ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
เพื่อเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็วและติดตามตลาดโฟกัสใน 15 นาที
ในโลกของมนุษยชาติ จะไม่มีคำกล่าวใด ๆ ที่ไม่มีจุดยืนใด ๆ หรือคำพูดใด ๆ ที่ไม่มีจุดประสงค์ใด ๆ
อัตราเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน และเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจเชิงนโยบายของธนาคารกลาง ทัศนคติและคำพูดของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยังมีอิทธิพลต่อการกระทำของเทรดเดอร์ในตลาดอีกด้วย
เงินทำให้โลกหมุนไป และสกุลเงินเป็นสินค้าถาวร ตลาดฟอเร็กซ์เต็มไปด้วยความประหลาดใจและความคาดหวัง
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
เพลิดเพลินกับกิจกรรมที่น่าตื่นเต้น ที่นี่ที่ FastBull
ข่าวด่วนล่าสุดและเหตุการณ์ทางการเงินทั่วโลก
ฉันมีประสบการณ์ 5 ปีในการวิเคราะห์ทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนามหภาคและการตัดสินแนวโน้มระยะกลางและระยะยาว ความสนใจของฉันอยู่ที่การพัฒนาของตะวันออกกลาง ตลาดเกิดใหม่ ถ่านหิน ข้าวสาลี และสินค้าเกษตรอื่นๆ
7 ปีของตลาดหุ้น การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โลหะมีค่า และประสบการณ์การซื้อขายและการวิเคราะห์อื่น ๆ โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐาน การสนับสนุนทางเทคนิค มีอคติต่อตรรกะธุรกรรมจากบนลงล่าง โดยเน้นที่วัฏจักรมหภาคและการควบคุมความเสี่ยง การคาดการณ์เชิงทฤษฎีอุปสงค์และอุปทานอเนกประสงค์ การเปลี่ยนแปลงของราคา สร้างสมดุลระหว่างผลกระทบของธุรกรรม การกระจายชิปและอารมณ์ตลาด และคงที่
อัปเดตล่าสุด
สร้างทัศนคติการลงทุนที่ดี
วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ปรัชญาการลงทุนของเขาประกอบด้วยการสร้างกรอบความคิดระยะยาว ขจัดญาณรบกวนของตลาด ไม่เก็งกำไร และเน้นย้ำว่าการลงทุนต้องมีมีจิตใจที่มั่นคงและเป้าหมายที่ชัดเจน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง
แม้ว่าระบบกฎหมายและกรอบการกำกับดูแลในฮ่องกงจะค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ตลาดหุ้นยังคงเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายพิเศษหลายประการ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่าง HKD และ USD นักลงทุนต่างชาติอาจเผชิญกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความผันผวนของนโยบายและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นฮ่องกงด้วย
โครงสร้างต้นทุนและภาษีเมื่อลงทุนในหุ้นฮ่องกง
ต้นทุนการซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมหุ้น ค่าอากรแสตมป์ ค่าธรรมเนียมการชำระบัญชี ฯลฯ สำหรับนักลงทุนต่างชาติอาจมีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินเพิ่มเติมเป็นดอลลาร์ฮ่องกงและภาษีอื่น ๆ ตามข้อบังคับท้องถิ่น
การวิเคราะห์อุตสาหกรรมฮ่องกง:อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็น
อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็นของฮ่องกง ได้แก่ รถยนต์ การศึกษา การท่องเที่ยว การจัดเลี้ยง เครื่องแต่งกาย และภาคส่วนอื่นๆ อีกมากมาย จากบริษัทจดทะเบียน 643 แห่งนั้น 35% เป็นบริษัทในจีนแผ่นดินใหญ่และคิดเป็น 65% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด ดังนั้นอุตสาหกรรมนี้จึงได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากเศรษฐกิจจีน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด
ไม่มีข้อมูล
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม
สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
นิวยอร์ค--17 มิ.ย.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า อัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงในสหรัฐกำลังส่งผลลบต่อหุ้นกลุ่มค้าปลีกของสหรัฐ ในขณะที่บริษัทหลายแห่งในกลุ่มค้าปลีกได้รับแรงกดดันจากนโยบายการเงินแบบเข้มงวดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา แต่หุ้นบางตัวในกลุ่มค้าปลีกก็พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งเช่นกันในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มการจัดจำหน่ายและการค้าปลีกของสหรัฐพุ่งขึ้นมาแล้วเกือบ 14% จากช่วงต้นปีนี้ ซึ่งใกล้เคียงกับอัตราการทะยานขึ้นของดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐ อย่างไรก็ดี การพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มนี้กระจุกตัวอยู่ในหุ้นเพียงไม่กี่ตัว ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทอะเมซอนดอทคอมที่ทะยานขึ้นมาแล้วเกือบ 21% จากช่วงต้นปีนี้
หุ้นกลุ่มค้าปลีกที่เน้นให้บริการลูกค้ารายได้ต่ำได้รับแรงกดดันในช่วงที่ผ่านมา เพราะว่าผู้บริโภครายได้ต่ำเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากเป็นพิเศษจากอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูง โดยบริษัทในกลุ่มนี้รวมถึงบริษัทดอลลาร์ ทรีที่มีราคาหุ้นดิ่งลงมาแล้วเกือบ 27% จากช่วงต้นปีนี้ และบริษัทดอลลาร์ เจเนเอรัลที่มีราคาหุ้นร่วงลงมาแล้วเกือบ 9% จากช่วงต้นปีนี้ นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นก็ได้รับแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ นายเกร็ก ฮอลเทอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของบริษัทคาร์เนกี อินเวสท์เมนท์ เคาน์เซลกล่าวว่า "ผู้บริโภครายได้ปานกลางและรายได้ต่ำได้รับแรงกดดันจากราคาของชำและราคาก๊าซ และผู้บริโภคกลุ่มนี้ก็ประสบความยากลำบากถึงแม้เศรษฐกิจสหรัฐอยู่ในภาวะที่ดี"
นักลงทุนรอดูตัวเลขยอดค้าปลีกประจำเดือนพ.ค.ของสหรัฐที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันอังคารนี้ ซึ่งถ้าหากสหรัฐรายงานตัวเลขยอดค้าปลีกที่อ่อนแอเกินคาด ตัวเลขดังกล่าวก็อาจจะช่วยกระตุ้นการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเร็ว ๆ นี้ หลังจากสหรัฐเพิ่งรายงานในสัปดาห์ที่แล้วว่า อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำเกินคาด ทั้งนี้ นักลงทุนคาดว่า เฟดอาจจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. ถึงแม้เฟดได้เปิดเผยรายงานคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจรายไตรมาสในวันพุธที่ 12 มิ.ย. และรายงานดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่เฟดคาดว่าเฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพียง 1 ครั้งในปีนี้ โดยการคาดการณ์ครั้งใหม่นี้แสดงให้เห็นว่า มีความเป็นไปได้ที่เฟดอาจจะเลื่อนเวลาในการเริ่มต้นวัฏจักรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยออกไปจนถึงเดือนธ.ค.ปีนี้
นักลงทุนมุ่งความสนใจไปยังบริษัทค้าปลีกที่เน้นให้บริการลูกค้าที่ไม่ได้รับความเสียหายจากอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูง และบริษัทค้าปลีกที่สามารถขายสินค้าแบรนด์เนมในราคาถูก ซึ่งรวมถึงเสื้อผ้าและของชำ โดยบริษัทในกลุ่มนี้รวมถึงโคสต์โค โฮลเซล ทั้งนี้ บริษัทคาร์เนกี อินเวสท์เมนท์ เคาน์เซลได้เข้าซื้อหุ้นบริษัทวอลมาร์ท, โคสต์โค และทีเจเอ็กซ์ คอมปานีส์ในช่วงที่ผ่านมา ในขณะที่หุ้นวอลมาร์ทพุ่งขึ้นมาแล้ว 28% จากช่วงต้นปีนี้, หุ้นโคสต์โคทะยานขึ้นมาแล้ว 29% และหุ้นทีเจเอ็กซ์พุ่งขึ้นมาแล้ว 16%
นายโรเบิร์ต พาฟลิค ผู้จัดการพอร์ตลงทุนของบริษัทดาโกตา เวลธ์ แมเนจเมนท์กล่าวว่า เขาถือหุ้นในบริษัทโคสต์โคและทีเจเอ็กซ์ เพราะว่าบริษัทเหล่านี้มีการบริหารที่แข็งแกร่งและมีการควบคุมสต็อกสินค้าคงคลัง และเขากล่าวเสริมว่า "ผมคาดว่าภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐจะยังคงดำเนินต่อไปแต่จะชะลอตัวลง และผู้บริโภคจะยังคงพยายามใช้เงินในแบบที่คุ้มค่ามากที่สุด"--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--13 มิ.ย.--รอยเตอร์
มีสัญญาณบ่งชี้ออกมาในวันพุธว่า อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอาจจะชะลอตัวลง และปัจจัยดังกล่าวช่วยกระตุ้นความคาดหวังเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และปัจจัยเหล่านี้ก็อาจจะส่งผลบวกต่อหุ้นในวงกว้างในตลาดหุ้นสหรัฐ หลังจากหุ้นเหล่านี้เคยปรับตัวอย่างเฉื่อยชาในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันพุธว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทั่วไปทรงตัวในเดือนพ.ค.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่ +0.1% และชะลอตัวลงจาก +0.3% ในเดือนเม.ย. ส่วนดัชนี CPI ทั่วไปแบบเทียบรายปีปรับขึ้น 3.3% ในเดือนพ.ค. หลังจากปรับขึ้น 3.4% ในเดือนเม.ย. ทางด้านดัชนี CPI พื้นฐานที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงานปรับขึ้น 0.2% ในเดือนพ.ค.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ +0.3% และชะลอตัวลงจาก +0.3% ในเดือนเม.ย. ในขณะที่ดัชนี CPI พื้นฐานแบบเทียบรายปีปรับขึ้น 3.4% ในเดือนพ.ค. ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2021 หรือต่ำที่สุดในรอบ 3 ปี หลังจากปรับขึ้น 3.6% ในเดือนเม.ย.เมื่อเทียบรายปี
ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่ระดับต่ำมีส่วนช่วยหนุนดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐให้ปิดตลาดวันพุธบวกขึ้น 0.85% สู่ 5,421.03 ซึ่งถือเป็นการทำสถิติระดับปิดสูงสุดใหม่เป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน ในขณะที่นักลงทุนบางรายคาดว่า อัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงและการผ่อนคลายนโยบายการเงินของเฟดในอนาคต อาจจะช่วยหนุนหุ้นบางกลุ่มที่เคยได้รับความเสียหายในช่วงที่ผ่านมาจากอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูง ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทขนาดเล็กและหุ้นกลุ่มการเงิน โดยปัจจัยนี้จะช่วยลดความกังวลของนักลงทุนที่ว่า การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐในช่วงที่ผ่านมากระจุกตัวอยู่ในหุ้นบริษัทขนาดยักษ์เพียงไม่กี่แห่งในกลุ่มเทคโนโลยี ทั้งนี้ ถึงแม้ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นมาแล้วราว 14% จากช่วงต้นปีนี้ ราว 60% ของการพุ่งขึ้นดังกล่าวก็มาจากบริษัทขนาดยักษ์เพียง 6 แห่ง ซึ่งได้แก่บริษัทเอ็นวิเดีย, ไมโครซอฟท์, แอปเปิล, เมตา แพลตฟอร์มส์, แอลฟาเบท และอะเมซอนดอทคอม
นายแองเจโล คูร์ฟาคาส นักยุทธศาสตร์การลงทุนของบริษัทเอ็ดเวิร์ด โจนส์ระบุว่า ถ้าหากรายงานดัชนี CPI ที่ออกมาในวันพุธถือเป็นจุดเริ่มต้นของการชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องของอัตราเงินเฟ้อ "ปัจจัยนี้ก็จะส่งผลให้เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับลดลงทั้งเส้น ซึ่งจะส่งผลบวกต่อหุ้นบางกลุ่มที่เคยได้รับแรงกดดันจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์)" ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทขนาดเล็ก, หุ้นกลุ่มการเงิน และหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ถึงแม้ดัชนีตลาดหุ้นได้รับแรงหนุนหลักจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นเติบโตในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มที่มักได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยก็มักจะพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งเมื่อใดก็ตามที่นักลงทุนคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางจะผ่อนคลายนโยบายการเงินลง โดยเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2023 ด้วย โดยในช่วงนั้นดัชนี Russell 2000 สำหรับหุ้นบริษัทขนาดเล็กของสหรัฐพุ่งขึ้น 13.6% ในไตรมาส 4/2023 แต่ดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นเพียง 11.2% ในไตรมาสเดียวกัน ในขณะที่นักลงทุนคาดการณ์ในตอนนั้นว่า วัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดได้สิ้นสุดลงแล้ว
นายลุค ทิลลี หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของบริษัทวิลมิงตัน ทรัสต์กล่าวว่า "เฟดไม่จำเป็นจะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนก.ค. เฟดเพียงแค่จำเป็นจะต้องส่งสัญญาณว่า เฟดจะเริ่มต้นวัฏจักรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต โดยการทำเพียงแค่นั้นก็จะช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นปรับขึ้นในวงกว้างกว่าเดิม" ทั้งนี้ มีสัญญาณบ่งชี้ในวันพุธว่า ตลาดหุ้นกำลังปรับขึ้นในวงกว้าง โดยดัชนี Russell 2000 ทะยานขึ้น 1.62% ในวันพุธ ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่าดัชนี S&P 500 อย่างไรก็ดี ดัชนี Russell 2000 บวกขึ้นเพียง 1.48% จากช่วงต้นปีนี้
หุ้นกลุ่มที่พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในสหรัฐในวันพุธรวมถึงหุ้นกลุ่มธนาคาร, หุ้นกลุ่มการขนส่ง และหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ถึงแม้หุ้นเหล่านี้เคยปรับตัวอย่างอ่อนแอในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันพุธด้วยเช่นกัน โดยได้รับแรงหนุนจากการทะยานขึ้นของหุ้นบริษัทแอปเปิลและบริษัทเอ็นวิเดีย โดยหุ้นบริษัทแอปเปิลปิดทะยานขึ้น 2.9% ในวันพุธ หลังจากทะยานขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ได้ในระหว่างวัน ส่วนหุ้นบริษัทเอ็นวิเดียพุ่งขึ้น 3.55% ในวันพุธ ทั้งนี้ มีแนวโน้มว่านักลงทุนจะยังคงใช้ความระมัดระวังในการหันไปลงทุนในหุ้นกลุ่มอื่น ๆ แทนที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เพราะว่าดัชนี Nasdaq 100 ที่ครอบคลุมหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่าดัชนี Russell 2000 ราว 24% ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--29 พ.ค.--รอยเตอร์
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นในวันอังคารหลังจากร่วงลงในช่วงแรก ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นจาก 4.473% ในช่วงท้ายวันศุกร์ สู่ 4.548% ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันอังคาร ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดรอบ 4 สัปดาห์ หลังจากกระทรวงการคลังสหรัฐเปิดประมูลขายพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 2 ปีและ 5 ปี และพบกับอุปสงค์ที่อ่อนแอ ทั้งนี้ สำนักงาน Conference Board ของสหรัฐรายงานในวันอังคารว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้นจาก 97.5 ในเดือนเม.ย. สู่ 102.0 ในเดือนพ.ค. หลังจากดิ่งลงมานาน 3 เดือนติดต่อกัน ในขณะที่การคาดการณ์เงินเฟ้อระยะ 12 เดือนข้างหน้าของผู้บริโภคสหรัฐปรับขึ้นจาก 5.3% ในเดือนเม.ย. สู่ 5.4% ในเดือนพ.ค. และครัวเรือนหลายแห่งคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้นในช่วงหนึ่งปีข้างหน้า โดยความกังวลที่ว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังคงอยู่สูงกว่าระดับเป้าหมายของเฟดที่ 2% ต่อไปเป็นเวลานานถือเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนดอลลาร์สหรัฐ Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 104.66 ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร โดยแข็งค่าขึ้นจาก 104.56 ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ หลังจากร่วงลงแตะจุดต่ำสุดของวันที่ 104.33 ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 16 พ.ค. หรือจุดต่ำสุดในรอบกว่า 1 สัปดาห์
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 157.16 เยนในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร โดยแข็งค่าขึ้นจากระดับปิดตลาดวันจันทร์ที่ 156.86 เยน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0855 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร ซึ่งใกล้เคียงกับระดับ 1.0858 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันจันทร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันอังคาร โดยได้รับแรงกดดันจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ หลังจากกระทรวงการคลังสหรัฐเปิดประมูลขายพันธบัตรรัฐบาล และพบกับอุปสงค์ที่อ่อนแอ แต่ดัชนี S&P 500 ปิดขยับขึ้นเล็กน้อย และดัชนี Nasdaq ปิดบวกขึ้นในวันอังคาร และสามารถทะยานขึ้นเหนือระดับ 17,000 ได้เป็นครั้งแรก โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นบริษัทเอ็นวิเดียที่พุ่งขึ้น 7% โดยการพุ่งขึ้นของหุ้นเอ็นวิเดียมีส่วนช่วยหนุนให้หุ้นตัวอื่น ๆ ในกลุ่มผู้ผลิตชิปทะยานขึ้นด้วย และปัจจัยนี้ส่งผลให้ดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐปิดพุ่งขึ้น 1.9% ในวันอังคาร ทางด้านดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐถือเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มใหญ่ที่ทะยานขึ้นมากที่สุดในวันอังคาร ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มใหญ่ที่ดิ่งลงมากที่สุดในวันอังคารคือดัชนีหุ้นกลุ่มการแพทย์และดัชนีหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม ทั้งนี้ หุ้นแอปเปิลขยับขึ้นเล็กน้อยในวันอังคาร ในขณะที่มีรายงานระบุว่ายอดขายโทรศัพท์ไอโฟนของแอปเปิลในจีนพุ่งขึ้น 52% ในเดือนเม.ย.เมื่อเทียบรายปี ทางด้านนักลงทุนรอดูผลประกอบการของบริษัทค้าปลีกหลายแห่งในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงบริษัทดอลลาร์ เจเนอรัล, แอดวานซ์ ออโต พาร์ทส์ และเบสท์ บาย Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.55% สู่ 38,852.86
ดัชนี S&P 500 ปิดขยับขึ้น 0.02% สู่ 5,306.04
ดัชนี Nasdaq ปิดบวกขึ้น 0.59% สู่ 17,019.88
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX พุ่งขึ้นในวันอังคาร โดยได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร (โอเปกพลัส) จะประกาศต่ออายุมาตรการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจในอัตรา 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวันออกไปอีกอย่างน้อย 3 เดือนในการประชุมออนไลน์ในวันอาทิตย์ที่ 2 มิ.ย. นอกจากนี้ ราคาน้ำมันก็ได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากการเริ่มต้นของช่วงฤดูร้อนของสหรัฐ ซึ่งเป็นฤดูที่มีการใช้ยวดยานพาหนะสูง และได้รับแรงหนุนจากการที่ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินดิ่งลงแตะจุดต่ำสุดในรอบกว่า 1 สัปดาห์ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันอังคารด้วย ทั้งนี้ ราคาน้ำมันได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากตัวเลขการเดินทางทางอากาศด้วย ในขณะที่บริษัท OAG รายงานว่า จำนวนที่นั่งในเที่่ยวบินภายในประเทศในสหรัฐพุ่งขึ้น 5% ในเดือนพ.ค.เมื่อเทียบรายเดือน และทะยานขึ้นเกือบ 6% ในเดือนพ.ค.เมื่อเทียบรายปี โดยพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงกว่า 90 ล้านที่นั่งเล็กน้อย Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนก.ค.ทะยานขึ้น 2.11 ดอลลาร์ หรือ 2.7% มาปิดตลาดที่ 79.83 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนพุ่งขึ้น 1.12 ดอลลาร์ หรือ 1.4% มาปิดตลาดที่ 84.22 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 10.21 ดอลลาร์ สู่ 2,360.95 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร โดยได้รับแรงหนุนจากการที่ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินดิ่งลงแตะจุดต่ำสุดในรอบกว่า 1 สัปดาห์ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันอังคาร ในขณะที่นักลงทุนรอดูตัวเลขดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันศุกร์นี้ เพื่อใช้ในการประเมินแนวโน้มในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยในตอนนี้เทรดเดอร์คาดว่า มีโอกาสราว 63% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงก่อนสิ้นเดือนพ.ย. ทั้งนี้ สภาทองคำโลก (WGC) รายงานว่า กองทุน ETF ทองทั่วโลกปรับลดการถือครองทองลงสุทธิ 11.3 ตันในสัปดาห์ที่แล้ว Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--10 พ.ค.--รอยเตอร์
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินส่วนใหญ่ในวันพฤหัสบดี หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสหรัฐพุ่งขึ้น 22,000 ราย สู่ 231,000 รายในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 4 พ.ค. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนส.ค. 2023 หรือจุดสูงสุดในรอบกว่า 8 เดือน และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 215,000 ราย โดยรายงานนี้ถือเป็นหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า ตลาดแรงงานสหรัฐอ่อนแอลง หลังจากสหรัฐเพิ่งรายงานในสัปดาห์ที่แล้วว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตรในสหรัฐเพิ่มขึ้น 175,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน และยอดการเปิดรับสมัครงานในสหรัฐดิ่งลง 325,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. โดยดิ่งลงจาก 8.813 ล้านตำแหน่งในเดือนก.พ. สู่ 8.488 ล้านตำแหน่งในวันสุดท้ายของเดือนมี.ค. ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2021 หรือจุดต่ำสุดรอบ 3 ปี ทั้งนี้ นักลงทุนมองว่าความอ่อนแอของตลาดแรงงานถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า ผู้บริโภคจะชะลอการจับจ่ายใช้สอย และปัจจัยนี้จะช่วยทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง โดยในตอนนี้นักลงทุนกำลังรอดูตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญอีก 3 ตัวของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในสัปดาห์หน้า ซึ่งได้แก่ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI), ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และยอดค้าปลีก Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 105.22 ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี โดยอ่อนค่าลงจาก 105.51 ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 155.46 เยนในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี ซึ่งใกล้เคียงกับระดับปิดตลาดวันพุธที่ 155.48 เยน โดยก่อนหน้านี้ดอลลาร์เคยพุ่งขึ้นแตะ 160.245 เยนในวันที่ 29 เม.ย. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1990 หรือจุดสูงสุดรอบ 34 ปี ก่อนจะดิ่งลงแตะ 151.86 เยนในวันที่ 3 พ.ค. ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย. โดยการดิ่งลงอย่างรุนแรงของดอลลาร์/เยนในสัปดาห์ที่แล้วอาจเกิดจากการแทรกแซงตลาด
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0781 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี โดยแข็งค่าขึ้นจาก 1.0745 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพุธ
ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นในวันพฤหัสบดี หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสหรัฐพุ่งขึ้น 22,000 ราย สู่ 231,000 รายในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 4 พ.ค. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนส.ค. 2023 หรือจุดสูงสุดในรอบกว่า 8 เดือน และรายงานตัวเลขนี้ช่วยกระตุ้นการคาดการณ์เรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) นอกจากนี้ ตลาดหุ้นก็ได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากการดิ่งลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐด้วย ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีร่วงลงจาก 4.492% ในช่วงท้ายวันพุธ สู่ 4.449% ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี และออกห่างจากระดับราว 4.7% เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน หลังจากกระทรวงการคลังสหรัฐและเฟดประกาศแผนการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ โดยการดิ่งลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) ส่งผลดีต่อหุ้นบริษัทขนาดยักษ์ในกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทแอปเปิล, อะเมซอนดอทคอม และเมตา แพลตฟอร์มส์ที่ปรับขึ้น 0.6-1% ทั้งนี้ หุ้น 10 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดวันพฤหัสบดีในแดนบวก โดยดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์พุ่งขึ้น 2.3% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด ในขณะที่หุ้นบริษัทเอควินิกซ์ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ประกอบการศูนย์ข้อมูลทะยานขึ้น 11.5% หลังจากเอควินิกซ์เปิดเผยผลประกอบการไตรมาสแรก อย่างไรก็ดี หุ้นบริษัทเอ็นวิเดียดิ่งลง 1.8% และหุ้นอาร์ม โฮลดิงส์ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ออกแบบชิปรูดลง 2.3% หลังจากอาร์มคาดการณ์รายได้ตลอดทั้งปีในระดับที่ต่ำเกินคาด Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับขึ้น 0.85% สู่ 39,387.76 ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดในแดนบวกเป็นวันที่ 7 ติดต่อกัน และระดับปิดวันพฤหัสบดีถือเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. อย่างไรก็ดี ดัชนีดาวโจนส์ยังคงดิ่งลงมาแล้ว 1.1% จากช่วงต้นไตรมาสสอง
ดัชนี S&P 500 ปิดบวกขึ้น 0.51% สู่ 5,214.08 ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดเหนือระดับ 5,200 ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย. อย่างไรก็ดี ดัชนียังคงร่วงลง 0.8% จากช่วงต้นไตรมาสสอง
ดัชนี Nasdaq ปิดปรับขึ้น 0.27% สู่ 16,346.27 อย่างไรก็ดี ดัชนียังคงปรับลง 0.2% จากช่วงต้นไตรมาสสอง
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ปรับขึ้นในวันพฤหัสบดี โดยได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจในจีนและสหรัฐที่บ่งชี้ว่า อุปสงค์น้ำมันในสองประเทศนี้อาจพุ่งสูงขึ้น โดยสำนักงานศุลกากรกลางของจีนรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบในจีนอยู่ที่ 44.72 ล้านตันในเดือนเม.ย. หรือราว 10.88 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยปริมาณดังกล่าวพุ่งขึ้น 5.45% จากระดับ 10.4 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนเม.ย. 2023 ในขณะที่โรงกลั่นน้ำมันนำเข้าน้ำมันดิบมากขึ้นเพื่อเตรียมรับมือกับการใช้รถใช้ถนนจำนวนมากในช่วงวันหยุดยาวเนื่องในวันแรงงานของจีน และศุลกากรจีนยังรายงานอีกด้วยว่า ยอดส่งออกจากจีนพุ่งขึ้น 1.5% ในเดือนเม.ย.เมื่อเทียบรายปี หลังจากยอดส่งออกดิ่งลง 7.5% ในเดือนมี.ค. โดยการพุ่งขึ้นของยอดส่งออกในครั้งนี้บ่งชี้ว่า อุปสงค์จากต่างประเทศอาจเพิ่มสูงขึ้น ทางด้านยอดนำเข้าของจีนทะยานขึ้น 8.4% ในเดือนเม.ย. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ +4.8% ในขณะที่ยอดเกินดุลการค้าของจีนพุ่งขึ้นสู่ 7.235 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนเม.ย. จาก 5.855 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนมี.ค. ทั้งนี้ ราคาน้ำมันปรับขึ้นได้ไม่มากนัก หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานในวันพุธว่า อุปสงค์ในน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลของสหรัฐอยู่ในระดับต่ำ โดยค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของอุปสงค์น้ำมันเบนซินอยู่ที่ 8.63 ล้านบาร์เรลต่อวันในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 3 พ.ค. ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดสำหรับช่วงเดียวกันนี้ของปีนับตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา ส่วนค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของอุปสงค์น้ำมัน distillate ซึ่งครอบคลุมน้ำมันดีเซลและน้ำมัน heating oil อยู่ที่ 3.60 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดสำหรับช่วงเดียวกันนี้ของปีนับตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมาเช่นกัน Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนมิ.ย.ปรับขึ้น 27 เซนต์ หรือ 0.3% มาปิดตลาดที่ 79.26 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งถือเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 30 เม.ย.
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนปรับขึ้น 30 เซนต์ หรือ 0.4% มาปิดตลาดที่ 83.88 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งถือเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 30 เม.ย.
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐพุ่งขึ้น 37.23 ดอลลาร์ หรือ 1.61% สู่ 2,345.88 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสหรัฐพุ่งขึ้น 22,000 ราย สู่ 231,000 รายในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 4 พ.ค. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนส.ค. 2023 หรือจุดสูงสุดในรอบกว่า 8 เดือน และรายงานนี้ช่วยสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีนี้ ทั้งนี้ เทรดเดอร์คาดว่า มีโอกาสราว 67% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--2 พ.ค.--รอยเตอร์
เยนพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในช่วงเย็นวันพุธ ในขณะที่นักลงทุนตั้งข้อสงสัยว่า ทางการญี่ปุ่นอาจจะเข้ามาแทรกแซงตลาดเพื่อช่วยหนุนค่าเงินเยน โดยดอลลาร์/เยนได้ดิ่งลงแตะ 153.16 เยนในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 15 เม.ย. จากระดับราว 157.55 เยนในช่วงก่อนหน้านั้น และเหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้นหลังจากตลาดหุ้นสหรัฐปิดทำการ และหลังจากนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เสร็จสิ้นจากการจัดงานแถลงข่าว ดังนั้นนักลงทุนบางรายจึงคาดว่าเหตุการณ์นี้อาจเกิดจากการแทรกแซงตลาด โดยเฉพาะหลังจากที่ดอลลาร์/เยนเคยดิ่งลงแตะ 154 เยนในวันจันทร์ หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 160.245 เยนในช่วงแรกของวันจันทร์ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1990 หรือจุดสูงสุดรอบ 34 ปี ทั้งนี้ ข้อมูลจากธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) แสดงให้เห็นว่า บีโอเจอาจใช้เงินราว 5.5 ล้านล้านเยน (3.506 หมื่นล้านดอลลาร์) ในการเข้าช่วยหนุนค่าเงินเยนในวันจันทร์ โดยเป็นการดำเนินการในฐานะตัวแทนของกระทรวงการคลังญี่ปุ่น Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 105.71 ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยร่วงลงจาก 106.31 ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 106.49 ในช่วงแรก ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 16 เม.ย. โดยถ้าหากดัชนีดอลลาร์สามารถทะยานขึ้นเหนือ 106.51 ดัชนีดอลลาร์ก็จะสามารถพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ย. 2023
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 154.97 เยนในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยดิ่งลงจากระดับปิดตลาดวันอังคารที่ 157.80 เยน หลังจากพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ 158.01 เยนในช่วงแรกของวันพุธ
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0709 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพุธ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 1.0665 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร
ดัชนีดาวโจนส์ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกขึ้นในวันพุธ แต่ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ปิดปรับลงในวันพุธ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.25-5.50% ตามเดิมในการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 30 เม.ย.-1 พ.ค.ตามความคาดหมาย และส่งสัญญาณบ่งชี้ว่า ความเคลื่อนไหวครั้งถัดไปของเฟดน่าจะเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่ยังไม่มีการรับประกันว่าจะมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องในการควบคุมภาวะเงินเฟ้อ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่เฟดก็ได้ย้ำถึงความกังวลที่ว่า ในช่วงต้นปีนี้พวกเขาแทบไม่มีความเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้นว่าอัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวลง ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มพลังงานถือเป็นกลุ่มที่ดิ่งลงมากที่สุดในวันพุธ ในขณะที่หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด ทางด้านดัชนีฟิลาเดลเฟียสำหรับหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐรูดลง 3.5% ในวันพุธ ในขณะที่หุ้นบริษัทแอดวานซ์ ไมโคร ดีไวเซส (AMD) ดิ่งลง 9.0% หลังจาก AMD คาดการณ์ยอดขายชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในระดับที่น่าผิดหวัง และหุ้นบริษัทซูเปอร์ ไมโคร คอมพิวเตอร์รูดลง 14.0% หลังจากทางบริษัทเปิดเผยรายได้รายไตรมาสที่ต่ำเกินคาด อย่างไรก็ดี หุ้นบริษัทอเมซอนดอทคอมพุ่งขึ้น 2.2% ในวันพุธ โดยได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการรายไตรมาสที่ดีเกินคาด ในขณะที่กระแสความสนใจใน AI ช่วยหนุนธุรกิจการประมวลผลระบบคลาวด์ของอะเมซอน Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.23% สู่ 37,903.29
ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.34% สู่ 5,018.39
ดัชนี Nasdaq ปิดปรับลง 0.33% สู่ 15,605.48.
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ดิ่งลงอย่างรุนแรงในวันพุธ โดยได้รับแรงกดดันจากปัจจัยหลายประการ ซึ่งรวมถึงการที่นักลงทุนปรับลดความหวังที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในอนาคตอันใกล้นี้ และจากการคาดการณ์ที่ว่า อาจจะมีการบรรลุข้อตกลงเรื่องการหยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส หลังจากสหรัฐกับอียิปต์พยายามผลักดันให้มีการบรรลุข้อตกลงกัน อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอลประกาศว่าจะยังคงเดินหน้าแผนการโจมตีเมืองราฟาห์ในภาคใต้ของกาซาต่อไป นอกจากนี้ ราคาน้ำมันก็ได้รับแรงกดดันจากตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบในคลังสหรัฐที่พุ่งขึ้นอย่างพลิกความคาดหมายด้วย ทั้งนี้ สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานในวันพุธว่า สต็อกน้ำมันดิบในคลังสหรัฐพุ่งขึ้น 7.3 ล้านบาร์เรล สู่ 460.9 ล้านบาร์เรลในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 26 เม.ย. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2023 และสวนทางกับโพลล์รอยเตอร์ที่คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบอาจดิ่งลง 1.1 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินในคลังสหรัฐเพิ่มขึ้น 300,000 บาร์เรล สู่ 227.1 ล้านบาร์เรล ทางด้านสต็อกน้ำมัน Distillate ในคลังสหรัฐ ซึ่งครอบคลุมน้ำมันดีเซลและน้ำมัน heating oil ร่วงลง 700,000 บาร์เรล สู่ 115.9 ล้านบาร์เรล Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนมิ.ย.ดิ่งลง 2.93 ดอลลาร์ หรือ 3.6% มาปิดตลาดที่ 79.00 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนรูดลง 2.89 ดอลลาร์ หรือ 3.4% มาปิดตลาดที่ 83.44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันพุธ แต่ราคาสัญญาเดือนก.ค.ดิ่งลงราว 5.0% จากระดับปิดของราคาสัญญาเดือนมิ.ย.ในช่วงปิดตลาดวันอังคาร ซึ่งถือเป็นวันสุดท้ายที่สัญญาเดือนมิ.ย.ถือเป็นสัญญาเดือนใกล้ ดังนั้นจึงเท่ากับว่าราคาสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์เดือนใกล้ดิ่งลงในวันพุธในอัตราที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2023 เป็นต้นมา ทั้งนี้ ทั้งราคาน้ำมันดิบสหรัฐและเบรนท์ต่างก็ปิดตลาดวันพุธที่ระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. และส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบสหรัฐและเบรนท์เข้าสู่ภาวะที่มีคำสั่งขายเข้ามามากเกินไปในตลาด (oversold) เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2023
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐพุ่งขึ้น 32.33 ดอลลาร์ หรือ 1.41% สู่ 2,317.90 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ ในขณะที่ราคาทองได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ และจากการดิ่งลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ หลังจากเฟดประกาศผลการประชุมกำหนดอัตราดอกเบี้ย และนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดจัดงานแถลงข่าว ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีดิ่งลงจาก 4.684% ในช่วงท้ายวันอังคาร สู่ 4.591% ในช่วงท้ายวันพุธ Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--29 เม.ย.--รอยเตอร์
ดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 34 ปีเมื่อเทียบกับเยนในวันศุกร์ โดยได้รับแรงหนุนบางส่วนจากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐที่ไม่ได้ชะลอตัวลง และรายงานตัวเลขเงินเฟ้อดังกล่าวก็ช่วยสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มที่จะเลื่อนเวลาในปรับลดอัตราดอกเบี้ยออกไป ทั้งนี้ สำนักงานวิเคราะห์เศรษฐกิจ (BEA) ในกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า ดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งถือเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่เฟดนิยมใช้ ปรับขึ้น 0.3% ในเดือนมี.ค.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งตรงกับตัวเลขคาดการณ์ในตลาด หลังจากปรับขึ้น 0.3% ในเดือนก.พ. ส่วนดัชนี PCE แบบเทียบรายปีปรับขึ้น 2.7% ในเดือนมี.ค. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 2.6% หลังจากปรับขึ้น 2.5% ในเดือนก.พ.เมื่อเทียบรายปี ทางด้านดัชนี PCE พื้นฐานที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงานปรับขึ้น 0.3% ในเดือนมี.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากปรับขึ้น 0.3% ในเดือนก.พ. ส่วนดัชนี PCE พื้นฐานแบบเทียบรายปีปรับขึ้น 2.8% ในเดือนมี.ค. หลังจากปรับขึ้น 2.8% ในเดือนก.พ.เมื่อเทียบรายปี Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 105.96 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 105.60 ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 158.33 เยนในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ โดยพุ่งขึ้นจากระดับปิดตลาดวันพฤหัสบดีที่ 155.65 เยน หลังจากทะยานขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ 158.43 เยน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.ปี 1990 เป็นต้นมา หรือจุดสูงสุดรอบ 34 ปี และเทียบกับจุดต่ำสุดของวันที่ 154.97 เยน โดยดอลลาร์/เยนปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้น 2.39% จากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่กลางเดือนม.ค.
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0692 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันศุกร์ โดยร่วงลงจาก 1.0729 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี แต่ยูโรปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการปรับขึ้น 0.36% จากสัปดาห์ที่แล้ว
ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นในวันศุกร์ โดยได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นบริษัทขนาดยักษ์ในกลุ่มเติบโต หลังจากบริษัทแอลฟาเบทและบริษัทไมโครซอฟท์เปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสที่แข็งแกร่ง และหลังจากรัฐบาลสหรัฐเปิดเผยอัตราเงินเฟ้อในระดับปานกลาง โดยหุ้นแอลฟาเบทพุ่งขึ้น 10.22% ในวันศุกร์ และทะยานขึ้นแตะสถิติสูงสุดได้ในระหว่างวัน หลังจากแอลฟาเบทประกาศจ่ายเงินปันผลครั้งแรก, ประกาศโครงการซื้อคืนหุ้นขนาด 7.0 หมื่นล้านดอลลาร์ และประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกที่ดีเกินคาด โดยการพุ่งขึ้นของหุ้นแอลฟาเบทในวันศุกร์ส่งผลให้มูลค่าในตลาดของแอลฟาเบททะยานขึ้นเหนือระดับ 2 ล้านล้านดอลลาร์ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2021 เป็นต้นมา ทางด้านหุ้นไมโครซอฟท์พุ่งขึ้น 1.8% ในวันศุกร์ หลังจากไมโครซอฟท์ประกาศผลกำไรและรายได้รายไตรมาสที่ดีเกินคาด โดยได้รับแรงหนุนจากการที่ไมโครซอฟท์นำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในบริการคลาวด์ของไมโครซอฟท์ นอกจากนี้ หุ้นบริษัทขนาดยักษ์แห่งอื่น ๆ ก็ทะยานขึ้นด้วยเช่นกัน โดยหุ้นอะเมซอทดอทคอมพุ่งขึ้น 3.4%, หุ้นเอ็นวิเดียทะยานขึ้น 5.8% และหุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์บวกขึ้น 0.4% อย่างไรก็ดี หุ้นบริษัทแอปเปิลปรับลง 0.3% และหุ้นบริษัทเทสลาดิ่งลง 1.1% ในวันศุกร์ ทั้งนี้ ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น หุ้น 6 กลุ่มใหญ่ปิดตลาดวันศุกร์ในแดนบวก โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มบริการการสื่อสาร, กลุ่มเทคโนโลยี, กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย และกลุ่มวัสดุ ทางด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีร่วงลงจาก 4.706% ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี สู่ 4.669% ในช่วงท้ายวันศุกร์ หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า อัตราเงินเฟ้อปรับขึ้นปานกลางในเดือนมี.ค. Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.40% สู่ 38,239.66
ดัชนี S&P 500 ปิดพุ่งขึ้น 1.02% สู่ 5,099.96 โดยดัชนีปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้นรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ย. 2023 และดัชนีปิดตลาดสัปดาห์นี้ในแดนบวกหลังจากปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนลบมานานติดต่อกัน 3 สัปดาห์
ดัชนี Nasdaq ปิดทะยานขึ้น 2.03% สู่ 15,927.90 โดยดัชนีปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้นรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ย. 2023 และดัชนีปิดตลาดสัปดาห์นี้ในแดนบวกหลังจากปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนลบมานานติดต่อกัน 4 สัปดาห์
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ปรับขึ้นในวันศุกร์ โดยได้รับแรงหนุนจากความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง ในขณะที่อิสราเอลเร่งดำเนินการโจมตีทางอากาศต่อเมืองราฟาห์ในเขตกาซาในวันพฤหัสบดี และนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอลกล่าวว่า คำตัดสินใด ๆ ของศาลอาญาระหว่างประเทศที่มีต่อกรณีที่กลุ่มฮามาสโจมตีอิสราเอลในวันที่ 7 ต.ค. 2023 และต่อการที่กองทัพอิสราเอลโจมตีเขตกาซา จะไม่ส่งผลกระทบต่อปฏิบัติการของอิสราเอล แต่จะ "เป็นการสร้างแบบอย่างที่เป็นอันตราย" นอกจากนี้ กองทัพอิสราเอลก็แถลงในวันศุกร์ว่า กองทัพอากาศได้โจมตีเขตเวสท์เบคาในเลบานอนและได้สังหารนักรบรายหนึ่งด้วย ทั้งนี้ ราคาน้ำมันปรับขึ้นได้ไม่มากนักในวันศุกร์ เนื่องจากราคาน้ำมันได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ และจากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐ เพราะตัวเลขเงินเฟ้อดังกล่าวทำให้นักลงทุนปรับลดการคาดการณ์เรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนมิ.ย.ปรับขึ้น 28 เซนต์ หรือ 34% มาปิดตลาดที่ 83.85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมิ.ย.ที่ตลาดกรุงลอนดอนปรับขึ้น 49 เซนต์ หรือ 0.55% มาปิดตลาดที่ 89.50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 5.94 ดอลลาร์ สู่ 2,337.72 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ หลังจากสหรัฐรายงานตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่ตรงตามความคาดหมาย อย่างไรก็ดี ราคาทองปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการดิ่งลง 2.21% จากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2023 โดยได้รับแรงกดดันจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านที่ไม่ได้ทวีความรุนแรงขึ้นตามความคาดหมายในสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีร่วงลงจาก 4.706% ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี สู่ 4.669% ในช่วงท้ายวันศุกร์ และการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) ก็มีส่วนช่วยหนุนราคาทองในวันศุกร์ด้วย ทางด้านนายไท หว่อง เทรดเดอร์โลหะอิสระกล่าวว่า "แนวโน้มของราคาทองขึ้นอยู่กับกระแสความต้องการซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย และคำสั่งซื้อจากภูมิภาคตะวันออกไกล" และเขาคาดว่าราคาทองจะสร้างฐานที่ระดับ 2,300-2,400 ดอลลาร์ในระยะสั้น Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
วอชิงตัน--17 เม.ย.--รอยเตอร์
สำนักงานสำมะโนประชากรในกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันจันทร์ว่า ยอดค้าปลีกของสหรัฐพุ่งขึ้น 0.7% ในเดือนมี.ค.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ +0.3% หลังจากยอดค้าปลีกทะยานขึ้น 0.9% ในเดือนก.พ.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 1 ปี ส่วนยอดค้าปลีกแบบเทียบรายปีทะยานขึ้น 4.0% ในเดือนมี.ค.ปีนี้เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันในปีก่อน โดยยอดค้าปลีกเป็นตัวเลขที่ครอบคลุมภาคสินค้าเป็นส่วนใหญ่ และไม่ได้ปรับตัวตามภาวะเงินเฟ้อ ทางด้านยอดขายในร้านอาหารและบาร์ ซึ่งถือเป็นตัวเลขของภาคบริการเพียงตัวเลขเดียวที่ได้รับการรวบรวมไว้ในรายงานยอดค้าปลีก และถือเป็นมาตรวัดฐานะการเงินของภาคครัวเรือน ปรับขึ้น 0.4% ในเดือนมี.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากปรับขึ้น 0.5% ในเดือนก.พ. ทั้งนี้ ตัวเลขยอดค้าปลีกที่แข็งแกร่งส่งผลให้นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโกลด์แมน แซคส์คาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของสหรัฐ (จีดีพี) อาจเติบโต 3.1% ในไตรมาสแรกเมื่อเทียบเป็นตัวเลขเต็มปี (annualized) โดยปรับขึ้นจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ 2.5% สำหรับไตรมาสแรก หลังจากเศรษฐกิจสหรัฐเติบโต 3.4% ในไตรมาส 4/2023
รายงานตัวเลขยอดค้าปลีกนี้ถือเป็นหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐอยู่ในภาวะแข็งแกร่งในช่วงปลายไตรมาสแรก หลังจากสหรัฐรายงานตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่งและอัตราเงินเฟ้อของผู้บริโภคที่เร่งตัวขึ้นในเดือนมี.ค. และรายงานยอดค้าปลีกนี้ช่วยสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะเริ่มต้นวัฏจักรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. ทั้งนี้ แคธี บอสท์ยานซิค หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของบริษัทเนชันไวด์กล่าวว่า "ยิ่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐยังคงอยู่ในภาวะแข็งแกร่งมากเพียงใด อัตราเงินเฟ้อก็จะปรับลดลงอย่างเชื่องช้ามากเพียงนั้น และจะยิ่งส่งผลให้เฟดเลื่อนเวลาในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยออกไปอีก" และเธอกล่าวเสริมว่า "การที่อัตราเงินฟ้อและปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคไม่ได้ชะลอตัวลง อาจจะส่งผลให้เฟดเลื่อนเวลาในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยออกไปสู่ปีหน้า"
ถึงแม้อัตราเงินเฟ้อปรับสูงขึ้นและอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง ปริมาณการจับจ่ายใช้สอยในสหรัฐก็ยังคงรักษาระดับความแข็งแกร่งไว้ได้ โดยรายงานการใช้บัตรเครดิตอันล่าสุดที่จัดทำโดยธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกาแสดงให้เห็นว่า การใช้จ่ายของผู้มีรายได้ต่ำยังคงเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่าการใช้จ่ายของผู้มีรายได้สูง โดยนักเศรษฐศาสตร์ของบริษัทแบงก์ ออฟ อเมริกา ซีเคียวริตีส์ระบุว่า "เหตุผลสำคัญก็คือว่า ถึงแม้ผู้บริโภคที่มีรายได้ต่ำได้รับผลกระทบมากเป็นพิเศษจากภาวะเงินเฟ้อ ผู้บริโภคกลุ่มนี้ก็เป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง คนงานที่มีรายได้ต่ำเป็นกลุ่มที่มีค่าแรงพุ่งขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤติโรคระบาดเป็นต้นมา" ทั้งนี้ การจ้างงานในสหรัฐพุ่งขึ้น 276,000 ตำแหน่งต่อเดือนในไตรมาสแรก หลังจากปรับขึ้น 212,000 ตำแหน่งต่อเดือนในไตรมาส 4/2023 ส่วนค่าแรงแบบเทียบรายปีปรับขึ้น 4.1% ในเดือนมี.ค. ซึ่งถือเป็นอัตราการปรับขึ้นที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2021 หรือต่ำที่สุดในรอบกว่า 2 ปีครึ่ง หลังจากปรับขึ้น 4.3% ในเดือนก.พ.เมื่อเทียบรายปี ทางด้านนักลงทุนมองว่า ค่าแรงที่ปรับขึ้น 3%-3.5% ถือเป็นระดับที่สอดคล้องกับเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตั้งไว้ที่ 2%
ยอดค้าปลีกของสหรัฐในเดือนมี.ค.ได้รับแรงหนุนจากยอดขายสินค้าออนไลน์ที่พุ่งขึ้น 2.7% ในเดือนมี.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากปรับขึ้น 0.2% ในเดือนก.พ. ในขณะที่บริษัทอะเมซอนจัดงานโปรโมชั่นลดราคาสินค้าประจำฤดูใบไม้ผลิในเดือนมี.ค. ส่วนยอดขายที่ปั๊มน้ำมันทะยานขึ้น 2.1% ในเดือนมี.ค. ทางด้านยอดค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ทำสวนปรับขึ้น 0.7% อย่างไรก็ดี ยอดค้าปลีกรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ร่วงลง 0.7% และยอดค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์ปรับลง 0.3% โดยอาจได้รับแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยจำนองที่พุ่งสูงขึ้น เพราะปัจจัยดังกล่าวส่งผลลบต่อยอดซื้อบ้าน ทั้งนี้ สมาคมบริษัทผู้ก่อสร้างบ้านแห่งชาติของสหรัฐ (NAHB) ได้รายงานในวันจันทร์ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของบริษัทผู้ก่อสร้างบ้านเดี่ยวในสหรัฐทรงตัวที่ 51 ในเดือนเม.ย. ซึ่งตรงกับระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2023 เป็นต้นมา
ยอดค้าปลีกพื้นฐาน หรือยอดค้าปลีกที่ไม่รวมรถยนต์, น้ำมันเบนซิน, วัสดุก่อสร้าง และบริการอาหารพุ่งขึ้น 1.1% ในเดือนมี.ค. ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2023 หลังจากปรับขึ้น 0.3% ในเดือนก.พ. โดยตัวเลขยอดค้าปลีกพื้นฐานนี้ถือเป็นตัวเลขที่ปรับตัวสอดคล้องเป็นอย่างมากกับตัวเลขปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคในรายงานจีดีพีสหรัฐ ทั้งนี้ การพุ่งขึ้นของตัวเลขยอดค้าปลีกพื้นฐานในเดือนมี.ค.มีส่วนช่วยกระตุ้นให้นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์กันว่า ปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคสหรัฐอาจพุ่งขึ้น 3.3% ในไตรมาสแรก หลังจากทะยานขึ้น 3.3% ในไตรมาส 4/2023--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com ; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน