าหมายไปที่อัตราดอกเบี้ยตัวใด เมื่อใดก็ตามที่บีโอเจปรับอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นให้ออกจากระดับติดลบแล้ว อย่างไรก็ดี เยนดิ่งลงในวันจันทร์ หลังจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เจ้าหน้าที่บีโอเจยังไม่มีหลักฐานมากพอที่จะแสดงให้เห็นว่า ค่าแรงในญี่ปุ่นปรับขึ้นในระดับที่แข็งแกร่งพอที่จะสนับสนุนให้บีโอเจยุตินโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากเป็นพิเศษในการประชุมวันที่ 18-19 ธ.ค. Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 104.06 ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 103.98 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 146.16 เยนในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยพุ่งขึ้นราว 0.85% จากระดับปิดตลาดวันศุกร์ที่ 144.93 เยน หลังจากทะยานขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันจันทร์ที่ 146.58 เยน และออกห่างจากระดับ 141.70 เยนที่ทำไว้ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันพฤหัสบดี ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค. หรือจุดต่ำสุดรอบ 4 เดือน
ยูโร/ดอลลาร์ทรงตัวอยู่ที่ 1.0761 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันจันทร์ ซึ่งเท่ากับระดับในช่วงท้ายวันศุกร์ และเทียบกับจุดต่ำสุดรอบ 24 วันที่ทำไว้ในวันศุกร์ที่ 1.0724 ดอลลาร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นเล็กน้อยในวันจันทร์ และดัชนีตลาดหุ้นสำคัญทั้ง 3 ดัชนีสามารถปิดตลาดที่ระดับปิดสูงสุดใหม่สำหรับปีนี้ ในขณะที่นักลงทุนรอดูตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันอังคาร, รอดูดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพุธ และรอดูผลการประชุมกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันพุธ เพราะปัจจัยเหลานี้จะส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อการคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ โดยนักลงทุนคาดการณ์ในตอนนี้ว่า มีโอกาสเกือบ 100% เต็มที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 12-13 ธ.ค., คาดว่ามีโอกาสราว 43% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 0.25% ในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค. 2024 และคาดว่ามีโอกาสเกือบ 75% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงภายในเดือนพ.ค. 2024 ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐพุ่งขึ้น 3.4% ในวันจันทร์ และสามารถปิดตลาดที่ระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค. 2022 โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นบริษัทบรอดคอมซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปที่พุ่งขึ้น 8.99% หลังจากซิตี้กรุ๊ปกลับมาจัดอันดับความน่าลงทุนของหุ้นบรอดคอม โดยจัดไว้ที่ "buy" ทางด้านหุ้นซิกนาซึ่งเป็นบริษัทประกันสุขภาพทะยานขึ้น 16.68% ในวันจันทร์ หลังจากแหล่งข่าวกล่าวว่า ซิกนายุติความพยายามที่จะเจรจาต่อรองเรื่องการเข้าซื้อบริษัทฮูมานาที่เป็นคู่แข่ง และซิกนาประกาศแผนซื้อคืนหุ้นขนาด 1.0 หมื่นล้านดอลลาร์ Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.43% สู่ 36,404.93 โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นบริษัทไนกี้ที่พุ่งขึ้น 2.33% หลังจากซิตี้กรุ๊ปปรับขึ้นอันดับความน่าลงทุนของหุ้นไนกี้สู่ "buy" จาก "neutral"
ดัชนี S&P 500 ปิดปรับขึ้น 0.39 % สู่ 4,622.44
ดัชนี Nasdaq ปิดปรับขึ้น 0.20 % สู่ 14,432.49
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ปรับขึ้นเพียงเล็กน้อยในวันจันทร์ ในขณะที่มาตรการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร (โอเปกพลัส) ไม่สามารถชดเชยความกังวลของนักลงทุนที่มีต่อภาวะน้ำมันดิบล้นตลาด และความกังวลที่ว่าอุปสงค์เชื้อเพลิงจะชะลอการเติบโตลงในปีหน้า อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันได้รับแรงหนุนจากปัจจัยทางเทคนิค และจากข่าวที่ว่า กระทรวงพลังงานของสหรัฐประกาศในวันศุกร์ว่า ทางกระทรวงต้องการจะซื้อน้ำมันดิบ 3 ล้านบาร์เรลเพื่อนำมาเติมในคลังสำรองปิโตรเลียมทางยุทธศาสตร์ (SPR) โดยเป็นน้ำมันที่จะจัดส่งในเดือนมี.ค. 2024 เพื่อเป็นการฉวยโอกาสเติมน้ำมันเข้า SPR ในช่วงที่ราคาน้ำมันอยู่ในระดับต่ำในตอนนี้ ทั้งนี้ ถึงแม้กลุ่มโอเปกพลัสประกาศว่าจะปรับลดปริมาณอุปทานน้ำมันลง 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวันในไตรมาสแรกของปีหน้า นักลงทุนก็ยังคงไม่มั่นใจว่ากลุ่มโอเปกพลัสจะปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวมากน้อยเพียงใด ในขณะที่มีการคาดการณ์กันว่า ประเทศนอกโอเปกจะปรับเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมัน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาดในปีหน้า Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนม.ค.ขยับขึ้น 9 เซนต์ หรือ 0.1% มาปิดตลาดที่ 71.32 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.พ.ที่ตลาดกรุงลอนดอนปรับขึ้น 19 เซนต์ หรือ 0.3% มาปิดตลาดที่ 76.03 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยทั้งราคาน้ำมันดิบสหรัฐและเบรนท์ต่างก็เพิ่งพุ่งขึ้นกว่า 2% ในวันศุกร์ แต่ปิดตลาดสัปดาห์ที่แล้วในแดนลบเป็นสัปดาห์ที่ 7 ติดต่อกัน ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนลบที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2018 โดยได้รับแรงกดดันจากความกังวลเรื่องอุปทานน้ำมันล้นตลาด
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐดิ่งลง 22.09 ดอลลาร์ หรือ 1.10% สู่ 1,981.30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ หลังจากรูดลงแตะ 1,975.70 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 20 พ.ย. หรือจุดต่ำสุดรอบ 3 สัปดาห์ โดยราคาทองได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ทองมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ นอกจากนี้ นักลงทุนก็รอดูตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐที่จะออกมาในวันอังคาร และรอดูผลการประชุมกำหนดนโยบายของธนาคารกลางหลายแห่งในสัปดาห์นี้ด้วย ทั้งนี้ นายจิม วิคคอฟ นักวิเคราะห์ของบริษัทคิทโค เมทัลส์กล่าวว่า "ปัจจัยทางเทคนิคในระยะใกล้ของราคาทองตกต่ำลงในช่วงนี้ และถ้าหากสหรัฐรายงานดัชนี CPI ที่สูงเกินคาดในวันอังคาร ปัจจัยดังกล่าวก็อาจจะกระตุ้นให้มีแรงเทขายทองออกมา" Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน