ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
เพื่อเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็วและติดตามตลาดโฟกัสใน 15 นาที
ในโลกของมนุษยชาติ จะไม่มีคำกล่าวใด ๆ ที่ไม่มีจุดยืนใด ๆ หรือคำพูดใด ๆ ที่ไม่มีจุดประสงค์ใด ๆ
อัตราเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน และเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจเชิงนโยบายของธนาคารกลาง ทัศนคติและคำพูดของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยังมีอิทธิพลต่อการกระทำของเทรดเดอร์ในตลาดอีกด้วย
เงินทำให้โลกหมุนไป และสกุลเงินเป็นสินค้าถาวร ตลาดฟอเร็กซ์เต็มไปด้วยความประหลาดใจและความคาดหวัง
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
เพลิดเพลินกับกิจกรรมที่น่าตื่นเต้น ที่นี่ที่ FastBull
ข่าวด่วนล่าสุดและเหตุการณ์ทางการเงินทั่วโลก
ฉันมีประสบการณ์ 5 ปีในการวิเคราะห์ทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนามหภาคและการตัดสินแนวโน้มระยะกลางและระยะยาว ความสนใจของฉันอยู่ที่การพัฒนาของตะวันออกกลาง ตลาดเกิดใหม่ ถ่านหิน ข้าวสาลี และสินค้าเกษตรอื่นๆ
7 ปีของตลาดหุ้น การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โลหะมีค่า และประสบการณ์การซื้อขายและการวิเคราะห์อื่น ๆ โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐาน การสนับสนุนทางเทคนิค มีอคติต่อตรรกะธุรกรรมจากบนลงล่าง โดยเน้นที่วัฏจักรมหภาคและการควบคุมความเสี่ยง การคาดการณ์เชิงทฤษฎีอุปสงค์และอุปทานอเนกประสงค์ การเปลี่ยนแปลงของราคา สร้างสมดุลระหว่างผลกระทบของธุรกรรม การกระจายชิปและอารมณ์ตลาด และคงที่
อัปเดตล่าสุด
สร้างทัศนคติการลงทุนที่ดี
วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ปรัชญาการลงทุนของเขาประกอบด้วยการสร้างกรอบความคิดระยะยาว ขจัดญาณรบกวนของตลาด ไม่เก็งกำไร และเน้นย้ำว่าการลงทุนต้องมีมีจิตใจที่มั่นคงและเป้าหมายที่ชัดเจน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง
แม้ว่าระบบกฎหมายและกรอบการกำกับดูแลในฮ่องกงจะค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ตลาดหุ้นยังคงเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายพิเศษหลายประการ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่าง HKD และ USD นักลงทุนต่างชาติอาจเผชิญกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความผันผวนของนโยบายและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นฮ่องกงด้วย
โครงสร้างต้นทุนและภาษีเมื่อลงทุนในหุ้นฮ่องกง
ต้นทุนการซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมหุ้น ค่าอากรแสตมป์ ค่าธรรมเนียมการชำระบัญชี ฯลฯ สำหรับนักลงทุนต่างชาติอาจมีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินเพิ่มเติมเป็นดอลลาร์ฮ่องกงและภาษีอื่น ๆ ตามข้อบังคับท้องถิ่น
การวิเคราะห์อุตสาหกรรมฮ่องกง:อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็น
อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็นของฮ่องกง ได้แก่ รถยนต์ การศึกษา การท่องเที่ยว การจัดเลี้ยง เครื่องแต่งกาย และภาคส่วนอื่นๆ อีกมากมาย จากบริษัทจดทะเบียน 643 แห่งนั้น 35% เป็นบริษัทในจีนแผ่นดินใหญ่และคิดเป็น 65% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด ดังนั้นอุตสาหกรรมนี้จึงได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากเศรษฐกิจจีน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด
ไม่มีข้อมูล
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม
สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
กรุงเทพฯ--10 เม.ย.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินทรงตัวในวันอังคาร ในขณะที่นักลงทุนใช้ความระมัดระวังในการลงทุน ก่อนที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานตัวเลขอัตราเงินเฟ้อออกมาในวันพุธ โดยนักลงทุนคาดการณ์กันว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทั่วไปของสหรัฐอาจปรับขึ้น 0.3% ในเดือนมี.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากปรับขึ้น 0.4% ในเดือนก.พ. แต่ดัชนี CPI ทั่วไปแบบเทียบรายปีอาจปรับขึ้น 3.4% ในเดือนมี.ค. โดยเร่งตัวขึ้นจาก 3.2% ในเดือนก.พ. ทางด้านดัชนี CPI พื้นฐานอาจปรับขึ้น 0.3% ในเดือนมี.ค.เมื่อเทียบรายเดือน ทั้งนี้ นักลงทุนในตลาดสัญญาล่วงหน้าคาดการณ์ในวันอังคารว่า มีโอกาส 58% ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 11-12 มิ.ย. โดยปรับเพิ่มขึ้นจากโอกาส 52% ที่เคยคาดไว้ในช่วงเย็นวันจันทร์ และนักลงทุนคาดการณ์กันว่า เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงรวมกันราว 0.74% ในปี 2024 หรือเท่ากับว่าเฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในปีนี้ Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 104.09 ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร ซึ่งใกล้เคียงกับระดับ 104.11 ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 151.77 เยนในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร ซึ่งใกล้เคียงกับระดับปิดตลาดวันจันทร์ที่ 151.79 เยน และเทียบกับจุดสูงสุดรอบ 34 ปีที่ 151.97 เยนที่เคยทำไว้ในวันที่ 27 มี.ค.
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0855 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร ซึ่งใกล้เคียงกับระดับ 1.0858 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันจันทร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของตลาดหุ้นสหรัฐขยับลง แต่ดัชนี Nasdaq และ S&P 500 ปิดบวกขึ้นเล็กน้อยในวันอังคาร โดยดัชนี Nasdaq ได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มชิปของสหรัฐ ในขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐปิดบวกขึ้น 0.94% อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐได้รับแรงกดดันจากความอ่อนแอของหุ้นกลุ่มการเงิน ก่อนที่ฤดูการรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทสหรัฐจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในวันศุกร์ที่ 12 เม.ย. เมื่อธนาคารเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค, ซิตี้กรุ๊ป และเวลส์ ฟาร์โก แอนด์ โคเปิดเผยผลประกอบการออกมา โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ในช่วงนี้ว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจปรับขึ้น 5.0% ในไตรมาสแรกเมื่อเทียบรายปี โดยปรับลดลงจากระดับ +7.2% ที่เคยคาดการณ์กันไว้ในช่วงต้นไตรมาสแรก นอกจากนี้ นักลงทุนก็รอดูตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพุธด้วย ทั้งนี้ ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น หุ้น 9 กลุ่มปิดตลาดวันอังคารในแดนบวก โดยหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด ส่วนหุ้นกลุ่มการเงินถือเป็นกลุ่มที่ดิ่งลงมากที่สุด ทางด้านหุ้นกลุ่มสกุลเงินคริปโตรูดลงในวันอังคารด้วยเช่นกัน โดยได้รับแรงกดดันจากการดิ่งลงของบิทคอยน์ โดยหุ้นบริษัทคอยน์เบส โกลบัลที่เป็นผู้ประกอบการตลาดดิ่งลง 5.5% และหุ้นบริษัทไมโครสเตรเทจีรูดลง 4.8% Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดขยับลง 0.02% สู่ 38,883.67
ดัชนี S&P 500 ปิดบวกขึ้น 0.14% สู่ 5,209.91
ดัชนี Nasdaq ปิดปรับขึ้น 0.32% สู่ 16,306.64
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ร่วงลงในวันอังคาร ในขณะที่การเจรจาเรื่องการหยุดยิงในเขตกาซายังคงดำเนินต่อไป แต่ราคาน้ำมันร่วงลงไม่มากนัก ในขณะที่ผู้ไกล่เกลี่ยของอียิปต์และกาตาร์เผชิญกับอุปสรรคในการหาทางยุติสงคราม และกลุ่มฮามาสระบุว่า ข้อเสนอของอิสราเอลไม่สอดคล้องกับข้อเรียกร้องของกลุ่มฮามาส อย่างไรก็ดี กลุ่มฮามาสจะศึกษาข้อเสนอต่อไป และจะยื่นส่งคำตอบให้กับผู้ไกล่เกลี่ย ทางด้านผู้บัญชาการกองทัพเรือของกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติของอิหร่านระบุว่า อิหร่านอาจจะปิดช่องแคบฮอร์มุซถ้าหากมีความจำเป็น ในขณะที่ปริมาณการขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซในแต่ละวันครองสัดส่วนราว 20% ของปริมาณการใช้น้ำมันทั่วโลก นอกจากนี้ ตุรกีก็ประกาศว่า ตุรกีจะจำกัดการส่งออกสินค้าหลายอย่างให้แก่อิสราเอล ซึ่งรวมถึงน้ำมันอากาศยาน จนกว่าจะมีการหยุดยิง ส่วนอิสราเอลประกาศว่าจะตอบโต้ตุรกีด้วยมาตรการของตนเอง ทั้งนี้ หลังจากตลาด NYMEX ปิดทำการในวันอังคาร การปิโตรเลียมสหรัฐ (API) ซึ่งเป็นหน่วยงานของเอกชน ได้เปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันสหรัฐประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 5 เม.ย. โดยระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบในคลังสหรัฐพุ่งขึ้น 3.034 ล้านบาร์เรล, สต็อกน้ำมันเบนซินในคลังสหรัฐปรับลง 609,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมัน distillate ในคลังสหรัฐปรับขึ้น 120,000 บาร์เรล Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนพ.ค.ดิ่งลง 1.20 ดอลลาร์ หรือ 1.4% มาปิดตลาดที่ 85.23 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมิ.ย.ที่ตลาดกรุงลอนดอนรูดลง 96 เซนต์ หรือ 1.1% มาปิดตลาดที่ 89.42 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 13.69 ดอลลาร์ สู่ 2,352.58 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร หลังจากพุ่งขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ในระหว่างวันที่ 2,365.09 ดอลลาร์ โดยราคาทองได้รับแรงหนุนจากคำสั่งซื้อที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง และจากความเสี่ยงจากความข้ดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ ในขณะที่นักลงทุนรอดูรายงานการประชุมกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประจำวันที่ 19-20 มี.ค. และรอดูตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพุธ ทั้งนี้ นายฟิลลิป สเตรเบิล หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนตลาดของบริษัทบลู ไลน์ ฟิวเจอร์สกล่าวว่า "จะยังคงมีคำสั่งซื้อตามปัจจัยทางเทคนิคเข้ามาในตลาดทองต่อไป นอกจากว่าสหรัฐจะรายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่สูงเกินคาดเป็นอย่างมาก แต่ถ้าหากสหรัฐรายงานว่า อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง ปัจจัยดังกล่าวก็อาจจะช่วยหนุนราคาทองให้พุ่งขึ้นสู่ 2,400 ดอลลาร์" Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com ; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--9 เม.ย.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า มูลค่าหุ้นสหรัฐเคลื่อนตัวอยู่ใกล้ระดับที่สูงที่สุดในรอบราว 2 ปีในช่วงนี้ และมูลค่าหุ้นดังกล่าวอาจจะเผชิญกับบททดสอบในเร็ว ๆ นี้จากฤดูการรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทสหรัฐที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการในวันศุกร์ที่ 12 เม.ย. เมื่อธนาคารเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค, ซิตี้กรุ๊ป และเวลส์ ฟาร์โก แอนด์ โคเปิดเผยผลประกอบการออกมา และสายการบินเดลต้า แอร์ไลน์กับบริษัทแบล็คร็อคก็จะเปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสออกมาในเร็ว ๆ นี้ด้วย ทั้งนี้ ค่าพีอีเรโชของหุ้นในดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐอยู่ที่ 20.7 เท่าของตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรสำหรับช่วง 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งใกล้เคียงกับจุดสูงสุดในรอบกว่า 2 ปีที่ 21.2 เท่าที่เคยทำไว้ในช่วงปลายเดือนมี.ค. ในขณะที่ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 9% จากช่วงต้นปีนี้ แต่อาจจะเป็นเรื่องที่ยากมากยิ่งขึ้นที่ตลาดหุ้นสหรัฐจะยังคงทะยานขึ้นในอัตราที่แข็งแกร่งแบบนี้ได้อีกในช่วงหลังจากนี้
ถ้าหากบริษัทสหรัฐเปิดเผยผลกำไรที่ปรับขึ้นน้อยเกินคาด นักลงทุนก็อาจจะเทขายหุ้นออกมา โดยเฉพาะในช่วงที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งขึ้นในช่วงนี้ ซึ่งส่งผลให้พันธบัตรมีความน่าดึงดูดเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับหุ้น ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 2 ปีพุ่งขึ้นจาก 4.732% ในช่วงท้ายวันศุกร์ สู่ 4.789% ในช่วงท้ายวันจันทร์ และปรับขึ้นต่อไปสู่ 4.801% ในช่วงเช้าวันนี้ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 28 พ.ย. 2023 ทางด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นจาก 4.378% ในช่วงท้ายวันศุกร์ สู่ 4.424% ในช่วงท้ายวันจันทร์ หลังจากทะยานขึ้นแตะ 4.464% ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันจันทร์ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. หรือจุดสูงสุดรอบ 4 เดือน และอยู่ที่ 4.396% ในวันนี้
นักลงทุนจะจับตาดูความเห็นของบริษัทต่าง ๆ ที่มีต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและภาวะเงินเฟ้อ เพื่อใช้ในการประเมินว่า ภาวะเศรษฐกิจแบบพอเหมาะพอดีในช่วงนี้จะยังคงดำเนินต่อไปได้หรือไม่ โดยภาวะดังกล่าวคือภาวะที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจยังคงรักษาระดับความแข็งแกร่งเอาไว้ได้ แต่อัตราเงินเฟ้อของผู้บริโภคยังคงชะลอตัวลงต่อไป ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจปรับขึ้น 5% ในไตรมาสแรกเมื่อเทียบรายปี โดยปรับลดลงจากระดับ +7.2% ที่เคยคาดการณ์กันไว้ในช่วงต้นไตรมาสแรก และชะลอตัวลงจากอัตราการเติบโตที่ 10.1% ในไตรมาส 4/2023 โดยอัตรา +5% นี้จะถือว่าต่ำที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 2/2023 เป็นต้นมา ในขณะที่อัตราผลกำไรได้รับแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูง, การพุ่งขึ้นของต้นทุนสินค้าโภคภัณฑ์ และการที่ภาคเอกชนมีอำนาจน้อยลงในการกำหนดราคา ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง
นักลงทุนจะจับตาดูผลประกอบการของบริษัทขนาดยักษ์ของสหรัฐในช่วงนี้ด้วย หลังจากราคาหุ้นของบริษัทกลุ่ม "Magnificent 7" หรือบริษัทขนาดยักษ์ 7 แห่งที่ประกอบด้วย บริษัทแอปเปิล, ไมโครซอฟท์, แอลฟาเบท, อะเมซอนดอทคอม, เอ็นวิเดีย, เมตา แพลตฟอร์มส์ และเทสลา ปรับตัวในทิศทางที่แตกต่างกันในช่วงนี้ โดยหุ้นเอ็นวิเดียซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปมีราคาพุ่งขึ้นมาแล้ว 78% จากช่วงต้นปีนี้ แต่หุ้นเทสลามีราคาอยู่ที่ 172.98 ดอลลาร์ในช่วงนี้ โดยดิ่งลงมาแล้วราว 30% จาก 248.48 ดอลลาร์ในช่วงปลายปีที่แล้ว ในขณะที่เทสลายกเลิกแผนการผลิตรถยนต์ราคาถูก
นักลงทุนจะจับตาดูว่า ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของสหรัฐในช่วงนี้จะส่งผลบวกต่อรายได้และผลกำไรของบริษัทที่มักปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจหรือไม่ ซึ่งบริษัทในกลุ่มนี้รวมถึงบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มพลังงาน โดยหุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวได้ดีเป็นส่วนใหญ่ในปีนี้ ในขณะที่การพุ่งขึ้นในตลาดหุ้นสหรัฐกระจายออกไปในวงกว้าง แทนที่จะกระจุกตัวอยู่แต่ในหุ้นเติบโตและหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com ; โทร 08-7689-6043;
วอชิงตัน/ลอนดอน/สิงคโปร์--20 มี.ค.--รอยเตอร์
บิทคอยน์รูดลง 5.39% เมื่อวานนี้ และดิ่งลงอีก 3.2% สู่ 61,701 ดอลลาร์สหรัฐในวันนี้ หลังจากรูดลงแตะ 60,760 ดอลลาร์สหรัฐในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 5 มี.ค. หรือจุดต่ำสุดรอบ 2 สัปดาห์ โดยบิทคอยน์เพิ่งพุ่งขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ที่ 73,803.25 ในวันที่ 14 มี.ค. และปัจจัยดังกล่าวกระตุ้นให้มีแรงเทขายทำกำไรเข้ามาในตลาด ทางด้านอีเธอร์ดิ่งลง 6.55% จาก 3,507.89 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันจันทร์ สู่ 3,278 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร และรูดลงต่อไปสู่ 3,058.60 ดอลลาร์ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันนี้ ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 26 ก.พ. หรือจุดต่ำสุดในรอบ 3 สัปดาห์ และออกห่างจากระดับ 4,093.70 ดอลลาร์ที่ทำไว้ในวันที่ 12 มี.ค. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2021 ทั้งนี้ บิทคอยน์ยังคงพุ่งขึ้นมาแล้ว 47% จากช่วงต้นปีนี้ ในขณะที่นักลงทุนแห่เข้าซื้อกองทุนสปอตบิทคอยน์ ETF ในปีนี้ อย่างไรก็ดี บิทคอยน์ได้รับแรงกดดันในช่วงนี้จากคำสั่งเทขายทำกำไร และจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีนี้ในระดับที่น้อยกว่าที่เคยคาดการณ์กันไว้
บิทคอยน์เพิ่งดิ่งลงเกือบ 9% ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2023 ในขณะที่อีเธอร์รูดลง 13% ในสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากมีการปรับปรุงเครือข่ายอีเธอเรียม อย่างไรก็ดี ตลาดสกุลเงินคริปโตไม่ได้อยู่ในภาวะอ่อนแอในวงกว้าง ทั้งนี้ บริษัทกาแลกซี แอสเซท แมเนจเมนท์ ซึ่งเป็นบริษัทจัดการสินทรัพย์ดิจิทัลรายงานในวันจันทร์ว่า สินทรัพย์ภายใต้การบริหารของบริษัทอยู่ที่ 1.01 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงสิ้นเดือนก.พ. โดยพุ่งขึ้น 24.8% จากเดือนม.ค. โดยได้รับแรงหนุนจากการทะยานขึ้นของตลาด
เหรียญทางเลือก (altcoin) ดึงดูดเงินลงทุนไหลเข้าได้ในช่วงนี้ โดยเหรียญ sol ของเครือข่ายโซลานาพุ่งขึ้น 19% ในสัปดาห์ล่าสุด ส่วนเหรียญ avax ของเครือข่าย avalanche พุ่งขึ้น 17% ในสัปดาห์ล่าสุด ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ของตลาดบิทไฟเน็กซ์ระบุว่า "หลังจากบิทคอยน์พุ่งขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่และปรับฐานลงในเวลาต่อมา เราก็คาดว่าตลาดจะปรับหาจุดสมดุลใหม่เป็นเวลาระยะหนึ่ง ในขณะที่นักลงทุนพยายามหาจุดสมดุล หลังจากที่มีกระแสเงินลงทุนจำนวนมากไหลเข้าสู่กองทุนสปอตบิทคอยน์ ETF"
สกุลเงินที่เกี่ยวข้องกับโครงการคริปโตปัญญาประดิษฐ์ (AI) พุ่งขึ้นพร้อมกับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในช่วงนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากกระแสความนิยมของนักลงทุนที่มีต่อ AI
การดิ่งลงของบิทคอยน์เมื่อวานนี้ส่งผลให้หุ้นบริษัทต่าง ๆ ที่ทำธุรกิจสกุลเงินคริปโตดิ่งลงตามไปด้วย โดยหุ้นคอยน์เบส โกลบัล ซึ่งเป็นผู้ประกอบการตลาดคริปโตรูดลง 3.96% ในวันอังคาร, หุ้นบริษัทไรออท แพลตฟอร์มส์ที่ทำเหมืองคริปโตดิ่งลง 2.97% และหุ้นมาราธอน ดิจิทัลที่ทำเหมืองคริปโตปรับลง 0.46% ทั้งนี้ หุ้นบริษัทไมโครสเตรเทจีดิ่งลง 5.67% ในวันอังคาร หลังจากทางบริษัทประกาศว่า ทางบริษัทเสร็จสิ้นจากการเสนอขายหุ้นกู้แปลงสภาพมูลค่า 603.75 ล้านดอลลาร์ เพื่อนำเงินมาใช้ในการซื้อบิทคอยน์ นอกจากนี้ ไมโครสเตรเทจียังระบุอีกด้วยว่า ทางบริษัทได้เข้าซื้อบิทคอยน์ 9,245 บิทคอยน์ในวันจันทร์ในราคา 623 ล้านดอลลาร์--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--29 ก.พ.--รอยเตอร์
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเยนและยูโรในวันพุธ ในขณะที่นักลงทุนรอดูตัวเลขดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันพฤหัสบดีนี้ โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มักจะใช้ดัชนี PCE เป็นมาตรวัดภาวะเงินเฟ้อ โดยนักลงทุนคาดว่า ดัชนี PCE ทั่วไปในเดือนม.ค.อาจปรับขึ้น 0.3% เมื่อเทียบรายเดือน และอาจปรับขึ้น 2.4% เมื่อเทียบรายปี ส่วนดัชนี PCE พื้นฐานในเดือนม.ค.อาจปรับขึ้น 0.4% เมื่อเทียบรายเดือน และอาจปรับขึ้น 2.8% เมื่อเทียบรายปี โดยนักลงทุนจะใช้รายงาน PCE นี้ในการประเมินว่า เฟดมีแนวโน้มจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อใด นอกจากนี้ นักลงทุนก็จะรอดูตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของเยอรมนี, ฝรั่งเศส และสเปนที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพฤหัสบดี และรอดูตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันศุกร์ด้วย ทั้งนี้ นายโมฮัมหมัด อัล-ซาราฟ นักยุทธศาสตร์การลงทุนสกุลเงินของธนาคารดันสเกอกล่าวว่า "มีโอกาสที่อัตราเงินเฟ้อจะยังคงชะลอตัวลงต่อไปในยูโรโซน ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้ในเร็ว ๆ นี้ และเราก็คาดว่า ถ้าหากอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐลดลงได้ยากกว่าในยูโรโซน ปัจจัยนี้ก็จะหนุนดอลลาร์ให้อยู่ในระดับแข็งแกร่ง" Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 103.93 ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 103.84 ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 150.67 เยนในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยปรับขึ้นจากระดับปิดตลาดวันอังคารที่ 150.50 เยน หลังจากขึ้นไปแตะ 150.84 เยนในระหว่างวัน และเข้าใกล้จุดสูงสุดรอบ 3 เดือนที่ 150.88 เยนที่เคยทำไว้ในวันที่ 13 ก.พ.
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0836 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพุธ โดยอ่อนค่าลงจาก 1.0844 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร
ตลาดหุ้นสหรัฐขยับลงเล็กน้อยในวันพุธ ในขณะที่นักลงทุนรอดูตัวเลขดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ประจำเดือนม.ค.ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันพฤหัสบดีนี้ โดยนักลงทุนจะใช้ตัวเลขดังกล่าวในการประเมินว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเมื่อใด หลังจากตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI), ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) และตัวเลขเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่แข็งแกร่งในสหรัฐทำให้นักลงทุนคาดการณ์กันในตอนนี้ว่า เฟดอาจจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 11-12 มิ.ย. แทนที่จะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค.เหมือนอย่างที่เคยคาดการณ์กันไว้ในช่วงก่อนการรายงานตัวเลขเหล่านี้ ทางด้านซูซาน คอลลินส์ ประธานเฟดสาขาบอสตันกล่าวในวันพุธว่า เฟดควรจะใช้เวลาในการประเมินตัวเลขเศรษฐกิจต่าง ๆ ก่อนที่จะตัดสินใจปรับเปลี่ยนนโยบายใด ๆ เพื่อจะได้เป็นการสร้างความมั่นใจว่า เฟดจะสามารถบรรลุเป้าหมายทั้งสองประการของเฟด ซึ่งได้แก่เป้าหมายในการสร้างภาวะการจ้างงานเต็มที่และการสร้างเสถียรภาพของราคา ทั้งนี้ หุ้นบริษัทยูไนเต็ดเฮลธ์ที่ทำธุรกิจประกันสุขภาพดิ่งลง 2.95% ในวันพุธ และถือเป็นหุ้นที่ถ่วงดัชนีดาวโจนส์ลงมากที่สุด หลังจากมีข่าวออกมาในวันอังคารว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐเริ่มเปิดการสอบสวนยูไนเต็ดเฮลธ์ในคดีต่อต้านการผูกขาด ทางด้านหุ้นบริษัทแอพพลายด์ แมทีเรียลส์ ซึ่งเป็นผู้จัดหาอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์รูดลง 2.62% ในวันพุธ หลังจากทางบริษัทได้รับหมายเรียกจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) ในเดือนก.พ. เพื่อให้ทางบริษัทมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการส่งออกสินค้าให้แก่ลูกค้าบางรายในจีน Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดขยับลง 0.06% สู่ 38,949.02
ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.17% สู่ 5,069.76
ดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลง 0.55% สู่ 15,947.74
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ปรับลงในวันพุธ หลังจากเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่า เฟดจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในอนาคตอันใกล้นี้ โดยนายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์คกล่าวว่า ถึงแม้แรงกดดันเงินเฟ้อลดลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงที่ผ่านมา เขาก็ยังไม่พร้อมที่จะประกาศว่า เฟดได้ทำทุกอย่างที่จำเป็นต้องทำแล้วในการทำให้อัตราเงินเฟ้อกลับคืนสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% ทางด้านมิเชลล์ โบว์แมน หนึ่งในผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณในวันอังคารว่า เธอจะไม่รีบร้อนปรับลดอัตราดอกเบี้ยสหรัฐลง เนื่องจากมีความเสี่ยงด้านสูงต่อภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคขัดขวางความคืบหน้าในการควบคุมภาวะเงินเฟ้อ และความเสี่ยงดังกล่าวอาจจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นได้อีกด้วย ทั้งนี้ ราคาน้ำมันได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากการพุ่งขึ้นของสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐ หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานในวันพุธว่า สต็อกน้ำมันดิบในคลังสหรัฐพุ่งขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 5 ติดต่อกัน โดยพุ่งขึ้น 4.2 ล้านบาร์เรล สู่ 447.2 ล้านบาร์เรลในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 23 ก.พ. ในขณะที่นักวิเคราะห์ในโพลล์รอยเตอร์คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบอาจปรับขึ้นเพียง 2.7 ล้านบาร์เรล ทางด้านสต็อกน้ำมันเบนซินในคลังสหรัฐร่วงลงเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน โดยดิ่งลง 2.8 ล้านบาร์เรล สู่ 244.2 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมัน Distillate ในคลังสหรัฐ ซึ่งครอบคลุมน้ำมันดีเซลและน้ำมัน heating oil ปรับลดลง 510,000 บาร์เรล สู่ 121.1 ล้านบาร์เรล นอกจากนี้ EIA ยังรายงานอีกด้วยว่า อัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันในสหรัฐพุ่งขึ้น 0.9% สู่ 81.5% แต่อัตราดังกล่าวยังคงอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีสำหรับช่วงนี้ของปี โดยอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันอยู่ต่ำกว่า 83% ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ซึ่งถือว่ายาวนานที่สุดในรอบเกือบ 3 ปี Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนเม.ย.ปรับลง 33 เซนต์ หรือ 0.42% มาปิดตลาดที่ 78.54 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนเม.ย.ที่ตลาดกรุงลอนดอนขยับขึ้น 3 เซนต์ หรือ 0.04% มาปิดตลาดที่ 83.68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 4.98 ดอลลาร์ สู่ 2,034.62 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ ในขณะที่เทรดเดอร์รอดูตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่จะได้รับการรายงานออกมาในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงตัวเลขดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันพฤหัสบดี และเทรดเดอร์รอฟังถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่อาจบ่งชี้ถึงกำหนดเวลาที่เฟดจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยด้วย ทั้งนี้ นายบ็อบ ฮาเบอร์คอร์น นักยุทธศาสตร์การลงทุนตลาดของบริษัทอาร์เจโอ ฟิวเจอร์สกล่าวว่า "บรรยากาศการซื้อขายทองอยู่ในภาวะสงบเงียบในวันพุธ ก่อนที่จะมีการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจออกมาในวันพฤหัสบดี และเราก็คาดว่าราคาทองจะพุ่งขึ้นเหนือระดับ 2,050 ดอลลาร์ได้ก็ต่อเมื่อ มีการรายงานว่าอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง" Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--27 ก.พ.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินปรับลงในวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนรอดูตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวที่จะได้รับการรายงานออกมาในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะตัวเลขยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันอังคาร และดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพฤหัสบดี โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มักจะใช้ดัชนี PCE เป็นมาตรวัดภาวะเงินเฟ้อ และนักลงทุนก็จะใช้ตัวเลขเหล่านี้ในการประเมินว่า เฟดอาจจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อใด ทั้งนี้ นักลงทุนคาดการณ์ในตอนนี้ว่า แทบไม่มีโอกาสที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค. และนักลงทุนคาดว่า เฟดอาจจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 11-12 มิ.ย. หลังจากสหรัฐรายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ประจำเดือนม.ค.ที่แข็งแกร่งเกินคาดในช่วงกลางเดือนก.พ. Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 103.77 ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยอ่อนค่าลงจาก 103.95 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 150.69 เยนในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยปรับขึ้นจากระดับปิดตลาดวันศุกร์ที่ 150.50 เยน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0847 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันจันทร์ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 1.0818 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันศุกร์ โดยยูโรแข็งค่าขึ้นในช่วง 8 วันจาก 9 วันทำการที่ผ่านมา
ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลงเล็กน้อยในวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนรอดูตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะตัวเลขยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันอังคาร และดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพฤหัสบดี โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มักจะใช้ดัชนี PCE เป็นมาตรวัดภาวะเงินเฟ้อ และนักลงทุนก็รอดูตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และกิจกรรมภาคการผลิตของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในสัปดาห์นี้ด้วย เพราะตัวเลขเหล่านี้อาจจะส่งผลกระทบต่อกำหนดเวลาที่เฟดจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ ดัชนี Nasdaq ขยับลงเพียงเล็กน้อยในวันจันทร์ เพราะว่าดัชนีได้รับแรงหนุนจากหุ้นบริษัทไมครอน เทคโนโลยีที่พุ่งขึ้น 4.02% ในขณะที่ไมครอนเริ่มต้นการผลิตเซมิคอนดักเตอร์หน่วยความจำความเร็วสูงจำนวนมาก เพื่อใช้ในชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของบริษัทเอ็นวิเดีย ทางด้านดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐพุ่งขึ้น 1.05% ในวันจันทร์ อย่างไรก็ดี หุ้นแอลฟาเบทซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิลดิ่งลง 4.44% หลังจากแอลฟาเบทประกาศแผนที่จะเปิดตัวเครื่องมือ AI อีกครั้งในอีกหลายสัปดาห์ข้างหน้า หลังจากแผนดังกล่าวหยุดชะงักลงในสัปดาห์ที่แล้ว Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับลง 0.16% สู่ 39,069.23
ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.38% สู่ 5,069.53 ในวันจันทร์ โดยก่อนหน้านี้ดัชนี S&P 500 เพิ่งปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนบวกมาได้นานถึง 15 สัปดาห์ในช่วง 17 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นครั้งที่สองในรอบ 50 ปีที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ส่วนครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นในปี 1989
ดัชนี Nasdaq ปิดขยับลง 0.13% สู่ 15,976.25
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX พุ่งขึ้นในวันจันทร์ โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์น้ำมันดีเซลในยุโรป ในขณะที่อุปทานน้ำมันในยุโรปประสบปัญหาจากมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย และจากการขาดตอนของการขนส่งน้ำมันผ่านทะเลแดง นอกจากนี้ กำลังการกลั่นน้ำมันของสหรัฐก็ดิ่งลงในช่วงที่ผ่านมา และปัจจัยนี้มีส่วนทำให้อุปทานน้ำมันดีเซลตึงตัวมากยิ่งขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาด้วย และส่งผลลบต่อยอดส่งออกน้ำมันดีเซลจากสหรัฐสู่ยุโรปในเดือนนี้ โดยค่าการกลั่นน้ำมันดีเซลในสหรัฐได้พุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 4 เดือนที่ระดับสูงกว่า 48 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในเดือนนี้ ทั้งนี้ กองบัญชาการกลางของสหรัฐรายงานว่า กลุ่มฮูตีในเยเมนพยายามโจมตีเรือขนส่งน้ำมันที่ติดธงชาติสหรัฐในวันเสาร์ที่ 24 ก.พ. ทางด้านนายเจค ซุลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาวกล่าวต่อสถานี CNN ในวันอาทิตย์ว่า ผู้เจรจาต่อรองของสหรัฐ, อียิปต์, กาตาร์ และอิสราเอลได้ตกลงกันเรื่องโครงร่างของข้อตกลงเรื่องตัวประกันในการเจรจาที่กรุงปารีส แต่การเจรจาต่อรองยังคงดำเนินต่อไป Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนเม.ย.ทะยานขึ้น 1.09 ดอลลาร์ หรือ 1.43% มาปิดตลาดที่ 77.58 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนเม.ย.ที่ตลาดกรุงลอนดอนพุ่งขึ้น 91 เซนต์ หรือ 1.11% มาปิดตลาดที่ 82.53 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับลง 5.03 ดอลลาร์ สู่ 2,030.69 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนรอดูตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวที่จะได้รับการรายงานออกมาในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพฤหัสบดี โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มักจะใช้ดัชนี PCE เป็นมาตรวัดภาวะเงินเฟ้อ และนักลงทุนก็จะใช้ตัวเลขนี้ในการประเมินว่า เฟดอาจจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อใด โดยนักลงทุนคาดว่า ดัชนี PCE อาจปรับขึ้น 0.4% เมื่อเทียบรายเดือน ทั้งนี้ นายจิม วิคคอฟ นักวิเคราะห์ของบริษัทคิทโค เมทัลส์กล่าวว่า "ถ้าหากดัชนี PCE อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น สิ่งนี้ก็จะส่งผลลบต่อราคาททอง แต่ราคาทองจะยังคงรักษาระดับ 2,000 ดอลลาร์เอาไว้ได้ โดยราคาทองจะดิ่งผ่านระดับ 2,000 ดอลลาร์ลงไปได้ก็ต่อเมื่อ มีการรายานตัวเลขเศรษฐกิจในสัปดาห์นี้ที่แข็งแกร่งเกินคาดเป็นอย่างมาก" Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
โกลด์แมน แซคส์ระบุว่า การใช้ยาลดน้ำหนักตัวใหม่อย่างแพร่หลายในสหรัฐอาจหนุนจีดีพีเพิ่มขึ้น 1% ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ขณะที่ภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวกับโรคอ้วนที่ลดลงอาจจะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
นักวิเคราะห์หลายคนคาดว่า ตลาดยาลดน้ำหนักอาจมีมูลค่า 1.00 แสนล้านดอลลาร์ต่อปีภายในปลายทศวรรษนี้ โดยโนโว นอร์ดิสค์ ผู้ผลิตยา Ozempic และเอลี ลิลลี่ ผู้ผลิต Mounjaro เป็นผู้นำตลาด และหลายบริษัทกำลังพยายามคิดค้นประเภทของยาดังกล่าว หรือที่เรียกว่ายาในกลุ่ม GLP-1 และมีบริษัทมากขึ้นที่สามารถเข้าสู่ตลาดได้โดยอาศัยการทดลองทางคลินิก
โกลด์แมน แซคส์ระบุว่า การใช้ยา GLP-1 อาจจะทำให้มีผู้บริโภคยาเพิ่มขึ้น 10-70 ล้านคนภายในปี 2028 และนักเศรษฐศาสตร์ของโกลด์แมนกล่าวว่า "การใช้ยา GLP-1 จะเพิ่มจำนวนดังกล่าวขึ้นในที่สุด และนั่นจะส่งผลให้อัตราโรคอ้วนลดลง เรามองเห็นขอบเขตสำหรับผลที่มีนัยสำคัญที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจในวงกว้าง"
โกลด์แมน แซคส์คาดว่า ยาลดน้ำหนักอาจจะหนุนจีดีพีสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.4% ในฉากทัศน์ที่มีผู้ใช้ยา 30 ล้านคน และอาจเพิ่มขึ้นเป็น 1% ถ้ามีผู้ใช้ 60 ล้านคน
นวัตกรรมด้านการดูแลสุขภาพที่ออกมาเป็นระลอกในปัจจุบัน อาทิ การคิดค้นยาโดยใช้เอไอควบคู่กับยา GLP-1 อาจเพิ่มระดับของจีดีพีขึ้น 1.3% ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งเทียบเท่ากับ 3.60 แสนล้านดอลลาร์ต่อปีตามอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน โดยมีโอกาสที่เพิ่มขึ้นในกรอบ 0.6-3.2% "ผลที่เกิดขึ้นในสหรัฐอาจจะมากกว่าในประเทศอื่นๆ ขณะที่ผลลัพธ์ทางสุขภาพในประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆก็จะดีขึ้นโดยรวม"--จบ--
Eikon source text
ปักกิ่ง/ฮ่องกง--20 ก.พ.--รอยเตอร์
นักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวนมากได้เดินทางมาเที่ยวทั่วทวีปเอเชียในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ และส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนและยอดใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวจีนในไทย, สิงคโปร์ และมาเลเซียในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้พุ่งขึ้นมาอยู่สูงกว่าช่วงเทศกาลตรุษจีนปี 2019 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดวิกฤติโรคระบาด ในขณะที่นักท่องเที่ยวชาวจีนไม่ต้องใช้วีซ่าในการเดินทางมาเที่ยวไทย, มาเลเซีย และสิงคโปร์ ทั้งนี้ ยอดนักท่องเที่ยวชาวจีนที่พุ่งขึ้นนี้จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศกลุ่มนี้ เนื่องจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศกลุ่มนี้พึ่งพานักท่องเที่ยวชาวจีน โดยธนาคาร HSBC ระบุว่า "ถึงแม้จีนเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจมหภาค เราก็คาดว่าพลเมืองจีนจะยังคงเต็มใจใช้จ่ายเงินในการเดินทางท่องเที่ยว และเราคิดว่ารายจ่ายด้านการเดินทางของชาวจีนจะยังคงเติบโตเร็วกว่าปริมาณการบริโภคภายในประเทศจีน"
เว็บไซต์ Trip.com รายงานว่า ยอดการจองการเดินทางมายังไทย, สิงคโปร์ และมาเลเซียพุ่งขึ้นกว่า 30% ในวันที่ 10-17 ก.พ.ปีนี้เมื่อเทียบกับช่วงเทศกาลตรุษจีนปี 2019 และจำนวนชาวจีนที่เดินทางไปฮ่องกง, มาเก๊า, ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ก็พุ่งขึ้นด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดี เทศกาลตรุษจีนปีนี้ครอบคลุมวันหยุด 8 วัน แต่เทศกาลตรุษจีนปี 2019 ครอบคลุมวันหยุดเพียง 7 วัน ทั้งนี้ เว็บไซต์ LY.com รายงานว่า ยอดการจองโรงแรมในกรุงเทพในวันที่ 10-13 ก.พ.ปีนี้พุ่งขึ้นเป็น 3 เท่าของช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว ส่วนยอดการจองห้องโรงแรมในสิงคโปร์ทะยานขึ้นเป็น 9 เท่า ทางด้านบริษัทอาลีเพย์ รายงานว่า ยอดการใช้จ่ายในไทย, สิงคโปร์ และมาเลเซียโดยผ่านทางระบบชำระเงินเคลื่อนที่ของอาลีเพย์พุ่งขึ้น 7.5% ในวันที่ 9-12 ก.พ.ปีนี้เมื่อเทียบกับระดับในปี 2019 และทะยานขึ้นเกือบเป็น 7 เท่าจากช่วงเดียวกันในปี 2023 อย่างไรก็ดี อาลีเพย์รายงานว่า ปริมาณการใช้จ่ายของผู้บริโภคโดยรวมอยู่ที่ระดับเพียง 82% ของช่วงเทศกาลตรุษจีนเมื่อ 4 ปีก่อน
ภูมิภาคตะวันออกกลางกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากชาวจีนในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ โดย Trip.com รายงานว่า ยอดการเดินทางไปซาอุดิอาระเบียพุ่งขึ้นกว่า 9 เท่าจากระดับในปี 2019 และยอดการเดินทางไปสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ทะยานขึ้น 60%
จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางเข้ามาเก๊าพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงกว่า 1 ล้านคนในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ และอัตราการเข้าพักในโรงแรมโดยเฉลี่ยทะยานขึ้นแตะ 95% ในมาเก๊า ทั้งนี้ ธนาคารเจพี มอร์แกนคาดว่า รายได้ขั้นต้นจากการพนันรายวันในมาเก๊าในช่วงตรุษจีนอาจจะพุ่งขึ้นแตะ 124 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะถือเป็นการแตะระดับดังกล่าวได้เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี และอยู่สูงกว่ารายได้รายวันที่ 112 ล้านดอลลาร์ที่เคยทำไว้ในช่วงวันหยุดยาวช่วงวันชาติจีนในเดือนต.ค. 2023
นายจอห์น ลี ผู้บริหารเขตปกครองพิเศษฮ่องกงกล่าวในวันนี้ว่า มีนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวนกว่า 1.2 ล้านคนเดินทางเยือนฮ่องกงในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ และอัตราการเข้าพักโรงแรมพุ่งขึ้นแตะ 90% ในช่วงแรกของเทศกาล โดยมีจำนวนกรุ๊ปทัวร์จากจีนเดินทางมาเยือนฮ่องกงเป็นจำนวนราว 1,980 กลุ่มในช่วงตรุษจีนปีนี้ด้วย ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมของเกาหลีใต้รายงานว่า มีนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวนกว่า 114,000 คนเดินทางเยือนเกาหลีใต้ในช่วงตรุษจีน โดยพุ่งขึ้น 4% จากปี 2019 แต่บริษัทตัวแทนท่องเที่ยวบางแห่งตั้งข้อสังเกตว่า นักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวนมากยิ่งขึ้นเลือกที่จะเดินทางด้วยตนเอง แทนที่จะเดินทางแบบกรุ๊ปทัวร์ และส่งผลให้จำนวนกรุ๊ปทัวร์ที่เดินทางไปช้อปปิ้งตามห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ปรับลดลง--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน