ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
เพื่อเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็วและติดตามตลาดโฟกัสใน 15 นาที
ในโลกของมนุษยชาติ จะไม่มีคำกล่าวใด ๆ ที่ไม่มีจุดยืนใด ๆ หรือคำพูดใด ๆ ที่ไม่มีจุดประสงค์ใด ๆ
อัตราเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน และเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจเชิงนโยบายของธนาคารกลาง ทัศนคติและคำพูดของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยังมีอิทธิพลต่อการกระทำของเทรดเดอร์ในตลาดอีกด้วย
เงินทำให้โลกหมุนไป และสกุลเงินเป็นสินค้าถาวร ตลาดฟอเร็กซ์เต็มไปด้วยความประหลาดใจและความคาดหวัง
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
เพลิดเพลินกับกิจกรรมที่น่าตื่นเต้น ที่นี่ที่ FastBull
ข่าวด่วนล่าสุดและเหตุการณ์ทางการเงินทั่วโลก
ฉันมีประสบการณ์ 5 ปีในการวิเคราะห์ทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนามหภาคและการตัดสินแนวโน้มระยะกลางและระยะยาว ความสนใจของฉันอยู่ที่การพัฒนาของตะวันออกกลาง ตลาดเกิดใหม่ ถ่านหิน ข้าวสาลี และสินค้าเกษตรอื่นๆ
7 ปีของตลาดหุ้น การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โลหะมีค่า และประสบการณ์การซื้อขายและการวิเคราะห์อื่น ๆ โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐาน การสนับสนุนทางเทคนิค มีอคติต่อตรรกะธุรกรรมจากบนลงล่าง โดยเน้นที่วัฏจักรมหภาคและการควบคุมความเสี่ยง การคาดการณ์เชิงทฤษฎีอุปสงค์และอุปทานอเนกประสงค์ การเปลี่ยนแปลงของราคา สร้างสมดุลระหว่างผลกระทบของธุรกรรม การกระจายชิปและอารมณ์ตลาด และคงที่
อัปเดตล่าสุด
สร้างทัศนคติการลงทุนที่ดี
วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ปรัชญาการลงทุนของเขาประกอบด้วยการสร้างกรอบความคิดระยะยาว ขจัดญาณรบกวนของตลาด ไม่เก็งกำไร และเน้นย้ำว่าการลงทุนต้องมีมีจิตใจที่มั่นคงและเป้าหมายที่ชัดเจน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง
แม้ว่าระบบกฎหมายและกรอบการกำกับดูแลในฮ่องกงจะค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ตลาดหุ้นยังคงเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายพิเศษหลายประการ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่าง HKD และ USD นักลงทุนต่างชาติอาจเผชิญกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความผันผวนของนโยบายและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นฮ่องกงด้วย
โครงสร้างต้นทุนและภาษีเมื่อลงทุนในหุ้นฮ่องกง
ต้นทุนการซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมหุ้น ค่าอากรแสตมป์ ค่าธรรมเนียมการชำระบัญชี ฯลฯ สำหรับนักลงทุนต่างชาติอาจมีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินเพิ่มเติมเป็นดอลลาร์ฮ่องกงและภาษีอื่น ๆ ตามข้อบังคับท้องถิ่น
การวิเคราะห์อุตสาหกรรมฮ่องกง:อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็น
อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็นของฮ่องกง ได้แก่ รถยนต์ การศึกษา การท่องเที่ยว การจัดเลี้ยง เครื่องแต่งกาย และภาคส่วนอื่นๆ อีกมากมาย จากบริษัทจดทะเบียน 643 แห่งนั้น 35% เป็นบริษัทในจีนแผ่นดินใหญ่และคิดเป็น 65% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด ดังนั้นอุตสาหกรรมนี้จึงได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากเศรษฐกิจจีน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด
ไม่มีข้อมูล
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม
สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
นิวยอร์ค--10 ก.พ.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดพุ่งขึ้นในวันพุธ ในขณะที่หุ้นบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มเติบโตทะยานขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นก็ได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่สดใสในภาคเอกชนด้วย ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีร่วงลงสู่ 1.945% ในช่วงท้ายวันพุธ หลังจากเพิ่งพุ่งขึ้นแตะ 1.97% ในวันอังคาร ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2019 โดยการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนทั่วโลก และช่วยกระตุ้นคำสั่งซื้อหุ้นเติบโต โดยหุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊กพุ่งขึ้น 5.37% ในวันพุธ หลังจากดิ่งลงเกือบ 1 ใน 3 ในช่วง 4 วันทำการก่อนหน้านั้น นอกจากนี้ ดัชนี S&P 500 ก็ได้รับแรงหนุนเป็นอย่างมากจากหุ้นเอ็นวิเดียที่พุ่งขึ้น 2.2% และหุ้นไมโครซอฟท์ที่ทะยานขึ้น 6.4%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.86% สู่ 35,768.06, ดัชนี S&P 500 ปิดพุ่งขึ้น 1.45% สู่ 4,587.18 และดัชนี Nasdaq ปิดทะยานขึ้น 2.08% สู่ 14,490.37 อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P 500 ดิ่งลงมาแล้วราว 4% จากช่วงต้นปีนี้ และดัชนี Nasdaq รูดลงมาแล้วกว่า 7% จากช่วงต้นปีนี้ หลังจากพุ่งขึ้นเกือบ 21% ในปี 2021 ทั้งนี้ หุ้นทุกกลุ่มใหญ่ในดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นในวันพุธ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ทะยานขึ้น 2.45%
นายทิม กริสคีย์ นักยุทธศาสตร์การลงทุนของบริษัทอิงกัลส์ แอนด์ สไนเดอร์กล่าวว่า "ตลาดพันธบัตรส่งสัญญาณว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้เพียงในวงจำกัดเท่านั้น และการส่งสัญญาณดังกล่าวก็ส่งผลบวกเป็นอย่างมากต่อตลาดหุ้นโดยรวม และส่งผลบวกมากเป็นพิเศษต่อหุ้นเติบโตที่มักจะมีมูลค่าสูง" ทั้งนี้ นักลงทุนรอดูดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพฤหัสบดีนี้ โดยนักลงทุนจะใช้ดัชนี CPI ในการประเมินว่า ธนาคารกลางสหรัฐจะคุมเข้มนโยบายการเงินอย่างรวดเร็วเพียงใดในอนาคต ทางด้านนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์คาดว่า ดัชนี CPI อาจปรับขึ้น 0.5% ในเดือนม.ค.เมื่อเทียบรายเดือน และอาจพุ่งขึ้น 7.3% ในเดือนม.ค.เมื่อเทียบรายปี ซึ่งจะถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1982 หรือจุดสูงสุดในรอบราว 40 ปี
บริษัท 316 แห่งในดัชนี S&P 500 เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 4 ออกมาแล้ว โดยบริษัท 78% ในกลุ่มนี้เปิดเผยผลกำไรที่ดีเกินคาด ทั้งนี้ หุ้นบริษัทชิโพเทิล เม็กซิกัน กริลล์ อิงค์พุ่งขึ้น 10% หลังจากทางบริษัทเปิดเผยยอดขายและผลกำไรที่ดีเกินคาด ส่วนหุ้นยัม แบรนด์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ KFC ทะยานขึ้น 2.2% หลังจากทางบริษัทเปิดเผยยอดขายที่ดีเกินคาด
หุ้นบริษัทเอนเฟส เอ็นเนอร์จี อิงค์พุ่งขึ้น 12% โดยได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และปัจจัยนี้ช่วยหนุนหุ้นตัวอื่น ๆ ในกลุ่มพลังงานแสงอาทิตย์ให้พุ่งขึ้นตามไปด้วย ซึ่งรวมถึงหุ้นซันพาวเวอร์ คอร์ปที่พุ่งขึ้น 6.6% และหุ้นโซลาร์เอดจ์ เทคโนโลยีส์ ที่ทะยานขึ้น 6.9% ทั้งนี้ หุ้นซีวีเอส เฮลธ์ คอร์ปซึ่งเป็นบริษัทประกันสุขภาพดิ่งลง 5.45% หลังจากซีวีเอสคาดการณ์ผลกำไรปี 2022 ในระดับที่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--2 ส.ค.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า การดีดขึ้นของผลกำไรภาคเอกชนและการดิ่งลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) ในช่วงนี้ช่วยจำกัดมูลค่าหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐไม่ให้อยู่ในระดับที่แพงเกินไป และปัจจัยนี้ช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นสหรัฐต่อไป ถึงแม้ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐเคลื่อนตัวอยู่ใกล้สถิติสูงสุด และถึงแม้ตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันจากการพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ และจากการคาดการณ์ที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอการเติบโตลง ทั้งนี้ ถึงแม้ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 17% จากช่วงต้นปีนี้ มูลค่าหุ้นสหรัฐกลับขยับลงนับตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ โดยค่าพีอีเรโชของหุ้นในดัชนี S&P 500 อยู่ที่ 21.4 เท่าของตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรสำหรับช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยร่วงลงจาก 22.7 เท่าในเดือนม.ค. แต่ยังคงอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 15.4 เท่า
นายปีเตอร์ ทูซ ประธานบริษัทเชส อินเวสท์เมนท์ เคาน์เซลกล่าวว่า "ผมคิดว่าตลาดหุ้นยังคงเป็นสถานที่ที่น่าลงทุน เพราะถึงแม้ว่ามูลค่าหุ้นอยู่ในระดับสูง ปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นก็ยังคงอยู่ในภาวะที่ดี นอกจากนี้ บริษัทส่วนใหญ่ก็มีผลประกอบการรายไตรมาสที่ดีมาก และมีแนวโน้มที่ดีมากด้วย" ทั้งนี้ นักลงทุนมุ่งความสนใจไปยังมูลค่าหุ้นในช่วงนี้ ในขณะที่นักลงทุนพยายามประเมินปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อทิศทางตลาดในช่วงหลายเดือนข้างหน้า โดยปัจจัยเหล่านี้รวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐที่มีแนวโน้มชะลอการเติบโตลง, การพุ่งขึ้นของยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา และแผนการของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในการปรับลดขนาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
นักลงทุนจะจับตาดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.ค.ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันศุกร์ที่ 6 ส.ค. และรอดูผลประกอบการที่บริษัทสหรัฐจะรายงานออกมาในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะผลประกอบการของบริษัทอีไล ลิลลี ซึ่งทำธุรกิจเวชภัณฑ์, ซีวีเอส เฮลธ์ ซึ่งทำธุรกิจประกันสุขภาพ และเจเนอรัล มอเตอร์ส (GM) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ในตอนนี้ว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจพุ่งขึ้น 87.2% ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบรายปี โดยปรับขึ้นจากระดับ 65.4% ที่เคยคาดการณ์ไว้ในช่วงต้นเดือนก.ค. และการที่บริษัทสหรัฐรายงานผลกำไรที่สูงเกินคาดอย่างต่อเนื่องจะช่วยจำกัดมูลค่าหุ้นไม่ให้พุ่งสูงเกินไป ทั้งนี้ ธนาคารเครดิต สวิสคาดการณ์ว่า ดัชนี S&P 500 อาจจะปิดตลาดสิ้นปีนี้ที่ 4,600 โดยพุ่งขึ้นราว 4% จากระดับปิดวันพฤหัสบดีที่แล้วที่ 4,419.15 ส่วนธนาคารโกลด์แมน แซคส์ระบุว่า ทางธนาคารคาดว่าดัชนี S&P 500 อาจจะปิดตลาดสิ้นปีนี้ที่ 4,300 โดยตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีอยู่ที่ 1.9% แต่ถ้าหากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอยู่ที่ 1.6% ระดับที่เหมาะสมของดัชนี S&P ก็จะพุ่งขึ้นสู่ 4,700 ในช่วงสิ้นปีนี้
นักลงทุนมองว่าหุ้นมีความน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีดิ่งลงราว 0.55% จากระดับ 1.776% ในวันที่ 30 มี.ค. สู่ระดับ 1.226% ในช่วงท้ายวันศุกร์ที่ผ่านมา ทั้งนี้ สถาบันการลงทุนเวลส์ ฟาร์โกระบุว่า ค่าพรีเมียมความเสี่ยงของหุ้น ซึ่งเป็นส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนจากผลกำไรของหุ้นกับอัตราดอกเบี้ยของพันธบัตร อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับแนวโน้มในอดีตที่บ่งชี้ว่า ดัชนี S&P 500 จะพุ่งขึ้น 15.2% ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
นักลงทุนบางรายกังวลกับมูลค่าหุ้นที่อยู่ในระดับสูงในช่วงนี้ ในขณะที่ค่า CAPE ซึ่งเป็นค่าพีอีเรโชที่ปรับตามวัฏจักรเศรษฐกิจ ส่งสัญญาณเตือนออกมา โดยค่า CAPE ได้พุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดในรอบกว่า 20 ปีในช่วงนี้ ทั้งนี้ นายแจ็ค เอบลิน หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัทเครสเซนท์ แคปิตัล แมเนจเมนท์กล่าวว่า การพุ่งขึ้นของค่า CAPE ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ทางบริษัทตัดสินใจปรับลดการลงทุนในหุ้นโดยรวมลงในช่วงต้นปีนี้สำหรับพอร์ตลงทุนที่มีระยะเวลาการลงทุนอย่างน้อย 7 ปี และเขากล่าวเสริมว่า "มูลค่าหุ้นอยู่ในระดับที่สูงมาก ดังนั้นตลาดหุ้นจึงไม่ใช่สถานที่ที่น่าลงทุนมากนักในระยะยาว"--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--30 ก.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกขึ้นในวันพฤหัสบดี และดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์กับดัชนี S&P 500 ได้ขึ้นไปแตะสถิติสูงสุดใหม่ในระหว่างวัน โดยดัชนีได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทสหรัฐ และจากรายงานคาดการณ์ในทางบวกของบริษัทสหรัฐ ในขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวขึ้นในไตรมาส 2 จนกลับมาอยู่ในระดับเดียวกับในช่วงก่อนเกิดวิกฤติโรคระบาด ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เติบโต 6.5% ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบเป็นตัวเลขเต็มปี (annualised) แต่อัตราการเติบโตดังกล่าวอยู่ต่ำกว่าระดับ 8.5% ที่นักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ดี จีดีพีสหรัฐในตอนนี้ปรับขึ้นมาแล้ว 0.8% เมื่อเทียบกับระดับในไตรมาส 4/2019 และสิ่งนี้ส่งผลให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังภาวะถดถอยในครั้งนี้ถือเป็นการฟื้นตัวที่รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ โดยก่อนหน้านี้เศรษฐกิจสหรัฐเคยใช้เวลานานถึง 3 ปีครึ่งในการฟื้นตัวหลังเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในปี 2007-09
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.44% สู่ 35,084.53, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับขึ้น 0.42% สู่ 4,419.15 หลังจากพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 4,429.97 ในระหว่างวัน และดัชนี Nasdaq ปิดขยับขึ้น 0.11% สู่ 14,778.26 ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากในวันพฤหัสบดีคือหุ้นกลุ่มที่มักปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มการเงิน, กลุ่มวัสดุ และกลุ่มพลังงาน ทางด้านดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ในระหว่างวัน ก่อนจะปิดตลาดร่วงลง 0.2%
ตลาดหุ้นได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่สดใสในภาคเอกชน โดยหุ้นฟอร์ด มอเตอร์ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์พุ่งขึ้น 3.8% หลังจากฟอร์ด มอเตอร์ปรับขึ้นตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรสำหรับปีนี้ ส่วนหุ้นยัม แบรนด์ส อิงค์ ซึ่งเป็นเจ้าของเครือข่ายร้านอาหาร KFC ทะยานขึ้น 6.3% หลังจากยัม แบรนด์สเปิดเผยยอดขายรายไตรมาสที่สูงเกินคาด ทั้งนี้ บริษัทราวครึ่งหนึ่งในดัชนี S&P 500 เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ออกมาแล้ว และบริษัทเกือบ 91% ในกลุ่มนี้เปิดเผยผลกำไรที่ดีเกินคาด ในขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่า บริษัทในดัชนี S&P 500 อาจมีผลกำไรพุ่งขึ้น 87.2% ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบรายปี
หุ้นเทสลา อิงค์ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพุ่งขึ้น 4.7% และถือเป็นหุ้นที่ส่งแรงบวกต่อดัชนี S&P 500 มากที่สุด ในขณะที่หุ้นแอปเปิลปิดบวกขึ้น 0.46% ในวันพฤหัสบดี หลังจากร่วงลงในวันพุธ โดยหุ้นแอปเปิลถือเป็นหุ้นที่ส่งแรงบวกต่อดัชนี S&P 500 มากเป็นอันดับสอง ทั้งนี้ หุ้นเฟซบุ๊กดิ่งลง 4% ในวันพฤหัสบดี ในขณะที่เฟซบุ๊กประกาศเตือนว่า รายได้ของเฟซบุ๊กอาจจะชะลอการเติบโตลงอย่างรุนแรง หลังจากบริษัทแอปเปิล อิงค์ปรับปรุงระบบปฏิบัติการ iOS เพราะการปรับปรุงดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อความสามารถของเฟซบุ๊กในการตั้งเป้าหมายโฆษณาให้ตรงกับกลุ่มลูกค้า
นักวิเคราะห์บางรายระบุว่า ตัวเลขจีดีพีสหรัฐที่เติบโตต่ำเกินคาดอาจจะช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไปเป็นเวลานาน ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐเพิ่งได้รับแรงหนุนในวันพุธ หลังจากเฟดระบุว่า ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เฟดจะเริ่มต้นปรับลดขนาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ผู้บริหารของบริษัทที่ผลิตทุกสิ่งอย่างนับตั้งแต่ชิ้นส่วนเครื่องบินไปจนถึงรถยนต์ และสเต็ก เบอร์ริโตมีความเห็นต่างจากผู้กำหนดนโยบายด้านเศรษฐกิจเกี่ยวกับระยะเวลาในการพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐ และมองว่า ราคาที่เพิ่มขึ้นจะกระทบกำไรขั้นต้น และผลกำไรตลอดช่วงที่เหลือของปีนี้
บริษัทขนาดใหญ่กำลังส่งสัญญาณเตือนมากขึ้นในการแถลงผลประกอบการรายไตรมาสของพวกเขา ขณะที่พวกเขายังคงพยายามอย่างหนักเพื่อรับมือกับปัญหาขัดข้องด้านห่วงโซ่อุปทาน และการขาดแคลนแรงงานที่ทำให้ราคาพุ่งขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจกำลังกลับไปสู่ภาวะปกติหลังการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19
แต่ผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์เกือบ 500 คนทั่วโลกในเดือนนี้พบว่า อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในประเทศที่สำคัญทั่วโลกจะเกิดขึ้นชั่วคราว โดยนักเศรษฐศาสตร์กว่า 70% ระบุว่า การเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกในขณะนี้เกิดขึ้นชั่วคราว
อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเป็นประเด็นสนใจในทันทีของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และผู้กำหนดนโยบายทั่วโลกในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่มีความเห็นต่างกันมากขึ้นระหว่างกลุ่มผู้ที่กังวลว่า ราคาอาจจะกลับไปสู่กรอบก่อนเกิดโรคระบาดซึ่งประเทศต่างๆต้องการเวลามากกว่านี้ในการขยายตัว--จบ--
นิวยอร์ค--21 ก.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันอังคาร หลังจากร่วงลงติดต่อกันหลายวันในช่วงที่ผ่านมา โดยตลาดหุ้นได้รับแรงหนุนจากรายงานผลประกอบการภาคเอกชนที่แข็งแกร่ง และจากการคาดการณ์ในทางบวกต่อเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นคำสั่งซื้อสินทรัพย์เสี่ยง ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มที่มักปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มขนส่ง และหุ้นบริษัทขนาดเล็ก โดยดัชนี Russell 2000 สำหรับหุ้นบริษัทขนาดเล็กปิดพุ่งขึ้น 2.99% นอกจากนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารก็ทะยานขึ้น 2.6% โดยได้รับแรงหนุนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีที่ดีดขึ้นสู่ 1.209% ในช่วงท้ายวันอังคาร หลังจากดิ่งลงแตะ 1.128% ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดรอบ 5 เดือน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 1.62% สู่ 34,511.99 หลังจากเพิ่งดิ่งลงในวันจันทร์ในอัตราที่รุนแรงที่สุดในรอบ 9 เดือน, ดัชนี S&P 500 ปิดทะยานขึ้น 1.52% สู่ 4,323.06 ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. หลังจากดัชนี S&P 500 ปิดตลาดในแดนลบมานานติดต่อกัน 3 วัน และดัชนี Nasdaq ปิดพุ่งขึ้น 1.57% สู่ 14,498.88 หลังจากปิดตลาดในแดนลบมานานติดต่อกัน 5 วัน ทั้งนี้ หุ้น 10 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดในแดนบวก โดยมีเพียงแค่หุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นที่ไม่ได้ปิดตลาดในแดนบวกในวันอังคาร ส่วนหุ้นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุดคือหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ทะยานขึ้น 2.7%
นายชัค คาร์ลสัน ซีอีโอของบริษัทฮอไรซัน อินเวสท์เมนท์ เซอร์วิสเซสกล่าวว่า "นักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไรในช่วงนี้ และหุ้นกลุ่มที่มักปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจก็ทะยานขึ้นในวันอังคาร" และเขากล่าวเสริมว่า "การปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรประเภทอายุ 10 ปีบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะไม่ทรุดตัวลงอย่างรุนแรง" ทั้งนี้ ตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันในช่วงหลายวันที่ผ่านมาจากความกังวลของนักลงทุนที่มีต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์เดลตา
บริษัท 56 แห่งในดัชนี S&P 500 เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ออกมาแล้ว โดยบริษัท 91% ในกลุ่มนี้เปิดเผยผลกำไรที่ดีเกินคาด และนักวิเคราะห์ก็คาดว่า บริษัทในดัชนี S&P 500 อาจมีผลกำไรไตรมาสสองพุ่งขึ้น 72.9% เมื่อเทียบรายปี โดยปรับขึ้นจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ 54% ที่เคยคาดไว้ในช่วงต้นไตรมาส 2
หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการแหล่งน้ำมันพุ่งขึ้น 3.7% หลังจากการดีดขึ้นของราคาน้ำมันดิบช่วยกระตุ้นอุปสงค์ในบริการแหล่งน้ำมัน และส่งผลให้ฮัลลิเบอร์ตันมีผลกำไรรายไตรมาสเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน ทั้งนี้ หุ้นโมเดอร์นาซึ่งเป็นผู้ผลิตวัคซีนโรคโควิด-19 ดิ่งลง 2% ก่อนที่หุ้นโมเดอร์นาจะได้รับการบรรจุเข้าเป็นส่วนหนึ่งของดัชนี S&P 500 ในวันพุธนี้--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน