ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
เพื่อเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็วและติดตามตลาดโฟกัสใน 15 นาที
ในโลกของมนุษยชาติ จะไม่มีคำกล่าวใด ๆ ที่ไม่มีจุดยืนใด ๆ หรือคำพูดใด ๆ ที่ไม่มีจุดประสงค์ใด ๆ
อัตราเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน และเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจเชิงนโยบายของธนาคารกลาง ทัศนคติและคำพูดของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยังมีอิทธิพลต่อการกระทำของเทรดเดอร์ในตลาดอีกด้วย
เงินทำให้โลกหมุนไป และสกุลเงินเป็นสินค้าถาวร ตลาดฟอเร็กซ์เต็มไปด้วยความประหลาดใจและความคาดหวัง
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
เพลิดเพลินกับกิจกรรมที่น่าตื่นเต้น ที่นี่ที่ FastBull
ข่าวด่วนล่าสุดและเหตุการณ์ทางการเงินทั่วโลก
ฉันมีประสบการณ์ 5 ปีในการวิเคราะห์ทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนามหภาคและการตัดสินแนวโน้มระยะกลางและระยะยาว ความสนใจของฉันอยู่ที่การพัฒนาของตะวันออกกลาง ตลาดเกิดใหม่ ถ่านหิน ข้าวสาลี และสินค้าเกษตรอื่นๆ
7 ปีของตลาดหุ้น การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โลหะมีค่า และประสบการณ์การซื้อขายและการวิเคราะห์อื่น ๆ โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐาน การสนับสนุนทางเทคนิค มีอคติต่อตรรกะธุรกรรมจากบนลงล่าง โดยเน้นที่วัฏจักรมหภาคและการควบคุมความเสี่ยง การคาดการณ์เชิงทฤษฎีอุปสงค์และอุปทานอเนกประสงค์ การเปลี่ยนแปลงของราคา สร้างสมดุลระหว่างผลกระทบของธุรกรรม การกระจายชิปและอารมณ์ตลาด และคงที่
อัปเดตล่าสุด
สร้างทัศนคติการลงทุนที่ดี
วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ปรัชญาการลงทุนของเขาประกอบด้วยการสร้างกรอบความคิดระยะยาว ขจัดญาณรบกวนของตลาด ไม่เก็งกำไร และเน้นย้ำว่าการลงทุนต้องมีมีจิตใจที่มั่นคงและเป้าหมายที่ชัดเจน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง
แม้ว่าระบบกฎหมายและกรอบการกำกับดูแลในฮ่องกงจะค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ตลาดหุ้นยังคงเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายพิเศษหลายประการ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่าง HKD และ USD นักลงทุนต่างชาติอาจเผชิญกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความผันผวนของนโยบายและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นฮ่องกงด้วย
โครงสร้างต้นทุนและภาษีเมื่อลงทุนในหุ้นฮ่องกง
ต้นทุนการซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมหุ้น ค่าอากรแสตมป์ ค่าธรรมเนียมการชำระบัญชี ฯลฯ สำหรับนักลงทุนต่างชาติอาจมีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินเพิ่มเติมเป็นดอลลาร์ฮ่องกงและภาษีอื่น ๆ ตามข้อบังคับท้องถิ่น
การวิเคราะห์อุตสาหกรรมฮ่องกง:อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็น
อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็นของฮ่องกง ได้แก่ รถยนต์ การศึกษา การท่องเที่ยว การจัดเลี้ยง เครื่องแต่งกาย และภาคส่วนอื่นๆ อีกมากมาย จากบริษัทจดทะเบียน 643 แห่งนั้น 35% เป็นบริษัทในจีนแผ่นดินใหญ่และคิดเป็น 65% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด ดังนั้นอุตสาหกรรมนี้จึงได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากเศรษฐกิจจีน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด
ไม่มีข้อมูล
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม
สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
กรุงเทพฯ--29 ก.พ.--รอยเตอร์
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเยนและยูโรในวันพุธ ในขณะที่นักลงทุนรอดูตัวเลขดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันพฤหัสบดีนี้ โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มักจะใช้ดัชนี PCE เป็นมาตรวัดภาวะเงินเฟ้อ โดยนักลงทุนคาดว่า ดัชนี PCE ทั่วไปในเดือนม.ค.อาจปรับขึ้น 0.3% เมื่อเทียบรายเดือน และอาจปรับขึ้น 2.4% เมื่อเทียบรายปี ส่วนดัชนี PCE พื้นฐานในเดือนม.ค.อาจปรับขึ้น 0.4% เมื่อเทียบรายเดือน และอาจปรับขึ้น 2.8% เมื่อเทียบรายปี โดยนักลงทุนจะใช้รายงาน PCE นี้ในการประเมินว่า เฟดมีแนวโน้มจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อใด นอกจากนี้ นักลงทุนก็จะรอดูตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของเยอรมนี, ฝรั่งเศส และสเปนที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพฤหัสบดี และรอดูตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันศุกร์ด้วย ทั้งนี้ นายโมฮัมหมัด อัล-ซาราฟ นักยุทธศาสตร์การลงทุนสกุลเงินของธนาคารดันสเกอกล่าวว่า "มีโอกาสที่อัตราเงินเฟ้อจะยังคงชะลอตัวลงต่อไปในยูโรโซน ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้ในเร็ว ๆ นี้ และเราก็คาดว่า ถ้าหากอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐลดลงได้ยากกว่าในยูโรโซน ปัจจัยนี้ก็จะหนุนดอลลาร์ให้อยู่ในระดับแข็งแกร่ง" Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 103.93 ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 103.84 ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 150.67 เยนในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยปรับขึ้นจากระดับปิดตลาดวันอังคารที่ 150.50 เยน หลังจากขึ้นไปแตะ 150.84 เยนในระหว่างวัน และเข้าใกล้จุดสูงสุดรอบ 3 เดือนที่ 150.88 เยนที่เคยทำไว้ในวันที่ 13 ก.พ.
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0836 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพุธ โดยอ่อนค่าลงจาก 1.0844 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร
ตลาดหุ้นสหรัฐขยับลงเล็กน้อยในวันพุธ ในขณะที่นักลงทุนรอดูตัวเลขดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ประจำเดือนม.ค.ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันพฤหัสบดีนี้ โดยนักลงทุนจะใช้ตัวเลขดังกล่าวในการประเมินว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเมื่อใด หลังจากตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI), ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) และตัวเลขเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่แข็งแกร่งในสหรัฐทำให้นักลงทุนคาดการณ์กันในตอนนี้ว่า เฟดอาจจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 11-12 มิ.ย. แทนที่จะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค.เหมือนอย่างที่เคยคาดการณ์กันไว้ในช่วงก่อนการรายงานตัวเลขเหล่านี้ ทางด้านซูซาน คอลลินส์ ประธานเฟดสาขาบอสตันกล่าวในวันพุธว่า เฟดควรจะใช้เวลาในการประเมินตัวเลขเศรษฐกิจต่าง ๆ ก่อนที่จะตัดสินใจปรับเปลี่ยนนโยบายใด ๆ เพื่อจะได้เป็นการสร้างความมั่นใจว่า เฟดจะสามารถบรรลุเป้าหมายทั้งสองประการของเฟด ซึ่งได้แก่เป้าหมายในการสร้างภาวะการจ้างงานเต็มที่และการสร้างเสถียรภาพของราคา ทั้งนี้ หุ้นบริษัทยูไนเต็ดเฮลธ์ที่ทำธุรกิจประกันสุขภาพดิ่งลง 2.95% ในวันพุธ และถือเป็นหุ้นที่ถ่วงดัชนีดาวโจนส์ลงมากที่สุด หลังจากมีข่าวออกมาในวันอังคารว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐเริ่มเปิดการสอบสวนยูไนเต็ดเฮลธ์ในคดีต่อต้านการผูกขาด ทางด้านหุ้นบริษัทแอพพลายด์ แมทีเรียลส์ ซึ่งเป็นผู้จัดหาอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์รูดลง 2.62% ในวันพุธ หลังจากทางบริษัทได้รับหมายเรียกจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) ในเดือนก.พ. เพื่อให้ทางบริษัทมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการส่งออกสินค้าให้แก่ลูกค้าบางรายในจีน Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดขยับลง 0.06% สู่ 38,949.02
ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.17% สู่ 5,069.76
ดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลง 0.55% สู่ 15,947.74
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ปรับลงในวันพุธ หลังจากเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่า เฟดจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในอนาคตอันใกล้นี้ โดยนายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์คกล่าวว่า ถึงแม้แรงกดดันเงินเฟ้อลดลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงที่ผ่านมา เขาก็ยังไม่พร้อมที่จะประกาศว่า เฟดได้ทำทุกอย่างที่จำเป็นต้องทำแล้วในการทำให้อัตราเงินเฟ้อกลับคืนสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% ทางด้านมิเชลล์ โบว์แมน หนึ่งในผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณในวันอังคารว่า เธอจะไม่รีบร้อนปรับลดอัตราดอกเบี้ยสหรัฐลง เนื่องจากมีความเสี่ยงด้านสูงต่อภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคขัดขวางความคืบหน้าในการควบคุมภาวะเงินเฟ้อ และความเสี่ยงดังกล่าวอาจจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นได้อีกด้วย ทั้งนี้ ราคาน้ำมันได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากการพุ่งขึ้นของสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐ หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานในวันพุธว่า สต็อกน้ำมันดิบในคลังสหรัฐพุ่งขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 5 ติดต่อกัน โดยพุ่งขึ้น 4.2 ล้านบาร์เรล สู่ 447.2 ล้านบาร์เรลในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 23 ก.พ. ในขณะที่นักวิเคราะห์ในโพลล์รอยเตอร์คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบอาจปรับขึ้นเพียง 2.7 ล้านบาร์เรล ทางด้านสต็อกน้ำมันเบนซินในคลังสหรัฐร่วงลงเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน โดยดิ่งลง 2.8 ล้านบาร์เรล สู่ 244.2 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมัน Distillate ในคลังสหรัฐ ซึ่งครอบคลุมน้ำมันดีเซลและน้ำมัน heating oil ปรับลดลง 510,000 บาร์เรล สู่ 121.1 ล้านบาร์เรล นอกจากนี้ EIA ยังรายงานอีกด้วยว่า อัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันในสหรัฐพุ่งขึ้น 0.9% สู่ 81.5% แต่อัตราดังกล่าวยังคงอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีสำหรับช่วงนี้ของปี โดยอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันอยู่ต่ำกว่า 83% ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ซึ่งถือว่ายาวนานที่สุดในรอบเกือบ 3 ปี Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนเม.ย.ปรับลง 33 เซนต์ หรือ 0.42% มาปิดตลาดที่ 78.54 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนเม.ย.ที่ตลาดกรุงลอนดอนขยับขึ้น 3 เซนต์ หรือ 0.04% มาปิดตลาดที่ 83.68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 4.98 ดอลลาร์ สู่ 2,034.62 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ ในขณะที่เทรดเดอร์รอดูตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่จะได้รับการรายงานออกมาในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงตัวเลขดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันพฤหัสบดี และเทรดเดอร์รอฟังถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่อาจบ่งชี้ถึงกำหนดเวลาที่เฟดจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยด้วย ทั้งนี้ นายบ็อบ ฮาเบอร์คอร์น นักยุทธศาสตร์การลงทุนตลาดของบริษัทอาร์เจโอ ฟิวเจอร์สกล่าวว่า "บรรยากาศการซื้อขายทองอยู่ในภาวะสงบเงียบในวันพุธ ก่อนที่จะมีการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจออกมาในวันพฤหัสบดี และเราก็คาดว่าราคาทองจะพุ่งขึ้นเหนือระดับ 2,050 ดอลลาร์ได้ก็ต่อเมื่อ มีการรายงานว่าอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง" Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
28 ก.พ.--รอยเตอร์
บริษัทเอ็นวิเดียซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปในสหรัฐ ได้ก้าวขึ้นมาครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่าตามราคาตลาดมากเป็นอันดับ 4 ของโลกในวันพฤหัสบดีที่ 22 ก.พ. หลังจากราคาหุ้นเอ็นวิเดียพุ่งขึ้น 16.4% ในวันนั้น โดยเป็นผลจากการที่เอ็นวิเดียรายงานผลประกอบการรายไตรมาสที่ดีเกินคาด ทั้งนี้ บริษัทเอ็นวิเดียซึ่งถือเป็นบริษัทสำคัญในธุรกิจปัญญาประดิษฐ์ (AI) เปิดเผยผลประกอบการและแนวโน้มที่ดีเกินคาดในสัปดาห์ที่แล้ว โดยเอ็นวิเดียรายงานในช่วงเย็นวันพุธที่ 21 ก.พ.ว่า รายได้ในไตรมาส 4/2023 อยู่ที่ 2.210 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 2.062 หมื่นล้านดอลลาร์ และเอ็นวิเดียคาดว่ารายได้ไตรมาสแรกของปีนี้อาจจะพุ่งขึ้น 233% ซึ่งถือว่าสูงกว่าระดับ +208% ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์กันไว้เป็นอย่างมาก โดยรายได้ดังกล่าวจะได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ที่สูงมากในชิป AI ของเอ็นวิเดีย โดยรายงานผลประกอบการนี้ส่งผลให้หุ้นเอ็นวิเดียพุ่งขึ้น 16.4% ในวันพฤหัสบดี และส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของเอ็นวิเดียทะยานขึ้น 2.77 แสนล้านดอลลาร์ในวันพฤหัสบดี ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นนิวยอร์ค โดยสามารถทำลายสถิติเดิมที่บริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์เคยทำไว้ในช่วงต้นเดือนนี้เมื่อมูลค่าตามราคาตลาดของเมตาทะยานขึ้น 1.96 แสนล้านดอลลาร์ภายในวันเดียว
มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของเอ็นวิเดียพุ่งขึ้นมาแล้ว 7.402 แสนล้านดอลลาร์ในปีนี้ และส่งผลให้เอ็นวิเดียครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่าพุ่งขึ้นมากที่สุดในโลกในปีนี้ ทั้งนี้ ราคาหุ้นเอ็นวิเดียพุ่งขึ้นแตะสถิติสูงสุดที่ 823.94 ดอลลาร์ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันศุกร์ และมูลค่าตามราคาตลาดของเอ็นวิเดียก็พุ่งขึ้นแตะ 2 ล้านล้านดอลลาร์ได้ในระหว่างช่วงการซื้อขายในวันศุกร์ที่ 23 ก.พ.ด้วย ซึ่งส่งผลให้มูลค่าของเอ็นวิเดียพุ่งขึ้นจาก 1 ล้านล้านดอลลาร์ สู่ 2 ล้านล้านดอลลาร์ภายในเวลาเพียงราว 8 เดือน ซึ่งถือว่าเร็วที่สุดในบรรดาบริษัทสหรัฐ และใช้เวลาไม่ถึงครึ่งหนึ่งของที่บริษัทแอปเปิลกับบริษัทไมโครซอฟท์เคยใช้ในการทะยานขึ้นจาก 1 ล้านล้านดอลลาร์ สู่ 2 ล้านล้านดอลลาร์
หากนับจนถึงช่วงเย็นวันพฤหัสบดีที่ 22 ก.พ. บริษัทที่ครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่าตามราคาตลาดมากที่สุดในโลกก็คือไมโครซอฟท์ คอร์ป ซึ่งมีมูลค่า 3.0587 ล้านล้านดอลลาร์, อันดับ 2 เป็นของแอปเปิล ซึ่งมีมูลค่า 2.8470 ล้านล้านดอลลาร์, อันดับ 3 เป็นของซาอุดิ อาราเบียน ออยล์ โค ซึ่งมีมูลค่า 2.0650 ล้านล้านดอลลาร์ และอันดับ 4 เป็นของเอ็นวิเดีย ซึ่งมีมูลค่า 1.9635 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงเย็นวันพฤหัสบดี ก่อนที่มูลค่าจะพุ่งขึ้นแตะ 2 ล้านล้านดอลลาร์ได้เป็นเวลาสั้น ๆ ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันศุกร์ และลดช่วงบวกลงสู่ 1.97 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงบ่ายวันศุกร์ ส่วนอันดับ 5 เป็นของอะเมซอนดอทคอม ซึ่งมีมูลค่า 1.8134 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงเย็นวันพฤหัสบดี, อันดับ 6 เป็นของแอลฟาเบท ซึ่งมีมูลค่า 1.7985 ล้านล้านดอลลาร์, อันดับ 7 เป็นของเมตา แพลตฟอร์มส์ ซึ่งมีมูลค่า 1.2393 ล้านล้านดอลลาร์, อันดับ 8 เป็นของเบิร์คเชียร์ แฮทธาเวย์ ซึ่งมีมูลค่า 9.008 แสนล้านดอลลาร์, อันดับ 9 เป็นของอีไล ลิลลี แอนด์ โค ซึ่งมีมูลค่า 7.313 แสนล้านดอลลาร์ และอันดับ 10 เป็นของเทสลา ซึ่งมีมูลค่า 6.287 แสนล้านดอลลาร์หากนับจนถึงช่วงเย็นวันพฤหัสบดีที่ 22 ก.พ.
ราคาหุ้นเอ็นวิเดียพุ่งขึ้นมาแล้วเกือบ 60% จากช่วงต้นปีนี้ หลังจากราคาหุ้นเอ็นวิเดียทะยานขึ้นจากระดับราว 146 ดอลลาร์ในช่วงสิ้นปี 2022 สู่ 495 ดอลลาร์ในช่วงสิ้นปี 2023 ซึ่งเท่ากับว่าราคาหุ้นเอ็นวิเดียทะยานขึ้นเกือบ 240% ในปี 2023 นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของหุ้นเอ็นวิเดียในปี 2024 ก็ครองสัดส่วนสูงกว่า 25% ของการพุ่งขึ้นของดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐในปีนี้ด้วย ในขณะที่ดัชนี S&P 500 ทะยานขึ้นมาปิดตลาดที่ 5,088.8 ในวันศุกร์ที่ 23 ก.พ. ซึ่งถือเป็นสถิติระดับปิดสูงสุดใหม่
ถึงแม้ราคาหุ้นเอ็นวิเดียพุ่งสูง มูลค่าหุ้นของเอ็นวิเดียก็ดิ่งลงในช่วงที่ผ่านมา โดยเป็นผลจากการที่นักวิเคราะห์ปรับขึ้นตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรของเอ็นวิเดีย โดยค่าพีอีเรโชของหุ้นเอ็นวิเดียในตอนนี้อยู่ที่ราว 31 เท่าของคาดการณ์ผลกำไรช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยดิ่งลงจากระดับ 49 เท่าเมื่อหนึ่งปีก่อน ทั้งนี้ นายไบรอัน โคเลลโล นักยุทธศาสตร์การลงทุนของบริษัทมอร์นิงสตาร์ระบุว่า "เราคาดว่ารายได้ของเอ็นวิเดียจะพุ่งขึ้นราว 2 พันล้านดอลลาร์ต่อไตรมาสจนถึงสิ้นสุดปีงบดุลบัญชี 2025 ในขณะที่มีการผลิตชิปมากยิ่งขึ้น"--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--28 ก.พ.--รอยเตอร์
ดอลลาร์/เยนอ่อนค่าลงในวันอังคาร หลังจากญี่ปุ่นรายงานตัวเลขอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของผู้บริโภคที่สูงเกินคาด และสหรัฐรายงานตัวเลขยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนที่ดิ่งลงอย่างรุนแรงเกินคาดในเดือนม.ค. ทั้งนี้ สำนักงานสำมะโนประชากรในกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันอังคารว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ซึ่งครอบคลุมสินค้าที่สามารถใช้งานได้นานไม่ต่ำกว่า 3 ปี ดิ่งลง 6.1% ในเดือนม.ค. ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์คาดว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนอาจร่วงลงเพียง 4.5% ในเดือนม.ค. Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 103.84 ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร โดยแข็งค่าขึ้นจาก 103.77 ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 150.50 เยนในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร โดยปรับลงจากระดับปิดตลาดวันจันทร์ที่ 150.69 เยน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0844 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร โดยขยับลงจาก 1.0847 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันจันทร์ แต่ยังคงอยู่ห่างจากจุดต่ำสุดรอบ 3 เดือนที่ 1.0693 ดอลลาร์ที่ทำไว้ในวันที่ 14 ก.พ.
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของตลาดหุ้นสหรัฐปรับลงเล็กน้อยในวันอังคาร แต่ดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq ของตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นเล็กน้อยในวันอังคาร ในขณะที่นักลงทุนรอดูตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวในสัปดาห์นี้เพื่อใช้ในการประเมินว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเมื่อใด โดยตัวเลขที่นักลงทุนรอดูรวมถึงดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ประจำเดือนม.ค.ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันพฤหัสบดี เพราะเฟดมักจะใช้ดัชนี PCE เป็นมาตรวัดภาวะเงินเฟ้อ และนักลงทุนรอดูตัวเลขยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก, กิจกรรมภาคโรงงาน และผลการประเมินครั้งที่สองสำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐด้วย โดยในตอนนี้นักลงทุนคาดว่า มีโอกาส 59.1% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 0.25% ก่อนสิ้นเดือนมิ.ย. โดยปรับลดลงจากโอกาสเกือบ 100% ที่เคยคาดไว้ในช่วงสิ้นเดือนม.ค. ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐได้รับแรงหนุนเข้ามาบ้างจากหุ้นบริษัทแอปเปิลที่ปิดบวกขึ้น 0.81% หลังจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า แอปเปิลยกเลิกการทำงานด้านรถยนต์ไฟฟ้า และโยกย้ายพนักงานบางรายให้ไปทำงานในโครงการด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างไรก็ดี หุ้นบริษัทยูไนเต็ดเฮลธ์ กรุ๊ป ที่ทำธุรกิจประกันสุขภาพดิ่งลง 2.27% และถือเป็นหุ้นที่ถ่วงดัชนีดาวโจนส์ลงมากที่สุดในวันอังคาร หลังจากหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล (WSJ) รายงานว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐได้เริ่มการสอบสวนบริษัทแห่งนี้ในคดีต่อต้านการผูกขาด Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับลง 0.25% สู่ 38,972.41
ดัชนี S&P 500 ปิดขยับขึ้น 0.17% สู่ 5,078.18
ดัชนี Nasdaq ปิดบวกขึ้น 0.37% สู่ 16,035.30
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX พุ่งขึ้นในวันอังคาร ในขณะที่แหล่งข่าวกล่าวว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร (โอเปกพลัส) กำลังพิจารณาเรื่องการต่ออายุมาตรการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจสำหรับช่วงไตรมาส 2 เพื่อให้มาตรการดังกล่าวช่วยหนุนราคาน้ำมัน และกลุ่มโอเปกพลัสอาจจะดำเนินมาตรการนี้ต่อไปอีกจนถึงช่วงสิ้นปีนี้ด้วย โดยก่อนหน้านี้กลุ่มโอเปกพลัสเคยตกลงกันในเดือนพ.ย. 2023 ว่า ทางกลุ่มจะดำเนินมาตรการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจในอัตรา 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวันในไตรมาสแรกของปี 2024 นอกจากนี้ ราคาน้ำมันก็ได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากข่าวที่ว่า อิสราเอล, กลุ่มฮามาส และคณะผู้ไกล่เกลี่ยของกาตาร์ต่างก็แสดงความเห็นในเชิงระมัดระวังต่อความคืบหน้าในการเจรจาต่อรองเรื่องการหยุดยิงในเขตกาซา โดยกลุ่มฮามาสกำลังพิจารณาข้อเสนอสำหรับการหยุดยิงเป็นเวลา 40 วันในตอนนี้ แต่ข้อเสนอดังกล่าวยังไม่ได้สอดคล้องกับข้อเรียกร้องหลักของกลุ่มฮามาสที่ต้องการแนวทางที่ชัดเจนสำหรับการยุติสงครามอย่างเป็นการถาวรและการถอนกำลังของอิสราเอล ทั้งนี้ หลังจากตลาด NYMEX ปิดทำการในวันอังคาร การปิโตรเลียมสหรัฐ (API) ซึ่งเป็นหน่วยงานของเอกชน ได้เปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันสหรัฐประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 23 ก.พ. โดยระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบในคลังสหรัฐพุ่งขึ้น 8.43 ล้านบาร์เรล, สต็อกน้ำมันเบนซินในคลังสหรัฐดิ่งลง 3.27 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมัน distillate ในคลังสหรัฐปรับลง 523,000 บาร์เรล Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนเม.ย.ทะยานขึ้น 1.29 ดอลลาร์ หรือ 1.7% มาปิดตลาดที่ 78.87 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนเม.ย.ที่ตลาดกรุงลอนดอนพุ่งขึ้น 1.12 ดอลลาร์ หรือ 1.4% มาปิดตลาดที่ 83.65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับลง 1.05 ดอลลาร์ สู่ 2,029.64 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร ในขณะที่นักลงทุนรอดูตัวเลขดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐานของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพฤหัสบดี โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มักจะใช้ดัชนี PCE พื้นฐานเป็นมาตรวัดภาวะเงินเฟ้อ และนักลงทุนก็จะใช้ตัวเลขนี้ในการประเมินว่า เฟดอาจจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อใด นอกจากนี้ นักลงทุนก็รอฟังถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดอย่างน้อย 10 คนที่มีกำหนดจะกล่าวอภิปรายในสัปดาห์นี้ด้วย ทั้งนี้ นายฟิลลิป สเตรเบิล หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนตลาดของบริษัทบลู ไลน์ ฟิวเจอร์สกล่าวว่า "ถ้าหากสหรัฐรายงานตัวเลขเงินเฟ้อที่ปรับขึ้นเล็กน้อย ตัวเลขดังกล่าวก็จะกดดันราคาทอง แต่ราคาทองได้รับแรงหนุนเป็นอย่างดีที่ระดับ 2,000 ดอลลาร์ในช่วงนี้ โดยเป็นผลจากคำสั่งซื้อของธนาคารกลาง และก็ไม่มีแนวโน้มว่าเจ้าหน้าที่เฟดจะปรับเปลี่ยนจุดยืนของตนเองจนกว่าจะมีการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจออกมามากกว่านี้" และเขากล่าวเสริมว่า "ราคาทองจะพุ่งสูงในไตรมาส 4 เมื่อเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง" Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--27 ก.พ.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินปรับลงในวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนรอดูตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวที่จะได้รับการรายงานออกมาในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะตัวเลขยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันอังคาร และดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพฤหัสบดี โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มักจะใช้ดัชนี PCE เป็นมาตรวัดภาวะเงินเฟ้อ และนักลงทุนก็จะใช้ตัวเลขเหล่านี้ในการประเมินว่า เฟดอาจจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อใด ทั้งนี้ นักลงทุนคาดการณ์ในตอนนี้ว่า แทบไม่มีโอกาสที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค. และนักลงทุนคาดว่า เฟดอาจจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 11-12 มิ.ย. หลังจากสหรัฐรายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ประจำเดือนม.ค.ที่แข็งแกร่งเกินคาดในช่วงกลางเดือนก.พ. Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 103.77 ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยอ่อนค่าลงจาก 103.95 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 150.69 เยนในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยปรับขึ้นจากระดับปิดตลาดวันศุกร์ที่ 150.50 เยน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0847 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันจันทร์ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 1.0818 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันศุกร์ โดยยูโรแข็งค่าขึ้นในช่วง 8 วันจาก 9 วันทำการที่ผ่านมา
ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลงเล็กน้อยในวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนรอดูตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะตัวเลขยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันอังคาร และดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพฤหัสบดี โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มักจะใช้ดัชนี PCE เป็นมาตรวัดภาวะเงินเฟ้อ และนักลงทุนก็รอดูตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และกิจกรรมภาคการผลิตของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในสัปดาห์นี้ด้วย เพราะตัวเลขเหล่านี้อาจจะส่งผลกระทบต่อกำหนดเวลาที่เฟดจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ ดัชนี Nasdaq ขยับลงเพียงเล็กน้อยในวันจันทร์ เพราะว่าดัชนีได้รับแรงหนุนจากหุ้นบริษัทไมครอน เทคโนโลยีที่พุ่งขึ้น 4.02% ในขณะที่ไมครอนเริ่มต้นการผลิตเซมิคอนดักเตอร์หน่วยความจำความเร็วสูงจำนวนมาก เพื่อใช้ในชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของบริษัทเอ็นวิเดีย ทางด้านดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐพุ่งขึ้น 1.05% ในวันจันทร์ อย่างไรก็ดี หุ้นแอลฟาเบทซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิลดิ่งลง 4.44% หลังจากแอลฟาเบทประกาศแผนที่จะเปิดตัวเครื่องมือ AI อีกครั้งในอีกหลายสัปดาห์ข้างหน้า หลังจากแผนดังกล่าวหยุดชะงักลงในสัปดาห์ที่แล้ว Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับลง 0.16% สู่ 39,069.23
ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.38% สู่ 5,069.53 ในวันจันทร์ โดยก่อนหน้านี้ดัชนี S&P 500 เพิ่งปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนบวกมาได้นานถึง 15 สัปดาห์ในช่วง 17 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นครั้งที่สองในรอบ 50 ปีที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ส่วนครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นในปี 1989
ดัชนี Nasdaq ปิดขยับลง 0.13% สู่ 15,976.25
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX พุ่งขึ้นในวันจันทร์ โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์น้ำมันดีเซลในยุโรป ในขณะที่อุปทานน้ำมันในยุโรปประสบปัญหาจากมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย และจากการขาดตอนของการขนส่งน้ำมันผ่านทะเลแดง นอกจากนี้ กำลังการกลั่นน้ำมันของสหรัฐก็ดิ่งลงในช่วงที่ผ่านมา และปัจจัยนี้มีส่วนทำให้อุปทานน้ำมันดีเซลตึงตัวมากยิ่งขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาด้วย และส่งผลลบต่อยอดส่งออกน้ำมันดีเซลจากสหรัฐสู่ยุโรปในเดือนนี้ โดยค่าการกลั่นน้ำมันดีเซลในสหรัฐได้พุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 4 เดือนที่ระดับสูงกว่า 48 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในเดือนนี้ ทั้งนี้ กองบัญชาการกลางของสหรัฐรายงานว่า กลุ่มฮูตีในเยเมนพยายามโจมตีเรือขนส่งน้ำมันที่ติดธงชาติสหรัฐในวันเสาร์ที่ 24 ก.พ. ทางด้านนายเจค ซุลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาวกล่าวต่อสถานี CNN ในวันอาทิตย์ว่า ผู้เจรจาต่อรองของสหรัฐ, อียิปต์, กาตาร์ และอิสราเอลได้ตกลงกันเรื่องโครงร่างของข้อตกลงเรื่องตัวประกันในการเจรจาที่กรุงปารีส แต่การเจรจาต่อรองยังคงดำเนินต่อไป Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนเม.ย.ทะยานขึ้น 1.09 ดอลลาร์ หรือ 1.43% มาปิดตลาดที่ 77.58 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนเม.ย.ที่ตลาดกรุงลอนดอนพุ่งขึ้น 91 เซนต์ หรือ 1.11% มาปิดตลาดที่ 82.53 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับลง 5.03 ดอลลาร์ สู่ 2,030.69 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนรอดูตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวที่จะได้รับการรายงานออกมาในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพฤหัสบดี โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มักจะใช้ดัชนี PCE เป็นมาตรวัดภาวะเงินเฟ้อ และนักลงทุนก็จะใช้ตัวเลขนี้ในการประเมินว่า เฟดอาจจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อใด โดยนักลงทุนคาดว่า ดัชนี PCE อาจปรับขึ้น 0.4% เมื่อเทียบรายเดือน ทั้งนี้ นายจิม วิคคอฟ นักวิเคราะห์ของบริษัทคิทโค เมทัลส์กล่าวว่า "ถ้าหากดัชนี PCE อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น สิ่งนี้ก็จะส่งผลลบต่อราคาททอง แต่ราคาทองจะยังคงรักษาระดับ 2,000 ดอลลาร์เอาไว้ได้ โดยราคาทองจะดิ่งผ่านระดับ 2,000 ดอลลาร์ลงไปได้ก็ต่อเมื่อ มีการรายานตัวเลขเศรษฐกิจในสัปดาห์นี้ที่แข็งแกร่งเกินคาดเป็นอย่างมาก" Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--23 ก.พ.--รอยเตอร์
รอยเตอร์ได้สำรวจความเห็นนักยุทธศาสตร์การลงทุน 40 ราย และได้เปิดเผยผลสำรวจออกมาเมื่อวานนี้ โดยค่ากลางในโพลล์คาดว่า ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐอาจจะปิดตลาดสิ้นปีนี้ที่ระดับ 5,100 ซึ่งใกล้เคียงกับระดับปิดวานนี้ที่ 5,087.03 ซึ่งถือเป็นสถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ โดยตัวเลขคาดการณ์ใหม่นี้พุ่งขึ้นเป็นอย่างมากจากระดับ 4,700 ที่เคยคาดการณ์ไว้ในโพลล์เดือนพ.ย. ในขณะที่นักลงทุนยังคงไม่แน่ใจว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อใด ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นมาแล้วราว 6% จากช่วงต้นปีนี้ หลังจากทะยานขึ้น 24% ในปี 2023 โดยดัชนีได้รับแรงหนุนบางส่วนจากการคาดการณ์ที่ว่า เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเร็ว ๆ นี้ และได้รับแรงหนุนบางส่วนจากกระแสการคาดการณ์ในทางบวกต่อธุรกิจปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้วย หลังจากปัจจัยดังกล่าวเคยช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีให้พุ่งสูงในปีที่แล้ว
โพลล์คาดว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของตลาดหุ้นสหรัฐอาจจะปิดตลาดสิ้นปีนี้ที่ 41,600 โดยพุ่งขึ้น 6.5% จากระดับปิดวันพฤหัสบดีที่ 39,069.11 ซึ่งถือเป็นระดับปิดสูงสุดใหม่ อย่างไรก็ดี นักยุทธศาสตร์การลงทุน 8 จาก 13 รายในโพลล์ระบุว่า มีแนวโน้มสูงหรือสูงมากที่ตลาดหุ้นสหรัฐจะปรับฐานลงในช่วง 3 เดือนข้างหน้า
นายปีเตอร์ คาร์ดิลโล หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ตลาดของบล.สปาร์ตัน แคปิตัลกล่าวว่า "ผมใช้ความระมัดระวังกับการลงทุนเมื่อดัชนีอยู่ที่ระดับนี้ และผมก็คิดว่าตลาดหุ้นกำลังจะย่อตัวลง เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) อาจจะปรับสูงขึ้น และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ก็ไม่มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเร็ว ๆ นี้ด้วย และปัจจัยเหล่านี้ก็อาจจะสกัดกั้นการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้น นอกจากนี้ มูลค่าหุ้นก็อยู่ในระดับสูงด้วย" อย่างไรก็ดี นายคาร์ดิลโลและนักยุทธศาสตร์การลงทุนรายอื่น ๆ คาดว่า ตลาดหุ้นอาจจะเริ่มต้นพุ่งขึ้นในฤดูร้อนปีนี้ในช่วงที่มีการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ โดยนายคาร์ดิลโลคาดว่า ดัชนี S&P 500 จะปิดตลาดสิ้นปีนี้ที่ 5,400
นักวิเคราะห์คาดว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจจะปรับขึ้น 9.5% ในปี 2024 หลังจากปรับขึ้นราว 4% ในปี 2023 อย่างไรก็ดี มูลค่าหุ้นพุ่งขึ้นพร้อมกับราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยค่าพีอีเรโชของดัชนี S&P 500 ในตอนนี้อยู่ที่ 20.7 เท่าของคาดการณ์ผลกำไรล่วงหน้า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 15.7 เท่าเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ นายซาเมียร์ ซามานา นักยุทธศาสตร์การลงทุนตลาดโลกของสถาบันการลงทุนเวลส์ ฟาร์โกกล่าวว่า "เศรษฐกิจสหรัฐน่าจะยังคงเติบโตอย่างไม่เป็นระเบียบต่อไป และบริษัทสหรัฐก็จะบริหารต้นทุนในแบบที่เปิดโอกาสให้ผลกำไรปรับขึ้นเล็กน้อย" โดยเวลส์ ฟาร์โกคาดว่า ดัชนี S&P 500 อาจจะปิดตลาดสิ้นปีนี้ที่ 4,900
บริษัทเอ็นวิเดียซึ่งถือเป็นบริษัทสำคัญในธุรกิจปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพิ่งเปิดเผยผลประกอบการและแนวโน้มที่ดีเกินคาด โดยเอ็นวิเดียรายงานในช่วงเย็นวันพุธว่า รายได้ในไตรมาส 4/2023 อยู่ที่ 2.210 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 2.062 หมื่นล้านดอลลาร์ และเอ็นวิเดียคาดว่ารายได้ไตรมาสแรกของปีนี้อาจจะพุ่งขึ้น 233% ซึ่งถือว่าสูงกว่าระดับ +208% ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์กันไว้เป็นอย่างมาก โดยรายได้ดังกล่าวจะได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ที่สูงมากในชิป AI ของเอ็นวิเดีย โดยรายงานผลประกอบการนี้ส่งผลให้หุ้นเอ็นวิเดียพุ่งขึ้น 16.4% ในวันพฤหัสบดี และส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของเอ็นวิเดียทะยานขึ้น 2.77 แสนล้านดอลลาร์ในวันพฤหัสบดี ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นนิวยอร์ค โดยสามารถทำลายสถิติเดิมที่บริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์เคยทำไว้ในช่วงต้นเดือนนี้เมื่อมูลค่าตามราคาตลาดของเมตาทะยานขึ้น 1.96 แสนล้านดอลลาร์ภายในวันเดียว--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
22 ก.พ.--รอยเตอร์
บริษัทเอ็นวิเดีย ซึ่งเป็นบริษัทผู้ออกแบบชิปยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ได้เปิดเผยผลประกอบการออกมาหลังจากตลาดหุ้นนิวยอร์คปิดทำการในวันพุธ โดยเอ็นวิเดียคาดว่ารายได้ไตรมาสแรกอาจจะพุ่งขึ้น 233% ซึ่งถือว่าสูงกว่าระดับ +208% ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์กันไว้เป็นอย่างมาก โดยรายได้ดังกล่าวจะได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ที่สูงมากในชิปสำหรับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของเอ็นวิเดีย โดยรายงานผลประกอบการในครั้งนี้ส่งผลให้หุ้นเอ็นวิเดียพุ่งขึ้น 10% ในช่วงเย็นวันพุธหลังจากตลาดปิดทำการ ทั้งนี้ หุ้นเอ็นวิเดียเพิ่งปิดตลาดวันพุธด้วยการดิ่งลง 2.85% จากวันอังคาร หลังจากหุ้นเอ็นวิเดียรูดลงกว่า 4% ในวันอังคาร อย่างไรก็ดี หุ้นเอ็นวิเดียพุ่งขึ้นมาแล้วเกือบ 40% จากช่วงต้นปีนี้ และส่งผลให้หุ้นเอ็นวิเดียครองตำแหน่งหุ้นที่พุ่งขึ้นมากที่สุดในดัชนี S&P 500 ในปีนี้ หลังจากหุ้นเอ็นวิเดียเพิ่งทะยานขึ้นเกือบ 240% ในปี 2023
อุปสงค์ในชิปสำหรับศูนย์ข้อมูลของเอ็นวิเดีย และอุปสงค์ในหน่วยประมวลผลกราฟฟิก (GPU) ของเอ็นวิเดียยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป ในขณะที่บริษัทหลายแห่งพยายามขยายการให้บริการ AI แก่ลูกค้า โดยเอ็นวิเดียถือเป็นผู้นำในตลาดชิป AI ทั่วโลก และลูกค้าของเอ็นวิเดียก็รวมถึงบริษัทไมโครซอฟท์ด้วย ทั้งนี้ การที่ราคาหุ้นเอ็นวิเดียพุ่งขึ้น 10% ในช่วงเย็นวันพุธส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของเอ็นวิเดียทะยานขึ้นกว่า 1.29 แสนล้านดอลลาร์ และส่งผลให้หุ้นบริษัทอื่น ๆ ในธุรกิจ AI ทะยานขึ้นในช่วงเย็นวันพุธด้วยเช่นกัน ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทอาร์ม โฮลดิงส์ที่เป็นผู้ออกแบบชิป
เอ็นวิเดียรายงานว่า รายได้ในไตรมาส 4/2023 อยู่ที่ 2.210 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 2.062 หมื่นล้านดอลลาร์ และผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 5.16 ดอลลาร์ในไตรมาส 4 ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 4.64 ดอลลาร์ ทั้งนี้ เอ็นวิเดียเคยรายงานในช่วงก่อนหน้านี้ว่า รายได้ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2023 อยู่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ราว 10%-20% และนักวิเคราะห์บางรายก็ตั้งข้อสงสัยว่า รายได้ของเอ็นวิเดียจะยังคงพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งแบบนี้ต่อไปได้อีกนานเพียงใด
เอ็นวิเดียคาดว่า รายได้ในไตรมาสปัจจุบันจะอยู่ที่ 2.40 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 2.217 หมื่นล้านดอลลาร์ และคาดว่าอัตรากำไรเบื้องต้นในไตรมาสแรกจะอยู่ที่ 77% ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 75.6% ทั้งนี้ เอ็นวิเดียรายงานว่า ยอดขายในแผนกศูนย์ข้อมูลพุ่งขึ้น 409% สู่ 1.84 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4 ของปีงบดุลบัญชี ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 1.68 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยก่อนหน้านี้รายได้ของแผนกศูนย์ข้อมูลเคยเติบโตในอัตราใกล้ 280% ในไตรมาส 3/2023
เอ็นวิเดียได้ก้าวขึ้นมาครองตำแหน่งหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายมากที่สุดในตลาดหุ้นสหรัฐด้วย โดยขึ้นมาครองตำแหน่งดังกล่าวแทนที่บริษัทเทสลา ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า โดยมูลค่าการซื้อขายหุ้นเอ็นวิเดียมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ราว 3.0 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อวันในช่วง 30 วันทำการสิ้นสุดวันที่ 20 ก.พ. ซึ่งสูงกว่ามูลค่าการซื้อขายหุ้นเทสลาที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อวันในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งนี้ ห่วงโซ่อุปทานของเอ็นวิเดียปรับตัวดีขึ้นในช่วงนี้ อย่างไรก็ดี นายเจนเสน หวง ซีอีโอของเอ็นวิเดียกล่าวต่อนักวิเคราะห์ว่า ไม่มีทางที่เอ็นวิเดียจะสามารถตอบรับต่ออุปสงค์ได้อย่างสมเหตุสมผลในระยะอันสั้นนี้--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--19 ก.พ.--รอยเตอร์
ดอลลาร์สหรัฐทรงตัวในวันศุกร์ หลังจากสำนักงานสถิติแรงงาน (BLS) ในกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) สำหรับอุปสงค์ขั้นสุดท้ายในสหรัฐปรับขึ้น 0.3% ในเดือนม.ค. ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2023 หรือครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 5 เดือน หลังจากดัชนี PPI ปรับลง 0.1% ในเดือนธ.ค. โดยตัวเลขของเดือนม.ค.อยู่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ +0.1% ทั้งนี้ รายงานดัชนี PPI ที่สูงเกินคาดนี้ช่วยกระตุ้นการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.25-5.50% ตามเดิมจนถึงช่วงกลางปีนี้ โดยในตอนนี้นักลงทุนในตลาดสัญญาล่วงหน้าคาดว่า มีโอกาสเพียง 10.5% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค. โดยปรับลดลงจากโอกาส 79% ที่เคยคาดไว้ในช่วงต้นปีนี้ และนักลงทุนยังคาดการณ์อีกด้วยว่า มีโอกาสเพียง 33.7% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 30 เม.ย.-1 พ.ค. Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 104.28 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ ซึ่งใกล้เคียงกับระดับ 104.26 ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 150.21 เยนในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ โดยแข็งค่าขึ้นจากระดับปิดตลาดวันพฤหัสบดีที่ 149.91 เยน โดยดอลลาร์/เยนพุ่งขึ้นมาแล้วราว 6.5% จากช่วงต้นปีนี้
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0774 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันศุกร์ ซึ่งใกล้เคียงกับระดับ 1.0771 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี
ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลงในวันศุกร์ หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งเกินคาดในเดือนม.ค. และตัวเลขดังกล่าวช่วยสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเร็ว ๆ นี้ โดยรายงานตัวเลขดังกล่าวทำให้นักลงทุนคาดการณ์กันว่า มีโอกาสสูงกว่า 50% เล็กน้อยที่เฟดจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 11-12 มิ.ย. โดยปรับลดลงจากโอกาสราว 75% ที่เคยคาดไว้ก่อนที่สหรัฐจะรายงานตัวเลข PPI ออกมา นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่เฟดสองคนก็แสดงความกังวลต่อภาวะเงินเฟ้อด้วย โดยนายราฟาเอล บอสติก ประธานเฟดสาขาแอตแลนตากล่าวว่า เขาต้องการจะเห็นหลักฐานมากกว่านี้ว่า แรงกดดันเงินเฟ้อกำลังปรับลดลง แต่เขาเปิดโอกาสสำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในช่วงฤดูร้อน ทางด้านแมรี ดาลี ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโกกล่าวว่า ยังคงมีงานที่ต้องทำต่อไปในการรับประกันว่าราคาจะมีเสถียรภาพ ถึงแม้มีความคืบหน้าในการปรับลดภาวะเงินเฟ้อในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ หุ้นบริษัทขนาดยักษ์ส่วนใหญ่ร่วงลงในวันศุกร์ โดยหุ้นบริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์ดิ่งลง 2.2% และมีส่วนกดดันดัชนีหุ้นกลุ่มบริการการสื่อสารของสหรัฐให้ดิ่งลง 1.56% อย่างไรก็ดี หุ้นบริษัทวัลแคน แมทีเรียลส์พุ่งขึ้น 5.2% หลังจากทางบริษัทคาดว่าผลกำไรตลอดทั้งปีจะปรับสูงขึ้น และการพุ่งขึ้นของหุ้นวัลแคนก็มีส่วนช่วยหนุนดัชนีหุ้นกลุ่มวัสดุให้ปรับขึ้นด้วย Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับลง 0.37% สู่ 38,627.99
ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.48% สู่ 5,005.57 แต่สามารถปิดตลาดเหนือระดับ 5,000 ได้เป็นครั้งที่ 4 ของปีนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการภาคเอกชนที่แข็งแกร่ง และจากการคาดการณ์ในทางบวกต่อธุรกิจปัญญาประดิษฐ์ (AI)
ดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลง 0.83% สู่ 15,775.65 โดยดัชนีสำคัญทั้ง 3 ดัชนีของตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดสัปดาห์นี้ในแดนลบ หลังจากปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนบวกมานาน 5 สัปดาห์ติดต่อกัน
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX พุ่งขึ้นในวันศุกร์ โดยได้รับแรงหนุนจากความขัดแย้งทางการเมืองในภูมิภาคตะวันออกกลาง ในขณะที่กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ประกาศในวันพฤหัสบดีว่า ทางกลุ่มได้ยิงจรวดหลายสิบลูกเข้าใส่เมืองแห่งหนึ่งในภาคเหนือของอิสราเอล เพื่อตอบโต้ต่อการสังหารพลเรือน 10 คนในภาคใต้ของเลบานอน ทางด้านอิสราเอลได้ส่งเครื่องบินรบไปโจมตีเมืองราฟาห์ในเขตฉนวนกาซา ซึ่งถือเป็นแหล่งหลบภัยสุดท้ายสำหรับชาวปาเลสไตน์ในเขตกาซา นอกจากนี้ ก็มีผู้ยิงขีปนาวุธออกจากเยเมนเพื่อโจมตีเรือขนส่งน้ำมันดิบในทะเลแดงที่มีจุดหมายปลายทางอยู่ที่อินเดียด้วย ทั้งนี้ ปัจจัยบวกที่ราคาน้ำมันได้รับจากความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางช่วยบดบังแรงกดดันที่ราคาน้ำมันได้รับจากรายงานขององค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) หลังจาก IEA คาดการณ์ในวันพฤหัสบดีว่า อุปสงค์น้ำมันทั่วโลกอาจเพิ่มขึ้นเพียง 1.22 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2024 โดยปรับลดลงจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ +1.24 ล้านบาร์เรลต่อวัน ทางด้านบริษัทเบเกอร์ ฮิวจ์รายงานในวันศุกร์ว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซที่ใช้งานในสหรัฐลดลง 2 แท่น สู่ 621 แท่นในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 16 ก.พ. Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนมี.ค.พุ่งขึ้น 1.16 ดอลลาร์ หรือ 1.49% มาปิดตลาดที่ 79.19 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในขณะที่สัญญาเดือนมี.ค.จะครบกำหนดส่งมอบในวันอังคารที่ 20 ก.พ. ส่วนราคาสัญญาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนเม.ย.ทะยานขึ้น 87 เซนต์ มาปิดตลาดที่ 78.46 ดอลลาร์ในวันศุกร์ ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบสหรัฐเดือนใกล้ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้นราว 3% จากสัปดาห์ที่แล้ว
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนเม.ย.ที่ตลาดกรุงลอนดอนปรับขึ้น 61 เซนต์ หรือ 0.74%มาปิดตลาดที่ 83.47 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันศุกร์ และปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้นกว่า 1% จากสัปดาห์ที่แล้ว
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 9.01 ดอลลาร์ สู่ 2,013.10 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ แต่ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการปรับลง 0.55% จากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนลบเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่ระดับสูงในสหรัฐส่งผลให้นักลงทุนปรับลดการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเร็ว ๆ นี้ ทั้งนี้ นายเอฟเวอเรทท์ มิลแมน หัวหน้านักวิเคราะห์ตลาดของบริษัทเกนส์วิลล์กล่าวว่า เนื่องจากเฟดไม่มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนมี.ค. ดังนั้นราคาทองจึงอาจจะประสบความยากลำบากในการพุ่งสูงเหนือระดับ 2,000 ดอลลาร์ และเขากล่าวเสริมว่า "ผมคาดว่าราคาทองจะดิ่งลงสู่ระดับราว 1,960 ดอลลาร์" Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน