ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
เพื่อเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็วและติดตามตลาดโฟกัสใน 15 นาที
ในโลกของมนุษยชาติ จะไม่มีคำกล่าวใด ๆ ที่ไม่มีจุดยืนใด ๆ หรือคำพูดใด ๆ ที่ไม่มีจุดประสงค์ใด ๆ
อัตราเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน และเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจเชิงนโยบายของธนาคารกลาง ทัศนคติและคำพูดของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยังมีอิทธิพลต่อการกระทำของเทรดเดอร์ในตลาดอีกด้วย
เงินทำให้โลกหมุนไป และสกุลเงินเป็นสินค้าถาวร ตลาดฟอเร็กซ์เต็มไปด้วยความประหลาดใจและความคาดหวัง
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
เพลิดเพลินกับกิจกรรมที่น่าตื่นเต้น ที่นี่ที่ FastBull
ข่าวด่วนล่าสุดและเหตุการณ์ทางการเงินทั่วโลก
ฉันมีประสบการณ์ 5 ปีในการวิเคราะห์ทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนามหภาคและการตัดสินแนวโน้มระยะกลางและระยะยาว ความสนใจของฉันอยู่ที่การพัฒนาของตะวันออกกลาง ตลาดเกิดใหม่ ถ่านหิน ข้าวสาลี และสินค้าเกษตรอื่นๆ
7 ปีของตลาดหุ้น การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โลหะมีค่า และประสบการณ์การซื้อขายและการวิเคราะห์อื่น ๆ โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐาน การสนับสนุนทางเทคนิค มีอคติต่อตรรกะธุรกรรมจากบนลงล่าง โดยเน้นที่วัฏจักรมหภาคและการควบคุมความเสี่ยง การคาดการณ์เชิงทฤษฎีอุปสงค์และอุปทานอเนกประสงค์ การเปลี่ยนแปลงของราคา สร้างสมดุลระหว่างผลกระทบของธุรกรรม การกระจายชิปและอารมณ์ตลาด และคงที่
อัปเดตล่าสุด
สร้างทัศนคติการลงทุนที่ดี
วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ปรัชญาการลงทุนของเขาประกอบด้วยการสร้างกรอบความคิดระยะยาว ขจัดญาณรบกวนของตลาด ไม่เก็งกำไร และเน้นย้ำว่าการลงทุนต้องมีมีจิตใจที่มั่นคงและเป้าหมายที่ชัดเจน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง
แม้ว่าระบบกฎหมายและกรอบการกำกับดูแลในฮ่องกงจะค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ตลาดหุ้นยังคงเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายพิเศษหลายประการ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่าง HKD และ USD นักลงทุนต่างชาติอาจเผชิญกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความผันผวนของนโยบายและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นฮ่องกงด้วย
โครงสร้างต้นทุนและภาษีเมื่อลงทุนในหุ้นฮ่องกง
ต้นทุนการซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมหุ้น ค่าอากรแสตมป์ ค่าธรรมเนียมการชำระบัญชี ฯลฯ สำหรับนักลงทุนต่างชาติอาจมีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินเพิ่มเติมเป็นดอลลาร์ฮ่องกงและภาษีอื่น ๆ ตามข้อบังคับท้องถิ่น
การวิเคราะห์อุตสาหกรรมฮ่องกง:อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็น
อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็นของฮ่องกง ได้แก่ รถยนต์ การศึกษา การท่องเที่ยว การจัดเลี้ยง เครื่องแต่งกาย และภาคส่วนอื่นๆ อีกมากมาย จากบริษัทจดทะเบียน 643 แห่งนั้น 35% เป็นบริษัทในจีนแผ่นดินใหญ่และคิดเป็น 65% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด ดังนั้นอุตสาหกรรมนี้จึงได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากเศรษฐกิจจีน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด
ไม่มีข้อมูล
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม
สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
31 ก.ค.--รอยเตอร์
บริษัทหลายแห่งทั่วโลกรายงานว่า ผลกำไรเพิ่มขึ้นในไตรมาสล่าสุด แต่ทางบริษัทปรับลดแนวโน้มผลกำไรและยอดขายตลอดทั้งปีลง ในขณะที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั่วโลกได้รับแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงและจากความอ่อนแอของเศรษฐกิจจีน ทั้งนี้ บริษัทราว 40% ในสหรัฐและยุโรปได้รายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุดออกมาแล้ว และผลกำไรของบริษัทเหล่านี้ก็อยู่ในระดับที่ตรงตามความคาดหมาย อย่างไรก็ดี เนื่องจากตลาดหุ้นทั่วโลกพุ่งขึ้นไปมากแล้วในช่วงที่ผ่านมา ผลกำไรที่ตรงตามความคาดหมายจึงอาจจะสร้างความผิดหวังต่อนักลงทุนได้ โดยบริษัทชื่อดังที่สร้างความผิดหวังต่อนักลงทุนในช่วงนี้รวมถึงบริษัทแมคโดนัลด์, นิสสันซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์, เทสลาซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า, เนสท์เล่ และดิอาจิโอ ซึ่งเป็นบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคยักษ์ใหญ่
นักลงทุนจับตาดูผลประกอบการของบริษัทขนาดยักษ์หลายแห่งในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงบริษัทไมโครซอฟท์ที่เปิดเผยผลประกอบการออกมาในช่วงเย็นวันอังคาร, บริษัทเมตา ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊กที่จะเปิดเผยผลประกอบการออกมาในวันพุธ, บริษัทแอปเปิลกับบริษัทอะเมซอนที่จะเปิดเผยผลประกอบการออกมาในวันพฤหัสบดี, บริษัทซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ของเกาหลีใต้, บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ของญี่ปุ่น, บริษัทเอ็กซอน โมบิลในกลุ่มน้ำมันของสหรัฐ, บริษัทเชลล์ในกลุ่มน้ำมัน, บริษัทลอรีอัลของฝรั่งเศส และบริษัทอาดิดาสของเยอรมนี ทั้งนี้ บริษัทหลายแห่งทั่วโลกระบุว่า ผลกำไรของบริษัทเผชิญกับปัญหาสำคัญ 2 ประการ โดยปัญหาแรกคืออัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูง ซึ่งส่งผลลบต่อปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค และปัญหาที่สองคือความอ่อนแอทางเศรษฐกิจในจีน โดยจีนถือเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก
แมคโดนัลด์เพิ่งรายงานว่า ยอดขายทั่วโลกลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 13 ไตรมาส โดยเป็นผลจากความอ่อนแอทางเศรษฐกิจในจีน ส่วนบริษัทยูนิลีเวอร์, วีซ่า และแอสตัน มาร์ตินก็ตั้งข้อสังเกตถึงความอ่อนแอทางเศรษฐกิจในจีนด้วยเช่นกัน ทางด้านนักวิเคราะห์ระบุเตือนว่า อุปสงค์ในจีนไม่มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวขึ้นในเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากผู้บริโภคจีนได้รับแรงกดดันจากภาคอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในภาวะตกต่ำมาเป็นเวลานาน และจากความไม่มั่นคงทางการทำงาน ทั้งนี้ ผลกำไรต่อหุ้นของบริษัทสหรัฐพุ่งขึ้นเกือบ 12% จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน ซึ่งถือเป็นอัตราการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดรอบ 10 ไตรมาส ส่วนผลกำไรของบริษัทยุโรปปรับขึ้น 4% ในไตรมาสล่าสุด ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงเกินคาด และถือเป็นการปรับขึ้นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2022
บริษัทสหรัฐปรับลดคาดการณ์ผลกำไรไตรมาสสามลงในช่วงนี้ โดยบริษัทสหรัฐคาดว่า ผลกำไรไตรมาสสามอาจปรับขึ้นเพียง 7.3% เมื่อเทียบรายปี โดยปรับลดลงจาก +8.6% ที่เคยคาดไว้ในช่วงต้นเดือนก.ค. ทั้งนี้ ทั้งบริษัทเนสท์เล่และยูนิลีเวอร์ต่างก็รายงานยอดขายครึ่งปีแรกที่เติบโตน้อยเกินคาด ในขณะที่บริษัทโดยรวมในเยอรมนีและฝรั่งเศสคาดการณ์ในทางลบมากยิ่งขึ้น และทำให้นักลงทุนกังวลว่าเศรษฐกิจยูโรโซนอาจจะฟื้นตัวอย่างเฉื่อยชา โดยสำนักงานสถิติฝรั่งเศสรายงานในสัปดาห์ที่แล้วว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจโดยรวมของฝรั่งเศสดิ่งลงจาก 99 ในเดือนมิ.ย. สู่ 94 ในเดือนก.ค. ส่วนสถาบัน Ifo รายงานในสัปดาห์ที่แล้วว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจของเยอรมนีดิ่งลงจาก 88.6 ในเดือนมิ.ย. สู่ 87.0 ในเดือนก.ค.
บริษัทรถยนต์หลายแห่งกำลังเผชิญปัญหาในสหรัฐ ซึ่งเป็นปัญหาจากสต็อกสินค้าคงคลังที่ระดับสูง และปัญหาด้านโลจิสติกส์ ซึ่งสร้างความเสียหายต่อผลกำไรของบริษัทฟอร์ด มอเตอร์, สเตลแลนทิส และนิสสัน ทางด้านเทสลาเพิ่งรายงานผลประกอบการที่น่าผิดหวังในไตรมาสล่าสุด และนักลงทุนหลายรายก็มองว่า บริษัทเทสลามีมูลค่าสูงเกินไป ในขณะที่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าชะลอตัวลง--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
สกุลเงินตลาดเกิดใหม่ในเอเชียแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ในวันนี้ หลังจากข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐออกมาชะลอตัวลง ซึ่งเพิ่มคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย.นี้
รายงานเงินเฟ้อของสหรัฐที่จะออกมาในวันนี้อาจจะหนุนการคาดการณ์เรื่องการลดดอกเบี้ย ขณะที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะชะลอตัวลง และนักลงทุนจะรอดูการแถลงของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดต่อสภาคองเกรสในวันอังคารและพุธนี้เพื่อประเมินจังหวะเวลาในการลดดอกเบี้ย
นักวิเคราะห์จากบาร์เคลย์สกล่าวว่า "ตลาดกำลังคาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ยจากธนาคารกลางเกาหลีอย่างเร็วที่สุดในเดือนส.ค.นี้ แต่เราก็เชื่อว่ายังคงเป็นเงื่อนไข เพราะระดับอัตราแลกเปลี่ยนยังคงน่ากังวล และราคาที่อยู่อาศัยเริ่มปรับตัวขึ้นอีกครั้ง"
ธนาคารกลางเกาหลี และธนาคารกลางมาเลเซียจะประชุมนโยบายในวันพฤหัสบดีนี้ ซึ่งคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ย
ตลาดจะรอดูข้อมูลเงินเฟ้อของจีนในวันพุธนี้ และข้อมูลจีดีพีของมาเลเซียในวันศุกร์นี้ด้วย
อัตราแลกเปลี่ยน ณ เวลา 12.11 น.ตามเวลาไทย
COUNTRY |
FX RIC |
FX DAILY % |
FX YTD % |
Japan |
JPY= |
+0.12 |
-12.12 |
China |
CNY=CFXS |
-0.01 |
-2.36 |
India |
INR=IN |
+0.05 |
-0.28 |
Indonesia |
IDR= |
+0.18 |
-5.23 |
Malaysia |
MYR= |
- |
-2.49 |
Philippines |
PHP= |
+0.01 |
-5.35 |
S.Korea |
KRW=KFTC |
+0.18 |
-6.59 |
Singapore |
SGD= |
+0.05 |
-2.12 |
Taiwan |
TWD=TP |
+0.23 |
-5.14 |
Thailand |
THB=TH |
+0.12 |
-6.13 |
Eikon source text
3 ก.ค.--รอยเตอร์
บริษัทที่ทำธุรกิจปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเฉพาะบริษัทผู้ผลิตชิป มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดพุ่งขึ้นสูงมากในเดือนมิ.ย. ซึ่งรวมถึงบริษัทเอ็นวิเดียในสหรัฐที่เคยมีมูลค่าพุ่งขึ้นจนสามารถก้าวขึ้นมาครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกได้เป็นเวลาสั้น ๆ ในระหว่างเดือนมิ.ย. ทั้งนี้ มูลค่าหลักทรัพย์ของเอ็นวิเดียเคยพุ่งขึ้นแตะ 3.34 ล้านล้านดอลลาร์ในระหว่างเดือนมิ.ย. ก่อนที่จะลดช่วงบวกลงในเวลาต่อมา โดยเป็นผลจากคำสั่งเทขายทำกำไรและความกังวลเรื่องมูลค่าหุ้นที่ระดับสูง โดยมูลค่าของเอ็นวิเดียลดลงมาอยู่ที่ 3.0391 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงปลายเดือนมิ.ย. ซึ่งส่งผลให้เอ็นวิเดียครองตำแหน่งที่ 3 ในอันดับบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของไมโครซอฟท์พุ่งขึ้น 7.6% ในเดือนมิ.ย. สู่ 3.3219 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งส่งผลให้ไมโครซอฟท์ครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก ส่วนมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของแอปเปิลทะยานขึ้น 9.6% ในเดือนมิ.ย. สู่ 3.2297 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งส่งผลให้แอปเปิลครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่ามากเป็นอันดับ 2 ของโลก ทั้งนี้ บริษัทที่มีมูลค่ามากเป็นอันดับ 4 ของโลกคือแอลฟาเบาท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล โดยแอลฟาเบทมีมูลค่า 2.2581 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงปลายเดือนมิ.ย.
มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของบริษัทอะเมซอนดอทคอม อิงค์พุ่งขึ้นแตะ 2.0111 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงปลายเดือนมิ.ย. ซึ่งส่งผลให้อะเมซอนกลายเป็นบริษัทสหรัฐแห่งที่ 5 ที่มีมูลค่าพุ่งขึ้นเหนือ 2 ล้านล้านดอลลาร์ โดยอะเมซอนได้รับแรงหนุนจากกระแสความนิยมใน AI ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ บริษัทที่มีมูลค่ามากเป็นอันดับ 6 ของโลกในช่วงปลายเดือนมิ.ย.คือซาอุดิ อาราเบียน ออยล์ ที่มีมูลค่า 1.7998 ล้านล้านดอลลาร์, อันดับ 7 คือเมตา แพลตฟอร์มส์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก ที่มีมูลค่า 1.279 ล้านล้านดอลลาร์, อันดับ 8 คือเบิร์คเชียร์ แฮทธาเวย์ ที่มีมูลค่า 8.779 แสนล้านดอลลาร์, อันดับ 9 คืออีไล ลิลลี แอนด์ โค ที่เป็นผู้ผลิตยา โดยบริษัทนี้มีมูลค่า 8.605 แสนล้านดอลลาร์ และอันดับ 10 คือบริษัทไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริง โค (TSMC) ที่มีมูลค่า 7.697 แสนล้านดอลลาร์
อันดับ 11 คือบริษัทบรอดคอม อิงค์ที่มีมูลค่า 7.474 แสนล้านดอลลาร์ โดยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของบรอดคอมพุ่งขึ้นราว 20% ในเดือนมิ.ย. หลังจากบรอดคอมปรับขึ้นตัวเลขคาดการณ์รายได้ประจำปีสำหรับชิป AI ราว 10% และประกาศแตกหุ้นเพื่อทำประโยชน์จากการพุ่งขึ้นของราคาหุ้นในปีนี้ ทั้งนี้ อันดับ 12 คือเทสลา ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่มีมูลค่า 6.311 แสนล้านดอลลาร์, อันดับ 13 คือธนาคารเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โคที่มีมูลค่า 5.808 แสนล้านดอลลาร์, อันดับ 14 คือบริษัทวอลมาร์ทในธุรกิจค้าปลีกที่มีมูลค่า 5.446 แสนล้านดอลลาร์ และอันดับ 15 คือบริษัท SPDR S&P 500 ETF Trust ที่มีมูลค่า 5.404 แสนล้านดอลลาร์
อันดับ 16 คือบริษัทวีซ่า อิงค์ที่ทำธุรกิจบัตรเครดิต ซึ่งมีมูลค่า 5.252 แสนล้านดอลลาร์, อันดับ 17 คือบริษัทเอ็กซอน โมบิลที่ทำธุรกิจน้ำมัน ซึ่งมีมูลค่า 5.164 แสนล้านดอลลาร์, อันดับ 18 คือบริษัทโนโว นอร์ดิสก์ของเดนมาร์กที่ทำธุรกิจยา โดยบริษัทนี้มีมูลค่า 4.898 แสนล้านดอลลาร์, อันดับ 19 คือบริษัท iShares Core S&P 500 ETF ที่มีมูลค่า 4.872 แสนล้านดอลลาร์ และอันดับ 20 คือกองทุนแวงการ์ด 500 อินเด็กซ์ ฟันด์ ที่มีมูลค่า 4.717 แสนล้านดอลลาร์--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
สกุลเงินตลาดเกิดใหม่ในเอเชียยังคงอ่อนค่าท่ามกลางดอลลาร์ที่ทรงตัวในวันนี้ ขณะที่นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทำให้มีความหวังขึ้นมาใหม่ว่า เฟดอาจจะเริ่มวงจรการลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
เขากล่าวว่า สหรัฐมีเงินเฟ้อที่ลดลงอีกครั้ง พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ผู้กำหนดนโยบายต้องการข้อมูลเพิ่มเติมก่อนที่จะพิจารณาการลดอัตราดอกเบี้ย
เครื่องมือเฟดวอทช์ของซีเอ็มอีพบว่า ตลาดกำลังปรับตัวรับโอกาส 67.1% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยในการประชุมในเดือนก.ย. เทียบกับโอกาส 54.7% ในเดือนที่แล้ว
วอน และบาทอ่อนค่า 0.2% ขณะที่สกุลเงินอื่นๆทรงตัว
นักลงทุนจะรอดูข้อมูลเงินเฟ้อจากไทย, ฟิลิปปินส์ และไต้หวันในสัปดาห์นี้ ขณะที่ข้อมูลเงินเฟ้อของเกาหลีใต้และอินโดนีเซียชะลอตัวลง โดยเงินเฟ้อในเดือนมิ.ย.ของอินโดนีเซียชะลอตัวกว่าที่คาดไว้
นายอัลวิน ตัน หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์อัตราแลกเปลี่ยนเอเชียจากอาร์บีซี แคปิตอล มาร์เกตส์กล่าวว่า ธนาคารกลางส่วนใหญ่ในเอเชียยกเว้นจีนอาจจะไม่ลดดอกเบี้ยก่อนเฟด แม้เงินเฟ้อชะลอตัวลงอีกก็ตาม เนื่องจากความวิตกเกี่ยวกับการอ่อนค่าของอัตราแลกเปลี่ยน
อัตราแลกเปลี่ยน ณ เวลา 11.44 น.ตามเวลาไทย
COUNTRY |
FX RIC |
FX DAILY % |
FX YTD % |
Japan |
JPY= |
-0.17 |
-12.77 |
China |
CNY=CFXS |
-0.03 |
-2.41 |
India |
INR=IN |
+0.01 |
-0.35 |
Indonesia |
IDR= |
+0.03 |
-6.04 |
Malaysia |
MYR= |
-0.02 |
-2.71 |
Philippines |
PHP= |
+0.04 |
-5.76 |
S.Korea |
KRW=KFTC |
-0.22 |
-7.34 |
Singapore |
SGD= |
-0.06 |
-2.76 |
Taiwan |
TWD=TP |
-0.09 |
-5.89 |
Thailand |
THB=TH |
-0.18 |
-7.19 |
Eikon source text
ภาวะซื้อขายสกุลเงินตลาดเกิดใหม่ในเอเชียซบเซาในวันนี้ ขณะที่วอนอ่อนค่ามากที่สุด ส่วนริงกิต, ดอลลาร์ไต้หวัน และบาททรงตัว
วอนอ่อนค่า 0.4% ขณะที่เกาหลีใต้เปิดเผยว่า การส่งออกเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกันในเดือนมิ.ย. โดยได้แรงหนุนจากความต้องการชิป แต่ก็ชะลอตัวกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้
สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล (PCE)ไม่เปลี่ยนแปลงในเดือนพ.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนเม.ย. และดัชนี PCE เพิ่มขึ้น 2.6% เมื่อเทียบรายปีในเดือนพ.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.7% ในเดือนเม.ย. ขณะที่การใช้จ่ายของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นปานกลาง ซึ่งทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใกล้ที่จะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
เครื่องมือเฟดวอทช์ของซีเอ็มอีพบว่า ตลาดกำลังคาดว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งเป็นอย่างต่ำจากเฟดในปีนี้ โดยมีความเป็นไปได้ 63% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยในเดือนก.ย.
นักลงทุนจะรอดูข้อมูลเงินเฟ้อจากไทย, ฟิลิปปินส์, ไต้หวันและเกาหลีใต้ในสัปดาห์นี้ ซึ่งจะช่วยให้เห็นแรงกดดันปัจจุบันของประเทศในเอเชีย
อัตราแลกเปลี่ยน ณ เวลา 12.05 น.ตามเวลาไทย
COUNTRY |
FX RIC |
FX DAILY % |
FX YTD % |
Japan |
JPY= |
-0.17 |
-12.44 |
China |
CNY=CFXS |
-0.01 |
-2.34 |
India |
INR=IN |
-0.09 |
-0.30 |
Indonesia |
IDR= |
+0.06 |
-5.90 |
Malaysia |
MYR= |
+0.04 |
-2.61 |
Philippines |
PHP= |
-0.34 |
-5.61 |
S.Korea |
KRW=KFTC |
-0.35 |
-6.77 |
Singapore |
SGD= |
+0.00 |
-2.68 |
Taiwan |
TWD=TP |
-0.19 |
-5.46 |
Thailand |
THB=TH |
-0.03 |
-6.98 |
Eikon source text
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการตรวจสอบภาวะวิกฤติประจำปีพบว่า ธนาคารสหรัฐที่ใหญ่ที่สุดมีเงินทุนเพียงพอที่จะต้านทานภาวะปั่นป่วนทางเศรษฐกิจและตลาดที่ร้ายแรง แต่ธนาคารได้รับผลขาดทุนตามสมมติฐานมากขึ้นในปีนี้เนื่องจากพอร์ทการลงทุนที่มีความเสี่ยงมากขึ้น
รายงานพบว่า ธนาคารขนาดใหญ่ 31 แห่งจะต้านทานอัตราว่างงานที่พุ่งสูง, ภาวะผันผวนรุนแรงของตลาด และการดิ่งลงของตลาดสินเชื่อจำนองเพื่อที่อยู่อาศัย และเพื่อการพาณิชย์ และยังคงมีเงินทุนเพียงพอที่จะปล่อยสินเชื่อต่อไปได้ นอกจากนี้ เฟดยังพบว่า ระดับของเงินทุนที่มีคุณภาพสูงของธนาคารเหล่านี้จะลดลงสู่ระดับ 9.9% มาที่ระดับต่ำสุด ซึ่งยังคงสูงเกินเกณฑ์ขั้นต่ำอยู่กว่าสองเท่า
แต่ธนาคารได้รับผลขาดทุนมากขึ้นในปีนี้ และเฟดระบุว่า ผลขาดทุนที่สูงขึ้นดังกล่าวมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงพอร์ทการลงทุนของธนาคารต่างๆ โดยธนาคารที่ถูกทดสอบจะมีผลขาดทุนรวมกัน 6.85 แสนล้านดอลลาร์ภายใต้ฉากทัศน์ร้ายแรงตามสมมติฐาน และโดยเฉลี่ย ธนาคารมีสัดส่วนเงินทุนลดลง 2.8% ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดตั้งแต่ปี 2018
เฟดระบุว่า บัตรเครดิตเป็นสาเหตุที่เฉพาะเจาะจงของผลขาดทุนสำหรับธนาคาร โดยมีสัดส่วนมากกว่า 25% ของผลขาดทุนตามสมมติฐาน และเฟดตั้งข้อสังเกตว่า บัญชีบัตรเครดิตของธนาคารขนาดใหญ่พุ่งขึ้นกว่า 1.00 แสนล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว และอัตราการค้างชำระหนี้พุ่งกว่า 40%--จบ--
Eikon source text
นิวยอร์ค--24 มิ.ย.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า หุ้นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในสหรัฐพุ่งขึ้นสูงมากในปีนี้ และก็อาจจะถึงเวลาที่หุ้นกลุ่มนี้จะชะลอตัวลงแล้ว และปัจจัยนี้ก็อาจจะส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มอื่น ๆ ในสหรัฐที่เคยปรับตัวอย่างอ่อนแอในช่วงต้นปีนี้ ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นมาแล้ว 14.6% จากช่วงต้นปีนี้ แต่การพุ่งขึ้นส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในหุ้นกลุ่มใหญ่เพียง 2 กลุ่มจากทั้งหมด 11 กลุ่ม ซึ่งได้แก่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) ที่พุ่งขึ้น 28.2% จากช่วงต้นปีนี้ และหุ้นกลุ่มบริการการสื่อสารที่ทะยานขึ้น 24.3% จากช่วงต้นปีนี้ ส่วนหุ้นกลุ่มอื่น ๆ ปรับขึ้นในอัตราที่น้อยกว่านี้มาก ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคที่พุ่งขึ้น 9.5% จากช่วงต้นปีนี้, หุ้นกลุ่มการเงินที่ทะยานขึ้น 9.4%, หุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นที่บวกขึ้น 8.7%, หุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับขึ้น 7.5%, หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่บวกขึ้น 7.3%, หุ้นกลุ่มการแพทย์ที่ปรับขึ้น 7.3%, หุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่บวกขึ้น 4.2% และหุ้นกลุ่มวัสดุที่ปรับขึ้น 3.9% ทางด้านหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ดิ่งลงมาแล้ว 5.0% จากช่วงต้นปีนี้
นักลงทุนหลายรายคาดว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐมีแนวโน้มที่แข็งแกร่งในระยะยาว โดยได้รับแรงหนุนจากผลกำไรของบริษัทกลุ่มนี้ และจากกระแสความนิยมในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยปัจจัยดังกล่าวมีส่วนช่วยหนุนให้หุ้นบริษัทเอ็นวิเดียพุ่งขึ้นมาแล้ว 155% จากช่วงต้นปีนี้ อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นที่พุ่งสูงก็ส่งผลให้นักลงทุนกังวลกันว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอาจทะยานขึ้นอย่างร้อนแรงจนเกินไปในช่วงที่ผ่านมา และนักลงทุนก็มองว่า หุ้นบริษัทขนาดเล็ก และหุ้นคุณค่า ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มการเงินและหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม อาจจะเหมาะต่อการเข้าช้อนซื้อในช่วงนี้ ทั้งนี้ นายไมเคิล เพอร์เวส ซีอีโอของบริษัททอลล์แบคเคน แคปิตัล แอดไวเซอร์สกล่าวว่า "หุ้นเอ็นวิเดียพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วมากในช่วงที่ผ่านมา และการพุ่งขึ้นแบบนี้ก็ส่งผลให้คุณไม่ต้องการที่จะเทขายหุ้นดังกล่าวออกมาเป็นคนสุดท้าย" และเขากล่าวเสริมว่า "นักลงทุนต้องการจะลงทุนในการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้น ดังนั้นถ้าหากนักลงทุนขายหุ้นเอ็นวิเดียออกมา ก็มีแนวโน้มสูงที่เงินลงทุนจะไหลเข้าสู่หุ้นคุณค่าและหุ้นกลุ่มวัฏจักรเศรษฐกิจ"
ถ้าหากนักลงทุนโยกย้ายเงินลงทุนออกจากหุ้นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ การทำเช่นนี้ก็จะช่วยลดความกังวลเรื่องการกระจุกตัวในตลาดหุ้นในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยบริษัทเอสแอนด์พี ดาวโจนส์ อินไดเซสรายงานว่า การลงทุนในดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 14% นับตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ แต่ราว 60% ของผลตอบแทนดังกล่าวมาจากบริษัทเพียงแค่ 5 แห่งเท่านั้น ซึ่งได้แก่บริษัทเอ็นวิเดีย, ไมโครซอฟท์, เมตา แพลตฟอร์มส์, แอลฟาเบท และอะเมซอนดอทคอม ทั้งนี้ เริ่มมีสัญญาณบ่งชี้ถึงการชะลอตัวในภาคเทคโนโลยีปรากฏออกมาแล้วในช่วงนี้ โดยหุ้นเอ็นวิเดียดิ่งลงมาแล้วราว 10% จากจุดสูงสุดของวันพฤหัสบดีที่ 20 มิ.ย. และส่งผลให้บริษัทเอ็นวิเดียก้าวลงจากตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
นายเพอร์เวสตั้งข้อสังเกตว่า มีสัญญาณบางประการที่บ่งชี้ว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นมากเกินไปแล้ว โดยสัญญาณดังกล่าวรวมถึงดัชนี RSI สำหรับหุ้นบริษัทที่ใหญ่ที่สุด 6 แห่งในตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งเป็นดัชนีที่ใช้วัดความเร็วและขนาดความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นกลุ่มนี้ โดยดัชนีดังกล่าวได้พุ่งขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ ทั้งนี้ นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยก็คาดการณ์ในทางบวกต่อตลาดหุ้นเป็นอย่างมากด้วย และนักลงทุนบางรายมองว่าสิ่งนี้ถือเป็นเครื่องบ่งชี้แบบสวนกระแส เพราะสิ่งนี้หมายความว่า เป็นเรื่องยากที่จะเกิดเหตุการณ์ที่สร้างความประหลาดใจในทางบวกต่อนักลงทุนได้
ผลสำรวจความเชื่อมั่นของสมาคมนักลงทุนรายย่อยสหรัฐ (AAII) อยู่ที่ระดับ 44% ในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 19 มิ.ย. ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวราว 8% ทางด้านแบงก์ ออฟ อเมริกา โกลบัล รีเสิร์ชระบุในผลสำรวจล่าสุดว่า ระดับความเชื่อมั่นของผู้จัดการกองทุนพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปลายปี 2021 ในขณะที่นักลงทุนปรับลดการถือครองเงินสด และปรับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้น ทั้งนี้ ถึงแม้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีย่อตัวลงในอนาคต ก็ไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่านักลงทุนจะหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นเติบโตเป็นเวลานาน เพราะว่าดัชนี Nasdaq 100 พุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 400% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่ดัชนี Russell 1000 สำหรับหุ้นกลุ่มคุณค่าของสหรัฐปรับขึ้นเพียงราว 70% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มคุณค่าก็บวกขึ้น 5.6% จากช่วงต้นปีนี้ ในขณะที่ดัชนีหุ้นบริษัทขนาดเล็กของสหรัฐปรับลง 0.5% จากช่วงต้นปีนี้--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน