ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
เพื่อเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็วและติดตามตลาดโฟกัสใน 15 นาที
ในโลกของมนุษยชาติ จะไม่มีคำกล่าวใด ๆ ที่ไม่มีจุดยืนใด ๆ หรือคำพูดใด ๆ ที่ไม่มีจุดประสงค์ใด ๆ
อัตราเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน และเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจเชิงนโยบายของธนาคารกลาง ทัศนคติและคำพูดของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยังมีอิทธิพลต่อการกระทำของเทรดเดอร์ในตลาดอีกด้วย
เงินทำให้โลกหมุนไป และสกุลเงินเป็นสินค้าถาวร ตลาดฟอเร็กซ์เต็มไปด้วยความประหลาดใจและความคาดหวัง
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
เพลิดเพลินกับกิจกรรมที่น่าตื่นเต้น ที่นี่ที่ FastBull
ข่าวด่วนล่าสุดและเหตุการณ์ทางการเงินทั่วโลก
ฉันมีประสบการณ์ 5 ปีในการวิเคราะห์ทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนามหภาคและการตัดสินแนวโน้มระยะกลางและระยะยาว ความสนใจของฉันอยู่ที่การพัฒนาของตะวันออกกลาง ตลาดเกิดใหม่ ถ่านหิน ข้าวสาลี และสินค้าเกษตรอื่นๆ
7 ปีของตลาดหุ้น การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โลหะมีค่า และประสบการณ์การซื้อขายและการวิเคราะห์อื่น ๆ โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐาน การสนับสนุนทางเทคนิค มีอคติต่อตรรกะธุรกรรมจากบนลงล่าง โดยเน้นที่วัฏจักรมหภาคและการควบคุมความเสี่ยง การคาดการณ์เชิงทฤษฎีอุปสงค์และอุปทานอเนกประสงค์ การเปลี่ยนแปลงของราคา สร้างสมดุลระหว่างผลกระทบของธุรกรรม การกระจายชิปและอารมณ์ตลาด และคงที่
อัปเดตล่าสุด
สร้างทัศนคติการลงทุนที่ดี
วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ปรัชญาการลงทุนของเขาประกอบด้วยการสร้างกรอบความคิดระยะยาว ขจัดญาณรบกวนของตลาด ไม่เก็งกำไร และเน้นย้ำว่าการลงทุนต้องมีมีจิตใจที่มั่นคงและเป้าหมายที่ชัดเจน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง
แม้ว่าระบบกฎหมายและกรอบการกำกับดูแลในฮ่องกงจะค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ตลาดหุ้นยังคงเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายพิเศษหลายประการ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่าง HKD และ USD นักลงทุนต่างชาติอาจเผชิญกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความผันผวนของนโยบายและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นฮ่องกงด้วย
โครงสร้างต้นทุนและภาษีเมื่อลงทุนในหุ้นฮ่องกง
ต้นทุนการซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมหุ้น ค่าอากรแสตมป์ ค่าธรรมเนียมการชำระบัญชี ฯลฯ สำหรับนักลงทุนต่างชาติอาจมีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินเพิ่มเติมเป็นดอลลาร์ฮ่องกงและภาษีอื่น ๆ ตามข้อบังคับท้องถิ่น
การวิเคราะห์อุตสาหกรรมฮ่องกง:อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็น
อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็นของฮ่องกง ได้แก่ รถยนต์ การศึกษา การท่องเที่ยว การจัดเลี้ยง เครื่องแต่งกาย และภาคส่วนอื่นๆ อีกมากมาย จากบริษัทจดทะเบียน 643 แห่งนั้น 35% เป็นบริษัทในจีนแผ่นดินใหญ่และคิดเป็น 65% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด ดังนั้นอุตสาหกรรมนี้จึงได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากเศรษฐกิจจีน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด
ไม่มีข้อมูล
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม
สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
นิวยอร์ค--28 ส.ค.--รอยเตอร์
เทรดเดอร์ในตลาดออปชั่นหุ้นสหรัฐกำลังคาดการณ์ในช่วงนี้ว่า การเปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสของบริษัทเอ็นวิเดียในช่วงต่อไปในวันนี้ อาจจะส่งผลให้มูลค่าหุ้นเอ็นวิเดียแกว่งตัวราว 3.00 แสนล้านดอลลาร์ในวันพฤหัสบดี โดยนักลงทุนมองว่าเอ็นวิเดียถือเป็นผู้ชนะรายใหญ่ที่สุดในการแข่งขันด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และนักลงทุนก็จับตาดูผลประกอบการของเอ็นวิเดียมากเป็นพิเศษ เพราะว่าผลประกอบการของเอ็นวิเดียอาจจะบ่งชี้ถึงสถานการณ์ของธุรกิจ AI และสิ่งนี้อาจจะส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีโดยรวมด้วย ทั้งนี้ เทรดเดอร์ในตลาดออปชั่นคาดการณ์ในตอนนี้ว่า ราคาหุ้นเอ็นวิเดียอาจจะแกว่งตัวราว 9.76% ในวันพฤหัสบดี และเนื่องจากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของเอ็นวิเดียอยู่ที่ราว 3.11 ล้านล้านดอลลาร์ ดังนั้นการแกว่งตัว 9.76% ของราคาหุ้นจึงอาจส่งผลให้มูลค่าบริษัทเอ็นวิเดียแกว่งตัวราว 3.05 แสนล้านดอลลาร์ในวันพฤหัสบดี ซึ่งจะถือเป็นการแกว่งตัวครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สำหรับมูลค่าบริษัทใด ๆ ก็ตามหลังการรายงานผลประกอบการ
ถ้าหากราคาหุ้นเอ็นวิเดียแกว่งตัว 9.76% ในวันพฤหัสบดี นั่นก็จะถือเป็นการแกว่งตัวอย่างรุนแรงกว่าค่าเฉลี่ยด้วย เพราะว่าราคาหุ้นเอ็นวิเดียแกว่งตัวเฉลี่ย 8.1% ในวันหลังวันรายงานผลประกอบการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยสถิติข้อมูลในอดีตบ่งชี้ว่า ในวันหลังวันรายงานผลประกอบการนั้น ราคาหุ้นเอ็นวิเดียเคยพุ่งขึ้น 9.32% ในวันที่ 22 พ.ค.ปีนี้, ทะยานขึ้น 16.4% ในวันที่ 21 ก.พ.ปีนี้, ดิ่งลง 2.46% ในวันที่ 21 พ.ย. 2023, ขยับขึ้น 0.1% ในวันที่ 23 ส.ค. 2023, พุ่งขึ้น 24.37% ในวันที่ 24 พ.ค. 2023 และทะยานขึ้น 14.02% ในวันที่ 22 ก.พ. 2023
ผลประกอบการของเอ็นวิเดียจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นในวงกว้าง เพราะว่าราคาหุ้นเอ็นวิเดียทะยานขึ้นมาแล้วราว 150% จากช่วงต้นปีนี้ ในขณะที่ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐทะยานขึ้นมาแล้วราว 18% จากช่วงต้นปีนี้ โดยที่หุ้นเอ็นวิเดียครองสัดส่วนราว 25% ในการพุ่งขึ้นของดัชนี S&P 500
ตลาดออปชั่นส่งสัญญาณว่า เทรดเดอร์กังวลว่าตนเองอาจจะพลาดโอกาสทางการลงทุนในการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ของหุ้นเอ็นวิเดีย โดยเทรดเดอร์มองว่า มีโอกาส 7% ที่หุ้นเอ็นวิเดียอาจจะพุ่งขึ้นกว่า 20% ภายในวันศุกร์นี้ และมีโอกาสเพียง 4% ที่หุ้นเอ็นวิเดียอาจจะดิ่งลงกว่า 20% ภายในวันศุกร์นี้ ทั้งนี้ การที่เทรดเดอร์คาดการณ์ว่า หุ้นเอ็นวิเดียอาจจะแกว่งตัวผันผวนอย่างรุนแรงนั้น มีสาเหตุมาจากการที่หุ้นบริษัทนี้มักจะแกว่งตัวผันผวนมากในอดีตด้วย
ค่าเฉลี่ยความผันผวนระยะ 30 วันของหุ้นเอ็นวิเดียอยู่ในระดับที่สูงเป็นสองเท่าของค่าเฉลี่ยความผันผวนของหุ้นบริษัทอื่น ๆ ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดอยู่สูงกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์เหมือนกัน โดยหุ้นเอ็นวิเดียแกว่งตัวผันผวนเฉลี่ยราว 52% ในระยะ 30 วันในปี 2024 ในขณะที่บริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์สูงกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์นั้น มีราคาหุ้นแกว่งตัวผันผวนเฉลี่ยราว 26% ในระยะ 30 วันในปี 2024 ทั้งนี้ ราคาหุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์แกว่งตัวผันผวนเฉลี่ยราว 37% ในระยะ 30 วันในปี 2024, ส่วนหุ้นแอลฟาเบทแกว่งตัว 26%, หุ้นอะเมซอนแกว่งตัว 26%, หุ้นแอปเปิลแกว่งตัว 23% และหุ้นไมโครซอฟท์แกว่งตัวเฉลี่ย 19% ในระยะ 30 วันในปี 2024--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
วอนอ่อนค่าลงมากที่สุดในบรรดาสกุลเงินตลาดเกิดใหม่ในเอเชียส่วนใหญ่ท่ามกลางภาวะซื้อขายที่ซบเซาในวันนี้ ขณะที่เทรดเดอร์รอดูสัญญาณเพิ่มเติมที่บ่งชี้อัตราการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนหน้า
ตลาดได้ปรับตัวรับโอกาส 100% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนหน้า หลังจากนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดส่งสัญญาณในสัปดาห์ที่แล้วว่า ถึงเวลาลดดอกเบี้ยแล้ว
เทรดเดอร์จะรอดูข้อมูลดัชนีการใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐในวันศุกร์นี้ และรายงานการจ้างงานในสัปดาห์หน้าเพื่อประเมินว่า เฟดจะลดดอกเบี้ย 0.50% หรือไม่
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวนุ่มนวลของสหรัฐ และการลดดอกเบี้ยลงอย่างต่อเนื่องในอีกหลายเดือนข้างหน้าอาจหนุนสกุลเงินตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย
ส่วนบาทอ่อนค่า 0.2% ขณะที่นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลังกล่าวว่า เศรษฐกิจไทยยังไม่ได้ขยายตัวเต็มศักยภาพเนื่องจากหลายปัจจัย เช่นสถานการณ์ตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์, ความวิตกทางการเมืองในประเทศ และความผันผวนของตลาดโลก
อัตราแลกเปลี่ยน ณ เวลา 11.40 น.ตามเวลาไทย
COUNTRY | FX RIC | FX DAILY % | FX YTD % |
Japan | JPY= | -0.39 | -2.39 |
China | CNY=CFXS | -0.08 | -0.44 |
India | INR=IN | -0.02 | -0.88 |
Indonesia | IDR= | +0.15 | -0.47 |
Malaysia | MYR= | +0.07 | +5.71 |
Philippines | PHP= | - | -1.44 |
S.Korea | KRW=KFTC | -0.43 | -3.64 |
Singapore | SGD= | -0.17 | +1.22 |
Taiwan | TWD=TP | -0.08 | -3.82 |
Thailand | THB=TH | -0.19 | +0.59 |
Eikon source text
รูเปียห์ และเปโซอ่อนค่ามากที่สุดในบรรดาสกุลเงินตลาดเกิดใหม่ในเอเชียในวันนี้ ขณะที่สถานการณ์ตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางลดความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ซึ่งทำให้นักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย อาทิ ดอลลาร์
ความวิตกว่าข้อพิพาทจะรุนแรงขึ้นหลังจากการโจมตีด้วยขีปนาวุธของอิสราเอลและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้สกัดกั้นความเชื่อมั่นที่สดใสของนักลงทุน หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าพร้อมจะลดอัตราดอกเบี้ย
เปโซอ่อนค่าลงถึง 0.5% และปรับตัวลงระหว่างวันมากที่สุดในรอบเกือบ 2 สัปดาห์ ขณะที่ริงกิตอ่อนค่าถึง 0.8% ส่วนบาท, ริงกิต และดอลลาร์ไต้หวันอ่อนค่า 0.1-0.3%
นักวิเคราะห์ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อค่าเงินบาท โดยเมย์แบงก์เชื่อว่า มีโอกาสน้อยลงที่บาทจะอ่อนค่าลงอีก ขณะที่บาร์เคลย์สระบุว่า การท่องเที่ยวที่ขยายตัวมากขึ้นจะหนุนค่าเงินบาทอีก "เรามีมุมมองเชิงบวกต่อค่าเงินบาท และมองเห็นโอกาสที่บาทจะแข็งค่าอีกในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้าเนื่องจากค่าความเสี่ยงทางการเมือง/ารคลังลดลง, ฤดูกาลการท่องเที่ยว, ราคาทองที่ปรับตัวขึ้น"
อัตราแลกเปลี่ยน ณ เวลา 11.14 น.ตามเวลาไทย
COUNTRY | FX RIC | FX DAILY % | FX YTD % |
Japan | JPY= | -0.11 | -2.50 |
China | CNY=CFXS | -0.02 | -0.35 |
India | INR=IN | -0.04 | -0.87 |
Indonesia | IDR= | -0.36 | -0.55 |
Malaysia | MYR= | -0.14 | +5.49 |
Philippines | PHP= | -0.41 | -1.50 |
S.Korea | KRW=KFTC | -0.02 | -3.17 |
Singapore | SGD= | +0.05 | +1.21 |
Taiwan | TWD=TP | -0.31 | -3.70 |
Thailand | THB=TH | -0.12 | +0.47 |
Eikon source text
21 ส.ค.--รอยเตอร์
รอยเตอร์ได้สำรวจความเห็นนักยุทธศาสตร์การลงทุนหุ้น, นักวิเคราะห์, โบรกเกอร์ และผู้จัดการพอร์ตลงทุนเป็นจำนวนรวมกัน 41 รายในวันที่ 8-20 ส.ค. และได้เปิดเผยผลสำรวจออกมาเมื่อวานนี้ โดยผลสำรวจคาดว่า ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐอาจจะปิดตลาดสิ้นปี 2024 ที่ 5,600 ซึ่งใกล้เคียงกับระดับปิดวันอังคารที่ 5,597.12 และสิ่งนี้บ่งชี้ว่า การพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งของตลาดหุ้นสหรัฐในช่วงที่ผ่านมาเพราะกระแสความนิยมในปัญญาประดิษฐ์ (AI) อาจจะชะลอตัวลงในช่วงต่อจากนี้ นอกจากนี้ ผลสำรวจยังคาดการณ์อีกด้วยว่า ดัชนี S&P 500 จะอยู่ที่ 5,900 ในช่วงสิ้นปีหน้า ซึ่งเท่ากับว่าดัชนีอาจจะพุ่งขึ้น 5.36% ในปีหน้า
ดัชนี S&P 500 เพิ่งทำสถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ในวันที่ 16 ก.ค. และหลังจากนั้นดัชนีก็ปรับลงราว 1% จากสถิติระดับปิดดังกล่าว แต่ดัชนีก็ยังคงพุ่งขึ้นมาแล้วราว 17% จากช่วงต้นปีนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากการทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่งของหุ้นบริษัทบางแห่งที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทเอ็นวิเดียและบริษัทไมโครซอฟท์ โดยหุ้นเอ็นวิเดียซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปทะยานขึ้นมาแล้ว 158% จากช่วงต้นปีนี้ และนักวิเคราะห์คาดว่า เอ็นวิเดียอาจจะรายงานในสัปดาห์หน้าว่า รายได้สุทธิไตรมาสล่าสุดพุ่งขึ้นกว่า 2 เท่า
อย่างไรก็ดี นักลงทุนกังวลกับการที่บริษัทแอลฟาเบท, ไมโครซอฟท์ และเมตา แพลตฟอร์มส์ใช้เงินจำนวนมากในการลงทุนเพื่อวางโครงสร้างพื้นฐาน AI โดยนายแดเนียล มอร์แกน ผู้จัดการพอร์ตลงทุนของบริษัทไซโนวุส ทรัสต์ระบุว่า "กระแสความนิยมใน AI กำลังชะลอตัวลง และตลาดหุ้นเริ่มปรับตัวรับความเป็นไปได้ที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จะชะลอตัวลง" และเขากล่าวเตือนว่ามูลค่าหุ้นอยู่ในระดับที่สูงมาก ดังนั้นปัจจัยลบเพียงเล็กน้อยก็อาจจะส่งผลให้ราคาหุ้นดิ่งลงได้ ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 มีค่าพีอีเรโชอยู่ที่ 21 เท่าของคาดการณ์ผลกำไรในตอนนี้ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะ 10 ปีที่ระดับ 18 เท่าของคาดการณ์ผลกำไร
นักลงทุนจับตาดูปัจจัยหลายประการที่สร้างความไม่แน่นอนในช่วงนี้ ซึ่งรวมถึงการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 5 พ.ย. ในขณะที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ และกมลา แฮร์ริส ซึ่งเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐได้รับคะแนนนิยมจากประชาชนในระดับที่สูสีกัน, ภาวะปั่นป่วนวุ่นวายในภูมิภาคตะวันออกกลาง และประเด็นที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมากเพียงใด โดยปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้การคาดการณ์แนวโน้มตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก ทั้งนี้ เทรดเดอร์คาดการณ์ในวันนี้ว่า มีโอกาส 34.5% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% สู่ 4.75-5.00% ในการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 17-18 ก.ย. และคาดว่ามีโอกาส 65.5% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ 5.00-5.25% ในการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 17-18 ก.ย. โดยเทรดเดอร์คาดการณ์อีกด้วยว่า เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงรวมกันราว 0.99% ในปีนี้
ผู้ตอบโพลล์กว่าครึ่งหนึ่งคาดว่า ตลาดหุ้นมีแนวโน้มที่จะปรับฐานลงอย่างน้อย 10% ก่อนสิ้นเดือนก.ย. และผู้ตอบโพลล์กว่าครึ่งหนึ่งคาดว่า ผลกำไรภาคเอกชนจะอยู่สูงเกินคาดจนถึงสิ้นปี 2024 ทั้งนี้ ถึงแม้กระแสความนิยมใน AI ช่วยหนุนตลาดหุ้นสหรัฐให้พุ่งขึ้นในช่วงต้นปีนี้ หุ้นหลายกลุ่มในสหรัฐก็ปรับขึ้นอย่างอ่อนแอ โดยดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย, ดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และดัชนีหุ้นกลุ่มวัสดุปรับขึ้นราว 5% จากช่วงต้นปีนี้--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--19 ส.ค.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า ตลาดหุ้นสหรัฐได้รับแรงหนุนในช่วงนี้อีกครั้งจากความคาดหวังที่ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในขณะที่สหรัฐเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าพึงพอใจในสัปดาห์ที่ผ่านมา และตัวเลขเหล่านี้ช่วยลดความกังวลที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย หลังจากความกังวลดังกล่าวเคยส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงอย่างรุนแรงในช่วงต้นเดือนนี้ ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐรูดลง 3.00% ในวันที่ 5 ส.ค. แต่หลังจากนั้นดัชนีก็ดีดกลับขึ้นมาได้กว่า 6% ส่วนดัชนีความผันผวน Cboe หรือดัชนี VIX ที่ใช้วัดระดับความกังวลในตลาดหุ้นสหรัฐเคยทะยานขึ้นมาแตะระดับ 65 ในวันที่ 5 ส.ค. และปิดตลาดที่ 38.57 ในวันที่ 5 ส.ค. ซึ่งถือเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2020 หรือระดับปิดสูงสุดรอบ 4 ปี อย่างไรก็ดี ดัชนี VIX ดิ่งลงอย่างรุนแรงในเวลาต่อมา และปิดตลาดที่ 16.19 ในวันที่ 14 ส.ค. โดยดัชนีสามารถดิ่งลงจากระดับ 35 ซึ่งเป็นระดับที่บ่งชี้ถึงความกังวลที่ระดับสูง สู่ค่ากลางระยะยาวที่ 17.6 ได้ภายในเวลาเพียงแค่ 7 วันทำการเท่านั้น ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงที่รวดเร็วที่สุดเป็นประวัติการณ์
ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ช่วยลดความกังวลของนักลงทุนในระยะนี้ รวมถึงดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทั่วไปแบบเทียบรายปีที่ปรับขึ้น 2.9% ในเดือนก.ค. ซึ่งถือเป็นอัตราการปรับขึ้นที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2021 หรือต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปีครึ่ง, ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) แบบเทียบรายปีที่ปรับขึ้น 2.2% ในเดือนก.ค. หลังจากพุ่งขึ้น 2.7% ในเดือนมิ.ย. และยอดค้าปลีกสหรัฐที่พุ่งขึ้น 1.0% ในเดือนก.ค.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2023 และอยู่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่ +0.3% หลังจากยอดค้าปลีกปรับลดลง 0.2% ในเดือนมิ.ย. ทั้งนี้ รายงานตัวเลขเหล่านี้ช่วยสนับสนุนให้นักลงทุนกลับมาลงทุนตามเดิม ซึ่งรวมถึงการลงทุนในหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยี และการลงทุนในหุ้นบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กด้วย
หุ้นหลายตัวดีดขึ้นอย่างแข็งแกร่งนับตั้งแต่วันที่ 5 ส.ค. โดยหุ้นบริษัทเอ็นวิเดียซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่พุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 20% นับตั้งแต่วันที่ 5 ส.ค., ดัชนีฟิลาเดลเฟียสำหรับหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐทะยานขึ้นมาแล้วกว่า 14% ส่วนดัชนี Russell 2000 สำหรับหุ้นบริษัทขนาดเล็กของสหรัฐอยู่ที่ 2,142 ในช่วงท้ายวันศุกร์ที่ 16 ส.ค. โดยดีดขึ้นจากจุดต่ำสุดของวันที่ 5 ส.ค.ที่ 1,993 ซึ่งเท่ากับว่าดัชนีหุ้นบริษัทขนาดเล็กพุ่งขึ้นมาแล้วราว 7% โดยก่อนหน้านี้ดัชนีหุ้นบริษัทขนาดเล็กเพิ่งทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเดือนก.ค.ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ถ้าหากนับตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้เป็นต้นมา ดัชนี S&P 500 ก็พุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 16% และอยู่ต่ำกว่าสถิติระดับปิดสูงสุดที่เคยทำไว้ในเดือนก.ค.เพียงแค่ราว 2% เท่านั้น ทั้งนี้ เทรดเดอร์ได้ปรับลดการคาดการณ์เรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลงในช่วงนี้ โดยเทรดเดอร์คาดการณ์ในช่วงนี้ว่า มีโอกาสเพียง 28.5% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% สู่ 4.75-5.00% ในการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 17-18 ก.ย. โดยโอกาสดังกล่าวปรับลดลงจากระดับ 85% ที่เคยคาดไว้ในวันที่ 5 ส.ค. และเทรดเดอร์ยังคาดการณ์ในช่วงนี้อีกด้วยว่า มีโอกาส 71.5% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ 5.00-5.25% ในการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 17-18 ก.ย. และคาดว่า เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงรวมกันราว 0.96% ในปีนี้
นักลงทุนรอดูการประชุมของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางทั่วโลกที่แจ็คสัน โฮลในรัฐไวโอมิงในวันที่ 22-24 ส.ค. และรอฟังการกล่าวแถลงของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในงานประชุมที่แจ็คสัน โฮลในวันศุกร์ที่ 23 ส.ค. โดยนักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารบีเอ็นพี พาริบาส์ระบุในวันพฤหัสบดีที่แล้วว่า "เราคาดว่าประเด็นสำคัญในถ้อยแถลงของนายพาวเวลล์ จะเป็นการยอมรับว่า มีความคืบหน้าในการควบคุมภาวะเงินเฟ้อในระดับที่มากพอที่จะเปิดโอกาสให้เฟดเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้"
โมนา มหาจัน นักยุทธศาสตร์การลงทุนของบริษัทเอ็ดเวิร์ด โจนส์คาดว่า แนวโน้มที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด จะช่วยเปิดโอกาสให้มีหุ้นจำนวนมากยิ่งขึ้นเข้าร่วมในการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐ หลังจากที่ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐเคยปรับขึ้นตามหุ้นบริษัทขนาดยักษ์เพียงไม่กี่แห่งในช่วงต้นปีนี้ ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ของบริษัทแคปิตัล อิโคโนมิคส์คาดว่า การชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปของเศรษฐกิจสหรัฐจะช่วยกระตุ้นการลงทุนในธุรกิจปัญญาประดิษฐ์ (AI) และนักวิเคราะห์กลุ่มนี้ยังคาดการณ์ตามเดิมอีกด้วยว่า ดัชนี S&P 500 จะอยู่ที่ 6,000 ในช่วงสิ้นปีนี้ ซึ่งเท่ากับว่าดัชนีอาจจะพุ่งขึ้นอีกราว 8% ในช่วงต่อไปในปีนี้--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--15 ก.ค.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า หลังจากสำนักงานสถิติแรงงาน (BLS) ในกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐขยับลง 0.1% ในเดือนมิ.ย.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากทรงตัวในเดือนพ.ค. โดยการปรับลดลงในเดือนมิ.ย.ถือเป็นการปรับลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2020 หรือครั้งแรกในรอบ 4 ปี รายงานตัวเลขดังกล่าวก็ช่วยกระตุ้นการคาดการณ์เรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐ ทั้งนี้ เทรดเดอร์คาดการณ์ในวันศุกร์ว่า มีโอกาส 94% ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. โดยปรับเพิ่มขึ้นจากโอกาส 73% ที่เคยคาดไว้ก่อนการรายงานดัชนี CPI
นักวิเคราะห์ระบุว่า แนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดส่งผลให้นักลงทุนเผชิญกับทางเลือกที่ยากลำบากในตอนนี้ โดยนักลงทุนจะต้องเลือกว่า พวกเขาจะยังคงลงทุนในหุ้นบริษัทขนาดยักษ์ในกลุ่มเทคโนโลยีต่อไปหรือไม่ หลังจากหุ้นกลุ่มดังกล่าวถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงเวลากว่า 1 ปีที่ผ่านมา หรือว่าพวกเขาจะหันไปลงทุนในหุ้นกลุ่มอื่น ๆ ที่อาจจะได้รับแรงหนุนจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยอาจจะส่งผลดีต่อหุ้นหลายกลุ่มในตลาดที่เคยปรับตัวอย่างอ่อนแอในช่วงต้นปีนี้ ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทขนาดเล็ก, หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นกลุ่มที่มักจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวในตลาดหุ้นสหรัฐในช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้วบ่งชี้ว่า การโยกย้ายเงินลงทุนออกจากหุ้นบริษัทขนาดยักษ์อาจจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว โดยดัชนี Nasdaq 100 ที่ครอบคลุมหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหลายแห่งดิ่งลง 2.24% ในวันพฤหัสบดี ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงรายวันครั้งใหญ่ที่สุดของปี 2024 แต่ดัชนี Russell 2000 สำหรับหุ้นบริษัทขนาดเล็กของสหรัฐพุ่งขึ้น 3.57% ในวันพฤหัสบดี ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นรายวันครั้งใหญ่ที่สุดของปี 2024 และดัชนี Russell 2000 ยังทะยานขึ้นอีก 1.09% ในวันศุกร์ด้วย โดยดัชนี Nasdaq 100 พุ่งขึ้นมาแล้วราว 21% จากช่วงต้นปีนี้ ในขณะที่ดัชนี Russell 2000 บวกขึ้นเพียง 6% จากช่วงต้นปีนี้
ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นมาแล้วราว 18% จากช่วงต้นปีนี้ ในขณะที่หุ้นบริษัทขนาดยักษ์ในกลุ่มเติบโตและกลุ่มเทคโนโลยีครองน้ำหนักมากในดัชนีนี้ ส่วนดัชนี S&P 500 แบบที่ให้หุ้นทุกตัวในดัชนีมีน้ำหนักเท่ากัน ปรับขึ้นเพียง 6.7% จากช่วงต้นปีนี้ ทางด้านนายวอลเตอร์ ท็อดด์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัทกรีนวูด แคปิตัลกล่าวว่า "การลงทุนในหุ้นกระจุกตัวอยู่ฝั่งเดียวมากเกินไปในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นจึงมีการปรับตัวไปในทิศทางตรงกันข้ามในช่วงนี้" ทั้งนี้ นักลงทุนบางรายระบุว่า การพุ่งขึ้นของหุ้นบริษัทขนาดเล็กและหุ้นกลุ่มอื่น ๆ ที่เคยปรับตัวอย่างอ่อนแอ อาจจะเป็นการดีดกลับของสถานการณ์ในช่วงก่อนหน้านี้ เพราะว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้พุ่งขึ้นมากเกินไปเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่น ๆ ในช่วงที่ผ่านมา และนักลงทุนบางรายกล่าวเตือนว่า การที่ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นในวงกว้างกว่าเดิมเคยเป็นเหตุการณ์ที่ดำเนินไปเพียงเวลาสั้น ๆ เท่านั้นในอดีต โดยดัชนีหุ้นบริษัทขนาดเล็กเคยพุ่งขึ้นมาแล้วในช่วงปลายปี 2023 ก่อนที่จะปรับตัวอย่างอ่อนแอในอีกหลายเดือนต่อมา
บริษัทขนาดเล็ก ซึ่งรวมถึงบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพ มักจะต้องพึ่งพาเงินกู้จำนวนมาก ดังนั้นบริษัทกลุ่มนี้จึงมีโอกาสได้รับประโยชน์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ทางด้านบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมก็อาจจะได้รับประโยชน์ด้วยเช่นกัน เพราะว่าบริษัทกลุ่มนี้มักจะต้องกู้เงินมาใช้ในโครงการที่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนสูง ทั้งนี้ มูลค่าหุ้นในวงกว้างอาจจะมีความน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้นด้วย ถ้าหากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) ร่วงลงต่อไปในอนาคต โดยได้รับแรงกดดันจากการคาดการณ์เรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีอยู่ที่ 4.21% ในวันนี้ โดยดิ่งลงมาแล้วราว 0.529% จากจุดสูงสุดของเดือนเม.ย.ที่ 4.739% ในขณะที่ค่าพีอีเรโชของดัชนี S&P 500 อยู่ที่ 21.4 เท่าของคาดการณ์ผลกำไรล่วงหน้าในปัจจุบัน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 15.7 เท่าของคาดการณ์ผลกำไร--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
สกุลเงินตลาดเกิดใหม่ในเอเชียแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ในวันนี้ หลังจากข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐออกมาชะลอตัวลง ซึ่งเพิ่มคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย.นี้
รายงานเงินเฟ้อของสหรัฐที่จะออกมาในวันนี้อาจจะหนุนการคาดการณ์เรื่องการลดดอกเบี้ย ขณะที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะชะลอตัวลง และนักลงทุนจะรอดูการแถลงของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดต่อสภาคองเกรสในวันอังคารและพุธนี้เพื่อประเมินจังหวะเวลาในการลดดอกเบี้ย
นักวิเคราะห์จากบาร์เคลย์สกล่าวว่า "ตลาดกำลังคาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ยจากธนาคารกลางเกาหลีอย่างเร็วที่สุดในเดือนส.ค.นี้ แต่เราก็เชื่อว่ายังคงเป็นเงื่อนไข เพราะระดับอัตราแลกเปลี่ยนยังคงน่ากังวล และราคาที่อยู่อาศัยเริ่มปรับตัวขึ้นอีกครั้ง"
ธนาคารกลางเกาหลี และธนาคารกลางมาเลเซียจะประชุมนโยบายในวันพฤหัสบดีนี้ ซึ่งคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ย
ตลาดจะรอดูข้อมูลเงินเฟ้อของจีนในวันพุธนี้ และข้อมูลจีดีพีของมาเลเซียในวันศุกร์นี้ด้วย
อัตราแลกเปลี่ยน ณ เวลา 12.11 น.ตามเวลาไทย
COUNTRY |
FX RIC |
FX DAILY % |
FX YTD % |
Japan |
JPY= |
+0.12 |
-12.12 |
China |
CNY=CFXS |
-0.01 |
-2.36 |
India |
INR=IN |
+0.05 |
-0.28 |
Indonesia |
IDR= |
+0.18 |
-5.23 |
Malaysia |
MYR= |
- |
-2.49 |
Philippines |
PHP= |
+0.01 |
-5.35 |
S.Korea |
KRW=KFTC |
+0.18 |
-6.59 |
Singapore |
SGD= |
+0.05 |
-2.12 |
Taiwan |
TWD=TP |
+0.23 |
-5.14 |
Thailand |
THB=TH |
+0.12 |
-6.13 |
Eikon source text
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน