ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
เพื่อเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็วและติดตามตลาดโฟกัสใน 15 นาที
ในโลกของมนุษยชาติ จะไม่มีคำกล่าวใด ๆ ที่ไม่มีจุดยืนใด ๆ หรือคำพูดใด ๆ ที่ไม่มีจุดประสงค์ใด ๆ
อัตราเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน และเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจเชิงนโยบายของธนาคารกลาง ทัศนคติและคำพูดของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยังมีอิทธิพลต่อการกระทำของเทรดเดอร์ในตลาดอีกด้วย
เงินทำให้โลกหมุนไป และสกุลเงินเป็นสินค้าถาวร ตลาดฟอเร็กซ์เต็มไปด้วยความประหลาดใจและความคาดหวัง
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
เพลิดเพลินกับกิจกรรมที่น่าตื่นเต้น ที่นี่ที่ FastBull
ข่าวด่วนล่าสุดและเหตุการณ์ทางการเงินทั่วโลก
ฉันมีประสบการณ์ 5 ปีในการวิเคราะห์ทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนามหภาคและการตัดสินแนวโน้มระยะกลางและระยะยาว ความสนใจของฉันอยู่ที่การพัฒนาของตะวันออกกลาง ตลาดเกิดใหม่ ถ่านหิน ข้าวสาลี และสินค้าเกษตรอื่นๆ
7 ปีของตลาดหุ้น การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โลหะมีค่า และประสบการณ์การซื้อขายและการวิเคราะห์อื่น ๆ โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐาน การสนับสนุนทางเทคนิค มีอคติต่อตรรกะธุรกรรมจากบนลงล่าง โดยเน้นที่วัฏจักรมหภาคและการควบคุมความเสี่ยง การคาดการณ์เชิงทฤษฎีอุปสงค์และอุปทานอเนกประสงค์ การเปลี่ยนแปลงของราคา สร้างสมดุลระหว่างผลกระทบของธุรกรรม การกระจายชิปและอารมณ์ตลาด และคงที่
อัปเดตล่าสุด
สร้างทัศนคติการลงทุนที่ดี
วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ปรัชญาการลงทุนของเขาประกอบด้วยการสร้างกรอบความคิดระยะยาว ขจัดญาณรบกวนของตลาด ไม่เก็งกำไร และเน้นย้ำว่าการลงทุนต้องมีมีจิตใจที่มั่นคงและเป้าหมายที่ชัดเจน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง
แม้ว่าระบบกฎหมายและกรอบการกำกับดูแลในฮ่องกงจะค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ตลาดหุ้นยังคงเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายพิเศษหลายประการ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่าง HKD และ USD นักลงทุนต่างชาติอาจเผชิญกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความผันผวนของนโยบายและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นฮ่องกงด้วย
โครงสร้างต้นทุนและภาษีเมื่อลงทุนในหุ้นฮ่องกง
ต้นทุนการซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมหุ้น ค่าอากรแสตมป์ ค่าธรรมเนียมการชำระบัญชี ฯลฯ สำหรับนักลงทุนต่างชาติอาจมีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินเพิ่มเติมเป็นดอลลาร์ฮ่องกงและภาษีอื่น ๆ ตามข้อบังคับท้องถิ่น
การวิเคราะห์อุตสาหกรรมฮ่องกง:อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็น
อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็นของฮ่องกง ได้แก่ รถยนต์ การศึกษา การท่องเที่ยว การจัดเลี้ยง เครื่องแต่งกาย และภาคส่วนอื่นๆ อีกมากมาย จากบริษัทจดทะเบียน 643 แห่งนั้น 35% เป็นบริษัทในจีนแผ่นดินใหญ่และคิดเป็น 65% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด ดังนั้นอุตสาหกรรมนี้จึงได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากเศรษฐกิจจีน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด
ไม่มีข้อมูล
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม
สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
นิวยอร์ค--3 ส.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันอังคาร หลังจากแกว่งตัวผันผวนในระหว่างวัน ในขณะที่ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น หลังจากนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐเดินทางเยือนไต้หวัน โดยนางเพโลซีถือเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงสุดของสหรัฐที่เดินทางเยือนไต้หวันในรอบ 25 ปี ทั้งนี้ นางเพโลซีกล่าวว่า การเดินทางเยือนไต้หวันของเธอสะท้อนให้เห็นถึงความสามัคคีกันระหว่างสหรัฐกับไต้หวัน แต่จีนประณามการเดินทางเยือนไต้หวันครั้งนี้ว่าเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพและเสถียรภาพ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดดิ่งลง 1.23% สู่ 32,396.30, ดัชนี S&P 500 ปิดร่วงลง 0.67% สู่ 4,091.19 และดัชนี Nasdaq ปิดขยับลง 0.16% สู่ 12,348.76 ทั้งนี้ หุ้นทั้ง 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลงในวันอังคาร โดยดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ดิ่งลง 1.3% และถือเป็นกลุ่มที่ดิ่งลงมากที่สุด ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินรูดลง 1.1% ทางด้านหุ้นบริษัทไมโครซอฟท์ร่วงลง 1.1% ส่วนหุ้นบริษัทวีซ่าดิ่งลง 2.4% และส่งผลลบต่อดัชนี S&P 500
หุ้นบริษัทผู้ผลิตชิปที่มีธุรกิจในจีนปรับตัวอย่างไร้ทิศทางในวันอังคาร โดยหุ้นบริษัทแอดวานซ์ ไมโคร ดีไวเซส (AMD) พุ่งขึ้น 2.6% ในวันอังคาร ก่อนที่ AMD จะรายงานผลประกอบการรายไตรมาสหลังจากตลาดปิดทำการ ส่วนหุ้นแคเทอร์พิลลาร์ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในภาคอุตสาหกรรมดิ่งลง 5.8% หลังจากแคเทอร์พิลลาร์ประกาศเตือนว่า อุปสงค์ในรถขุดของแคเทอร์พิลลาร์ในจีนอาจจะดิ่งลงอย่างรุนแรง ในขณะที่แคเทอร์พิลลาร์ประสบปัญหาอยู่แล้วจากการขาดตอนในห่วงโซ่อุปทาน อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มอาวุธของสหรัฐพุ่งขึ้น โดยหุ้นบริษัทเรย์ธีออน เทคโนโลยีส์, ล็อคฮีด มาร์ติน, นอร์ธรอป กรัมแมน และแอลธรีแฮร์ริส เทคโนโลยีส์ปิดบวกขึ้น 0.5-2.3% เนื่องจากสหรัฐเป็นผู้ขายอาวุธรายใหญ่ให้แก่ไต้หวัน
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานผลสำรวจตำแหน่งงานว่างและการเข้า-ออกงาน (JOLTS) ในวันอังคาร โดยระบุว่ายอดการเปิดรับสมัครงานในสหรัฐดิ่งลงในเดือนมิ.ย.ในระดับที่รุนแรงที่สุดในรอบกว่า 2 ปี ในขณะที่ความต้องการคนงานชะลอตัวลงในภาคค้าปลีกและภาคค้าส่ง แต่ตลาดแรงงานโดยรวมยังคงอยู่ในภาวะตึงตัว ทั้งนี้ ยอดการเปิดรับสมัครงานในสหรัฐดิ่งลง 605,000 ตำแหน่ง สู่ 10.7 ล้านตำแหน่งในวันสุดท้ายของเดือนมิ.ย. ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2021 และการดิ่งลงในเดือนมิ.ย.นี้ถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2020 อย่างไรก็ดี มีคนงานอย่างน้อย 4.2 ล้านคนที่สมัครใจลาออกจากงานในเดือนมิ.ย.
ผลประกอบการภาคเอกชนที่สดใสช่วยหนุนตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยดัชนี S&P 500 ดีดขึ้นมาแล้วราว 12% จากจุดต่ำสุดของช่วงกลางเดือนมิ.ย. ทั้งนี้ หุ้นอูเบอร์ เทคโนโลยีส์ อิงค์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเรียกรถพุ่งขึ้น 18.9% หลังจากอูเบอร์รายงานว่า ทางบริษัทมีกระแสเงินสดรายไตรมาสเป็นบวกเป็นครั้งแรก และอูเบอร์คาดการณ์ในทางบวกต่อผลกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสสาม ทางด้านหุ้นเทสลาพุ่งขึ้น 1.1% หลังจากซิตี้กรุ๊ปปรับขึ้นราคาเป้าหมายของหุ้นเทสลา โดยหุ้นเทสลามีมูลค่าการซื้อขาย 2.87 หมื่นล้านดอลลาร์ในวันอังคาร และครองตำแหน่งหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายมากที่สุดในดัชนี S&P 500 ในวันอังคาร--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--7 ก.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐแกว่งตัวผันผวนในระหว่างวัน ก่อนจะปิดตลาดในแดนบวกในวันพุธ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมกำหนดนโยบายประจำวันที่ 14-15 มิ.ย.ในวันพุธ โดยรายงานดังกล่าวระบุว่า ภาวะเงินเฟ้อที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และความกังวลที่ว่าประชาชนจะหมดศรัทธาในเฟดส่งผลให้เจ้าหน้าที่เฟดสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% และสนับสนุนให้เฟดประกาศย้ำถึงความตั้งใจที่จะควบคุมภาวะเงินเฟ้อ ทั้งนี้ รายงานการประชุมระบุอีกด้วยว่า เจ้าหน้าที่เฟดมองว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% หรือ 0.75% มีแนวโน้มว่าจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมในการประชุมประจำวันที่ 26-27 ก.ค.
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.23% สู่ 31,037.68, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับขึ้น 0.36% สู่ 3,845.08 และดัชนี Nasdaq ปิดบวกขึ้น 0.35% สู่ 11,361.85 ทั้งนี้ หุ้น 8 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดในแดนบวก โดยหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคและหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีถือเป็นหุ้น 2 กลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลง 1.7% ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบรูดลงมาปิดตลาดที่ระดับปิดต่ำสุดรอบ 12 สัปดาห์ โดยได้รับแรงกดดันจากความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอย
รายงานการประชุมเฟดระบุว่า เจ้าหน้าที่เฟดกังวลว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจจะส่งผลกระทบมากเกินคาดต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ นายเจสัน ไพรด์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัทเกลนมีดกล่าวว่า "ผมคิดว่านักลงทุนมุ่งความสนใจไปยังอัตราดอกเบี้ยขั้นสุดท้ายในวัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด" และเขาตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าหากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สิ่งนี้ก็บ่งชี้ว่าอัตราดอกเบี้ยขั้นสุดท้ายอาจจะอยู่ที่ 3% แต่ถ้าหากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% อัตราดอกเบี้ยขั้นสุดท้ายก็อาจจะอยู่ที่ 3.25% หรือ 3.5% โดยอัตราดอกเบี้ยที่ระดับตั้งแต่ 3.5% ขึ้นไปจะส่งผลให้มีโอกาสราว 50% ที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอย
หุ้นอูเบอร์ เทคโนโลยีส์ดิ่งลง 4.5% ส่วนหุ้นดอร์แดชรูดลง 7.4% หลังจากบริษัทอะเมซอนดอทคอมตกลงที่จะเข้าถือหุ้น 2% ในกรับฮับ ซึ่งเป็นธุรกิจจัดส่งอาหารในสหรัฐของบริษัทจัสท์ อีท เทคอะเวย์ดอทคอมของเนเธอร์แลนด์
หุ้นริเวียน ออโตโมทีฟ ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพุ่งขึ้น 10.4% ในวันพุธ หลังจากริเวียนรายงานว่าทางบริษัทจัดส่งยานพาหนะได้ 4,467 คันในไตรมาสสอง ซึ่งสูงเกือบเป็น 4 เท่าของไตรมาสแรก โดยริเวียนได้รับแรงหนุนจากการปรับเพิ่มการผลิตและจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นายเจมี ไดมอน ประธานและซีอีโอบริษัทเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โคเปรียบความท้าทายต่างๆที่เศรษฐกิจสหรัฐกำลังเผชิญอยู่ว่าเหมือนกับ "พายุเฮอริเคน" ในอนาคต และเรียกร้องให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ดำเนินมาตรการที่เข้มข้นเพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้เศรษฐกิจเผชิญกับภาวะถดถอย
เขากล่าวว่า "เฟดต้องเผชิญกับความท้าทายในขณะนี้ด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ย และมาตรการคุมเข้มเชิงปริมาณ (QT) ซึ่งตามความเห็นของผม พวกเขาต้องทำ QT พวกเขาไม่มีทางเลือก เพราะมีสภาพคล่องมากมายในระบบ"
เขากล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบันเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน "เป็นพายุเฮอริเคน ในขณะนี้ อากาศแจ่มใส สิ่งต่างๆอยู่ในเกณฑ์ดี ทุกคนคิดว่าเฟดสามารถจัดการได้ แต่เฮอริเคนลูกนั้นกำลังจะเกิดขึ้น เราแค่ไม่รู้ว่า จะเป็นพายุลูกเล็กๆ หรือเป็นเฮอริเคนแซนดี้"--จบ--
นิวยอร์ค--29 เม.ย.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันพฤหัสบดี หลังจากบริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊กเปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสที่แข็งแกร่ง และผลประกอบการดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นเติบโต หลังจากหุ้นเหล่านี้เคยดิ่งลงอย่างรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา และปัจจัยบวกนี้ช่วยลดแรงกดดันที่ตลาดหุ้นได้รับจากรายงานที่ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐหดตัวลงอย่างพลิกความคาดหมายในไตรมาสแรกด้วย ทั้งนี้ หุ้นเมตาพุ่งขึ้น 17.6% หลังจากเมตารายงานว่า ผลกำไรอยู่ที่ 2.72 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 2.56 ดอลลาร์ต่อหุ้น ส่วนจำนวนผู้ใช้เฟซบุ๊กรายวันอยู่ที่ 1.96 พันล้านราย ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 1.95 พันล้านราย ทางด้านหุ้นแอปเปิลซึ่งถือเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกพุ่งขึ้น 4.52% ในวันพฤหัสบดี ส่วนหุ้นอะเมซอนดอทคอมทะยานขึ้น 4.65% ก่อนที่แอปเปิลและอะเมซอนจะเปิดเผยผลประกอบการหลังจากตลาดปิดทำการในวันพฤหัสบดี
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 1.85% สู่ 33,916.39, ดัชนี S&P 500 ปิดพุ่งขึ้น 2.47% สู่ 4,287.50 และดัชนี Nasdaq ปิดทะยานขึ้น 3.06% สู่ 12,871.53 อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq ยังคงดิ่งลงมาแล้วเกือบ 10% จากช่วงต้นเดือนเม.ย. และอาจจะปิดตลาดเดือนเม.ย.ด้วยการดิ่งลงรายเดือนครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2020 ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มบริการการสื่อสารพุ่งขึ้น 4.04% ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทะยานขึ้น 3.89% ในวันพฤหัสบดี อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มเติบโตสูงเผชิญกับแรงเทขายในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยได้รับแรงกดดันจากความกังวลเรื่องภาวะเงินเฟ้อ, การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐหดตัวลง 1.4% ในไตรมาสแรกเมื่อเทียบเป็นตัวเลขเต็มปี (annualized) หลังจากพุ่งขึ้น 6.9% ในไตรมาส 4/2021 และสวนทางกับโพลล์รอยเตอร์ที่คาดว่า จีดีพีอาจเติบโต 1.1% ในไตรมาสแรก โดยเศรษฐกิจสหรัฐได้รับแรงกดดันในไตรมาสแรกจากการระบาดระลอกใหม่ของโรคโควิด-19 และจากการที่เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐสำหรับวิกฤติโรคระบาดดิ่งลง นอกจากนี้ จีดีพีสหรัฐก็ได้รับแรงกดดันจากการพุ่งขึ้นของยอดขาดดุลการค้า และจากอัตราการปรับเพิ่มสต็อกสินค้าคงคลังที่ชะลอตัวลงด้วย โดยการหดตัวของจีดีพีในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 2 ปี ทั้งนี้ ยอดขาดดุลการค้าส่งผลลบ 3.20% ต่ออัตราการเติบโตของจีดีพีในไตรมาสแรก ซึ่งถือเป็นการส่งผลลบครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 3/2020 และถือเป็นการส่งผลลบเป็นไตรมาสที่ 7 ติดต่อกัน ทางด้านสต็อกสินค้าคงคลังในภาคธุรกิจสหรัฐปรับขึ้นในอัตรา 1.587 แสนล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรก โดยชะลอตัวลงจากอัตรา 1.932 แสนล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4/2021 และส่งผลให้การลงทุนในสต็อกสินค้าคงคลังส่งผลลบ 0.84% ต่ออัตราการเติบโตของจีดีพีไตรมาสแรก
บริษัท 237 แห่งในดัชนี S&P 500 เปิดเผยผลประกอบการไตรมาสแรกออกมาแล้ว และบริษัท 81% ในกลุ่มนี้เปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ 66% ทั้งนี้ หุ้นควอลคอมม์ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปพุ่งขึ้น 9.7% หลังจากควอลคอมม์คาดการณ์รายได้ไตรมาสสามที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ทางด้านดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐพุ่งขึ้น 5.6% ในวันพฤหัสบดี ซึ่งถือเป็นการทะยานขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 1 ปี
หุ้นแคเทอร์พิลลาร์ร่วงลง 0.7% หลังจากแคเทอร์พิลลาร์ประกาศเตือนว่า อัตราผลกำไรในไตรมาสปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะได้รับแรงกดดันจากต้นทุนที่พุ่งสูงขึ้น--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--28 เม.ย.--รอยเตอร์
ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกขึ้นในวันพุธ หลังจากดิ่งลงอย่างรุนแรงในวันอังคาร โดยดัชนีได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นบริษัทไมโครซอฟท์และหุ้นบริษัทวีซ่า หลังจากบริษัททั้งสองคาดการณ์รายได้ที่แข็งแกร่ง โดยปัจจัยบวกดังกล่าวช่วยลดความกังวลของนักลงทุนที่มีต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ หุ้นไมโครซอฟท์ซึ่งทำธุรกิจซอฟท์แวร์พุ่งขึ้น 4.81% ในวันพุธ หลังจากไมโครซอฟท์คาดการณ์รายได้ที่แข็งแกร่งในช่วงเย็นวันอังคาร ส่วนหุ้นวีซ่าทะยานขึ้น 6.47% ในวันพุธ หลังจากวีซ่าคาดการณ์ว่ารายได้จะอยู่สูงกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤติโรคระบาด
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.19% สู่ 33,301.93, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับขึ้น 0.21% สู่ 4,183.96 และดัชนี Nasdaq ปิดขยับลง 0.01% สู่ 12,488.93 โดยระดับปิดของ Nasdaq ในวันพุธถือเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2020 ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มบริการการสื่อสารของสหรัฐดิ่งลง 2.6% ในวันพุธ ในขณะที่หุ้นแอลฟาเบทซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิลรูดลง 3.7% หลังจากแอลฟาเบทรายงานว่า ยอดขายโฆษณารายไตรมาสในยูทูบชะลอตัวลง และรายได้อยู่ในระดับต่ำเกินคาด
หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊กปิดดิ่งลง 3.3% ในวันพุธ ก่อนที่เมตาจะเปิดเผยผลประกอบการหลังจากตลาดปิดทำการ ทางด้านหุ้นโบอิ้งดิ่งลง 7.5% หลังจากโบอิ้งประกาศว่าโบอิ้งจะระงับการผลิตเครื่องบินรุ่น 777X จนถึงสิ้นปี 2023 โดยมีสาเหตุมาจากปัญหาด้านการออกใบรับรอง และมีสาเหตุมาจากอุปสงค์ที่อ่อนแอในเครื่องบินลำตัวกว้าง
บริษัท 176 แห่งในดัชนี S&P 500 รายงานผลประกอบการออกมาแล้ว และบริษัทเกือบ 80% ในกลุ่มนี้รายงานผลกำไรที่ดีเกินคาด ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ 66% ทั้งนี้ หุ้นสปอติฟาย เทคโนโลยีดิ่งลง 12.44% ในวันพุธ หลังจากสปอติฟายคาดการณ์รายได้ไตรมาสปัจจุบันในระดับต่ำ
หุ้นเทสลาฟื้นตัวขึ้น 0.6% ในวันพุธ หลังจากดิ่งลง 12% ในวันอังคาร ในขณะที่นักลงทุนกังวลว่า นายอีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลาอาจจะขายหุ้นบางส่วนในเทสลาออกมา เพื่อหาเงินมาใช้ในการทำข้อตกลงขนาด 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อซื้อบริษัททวิตเตอร์ ทั้งนี้ หุ้นแมทเทลซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตของเล่นพุ่งขึ้นเกือบ 11% ในวันพุธ หลังจากแหล่งข่าวกล่าวว่าแมทเทลกำลังพิจารณาเรื่องการขายกิจการ--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--9 พ.ย.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดขยับขึ้นเล็กน้อยในวันจันทร์ โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับขึ้นมาปิดตลาดที่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่เป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน ส่วนดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq ปรับขึ้นมาปิดตลาดที่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่เป็นวันที่ 8 ติดต่อกัน โดยตลาดหุ้นสหรัฐได้รับแรงหนุนจากการที่สภาคองเกรสผ่านร่างกฎหมายการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน อย่างไรก็ดี ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐลดช่วงบวกลงมาบ้างก่อนปิดตลาด ในขณะที่หุ้นบริษัทเทสลาซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าดิ่งลง 4.9% และถือเป็นหุ้นที่ถ่วงดัชนี S&P 500 ลงมากที่สุด หลังจากนายอีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลาเปิดการโหวตทางทวิตเตอร์ในประเด็นที่ว่า เขาควรจะขายหุ้นเทสลาราว 10% ของหุ้นที่เขาถือครองไว้หรือไม่ โดยมีผู้โหวตกว่า 3.5 ล้านรายในโพลล์นี้ และ 57.9% โหวตว่าเขาควรขายหุ้น
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.29% สู่ 36,432.22, ดัชนี S&P 500 ปิดขยับขึ้น 0.09% สู่ 4,701.7 และดัชนี Nasdaq ปิดขยับขึ้น 0.07% สู่ 15,982.36 ทั้งนี้ ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น ดัชนีหุ้นกลุ่มวัสดุพุ่งขึ้น 1.2% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคดิ่งลงมากที่สุด ทางด้านหุ้นกลุ่มวัฏจักรเศรษฐกิจปรับขึ้นในวันจันทร์ โดยดัชนีฟิลาเดลเฟีย เอสอีสำหรับหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์พุ่งขึ้น 1.25% มาปิดตลาดที่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ในวันจันทร์
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมและหุ้นกลุ่มวัสดุได้รับแรงหนุน หลังจากสภาคองเกรสผ่านร่างกฎหมายการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาด 1 ล้านล้านดอลลาร์ของประธานาธิบดีโจ ไบเดนในวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยข่าวนี้มีส่วนช่วยหนุนหุ้นบริษัทแคเทอร์พิลลาร์, คลีฟแลนด์-คลิฟส์, ฟรีพอร์ท แมคโมแรน และยู.เอส. สตีล คอร์ป ให้พุ่งขึ้น 2.7-6.5% ทั้งนี้ สภาคองเกรสจะหันมาพิจารณาร่างกฎหมายสวัสดิการสังคมของปธน.ไบเดนในช่วงนี้ โดยนายไบรอัน ดีส ที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาวกล่าวว่า สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐมีแนวโน้มที่จะโหวตร่างกฎหมายสวัสดิการสังคมในสัปดาห์หน้า
บริษัท 445 แห่งในดัชนี S&P 500 เปิดเผยผลประกอบการไตรมาสสามออกมาแล้ว และบริษัท 81% ในกลุ่มนี้เปิดเผยผลกำไรที่ดีเกินคาด ทั้งนี้ หุ้นโคตี อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องสำอางพุ่งขึ้น 15.1% หลังจากโคตีปรับขึ้นตัวเลขคาดการณ์ยอดขายรายปี
หุ้นกลุ่มสกุลเงินดิจิทัลและบล็อกเชนพุ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทคอยน์เบส โกลบัล, ไรออท บล็อกเชน, มาราธอน ดิจิทัล โฮลดิงส์ และไมโครสเตรเทจี ที่ทะยานขึ้น 5-18% ในขณะที่อีเธอร์พุ่งขึ้นสู่สถิติสูงสุดใหม่ที่ 4,824.99 ดอลลาร์ และบิทคอยน์ทะยานขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ที่ 67,803.55 ดอลลาร์--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--12 ต.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันจันทร์ หลังจากแกว่งตัวผันผวนในระหว่างวัน ในขณะที่นักลงทุนกังวลกับฤดูการรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในวันพุธนี้เมื่อธนาคารเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โคเปิดเผยผลประกอบการออกมา โดยนักลงทุนกำลังกังวลว่า ปัญหาด้านห่วงโซ่อุปทาน และการพุ่งขึ้นของราคาพลังงานกับปัจจัยในการผลิตอื่น ๆ อาจจะสร้างความเสียหายต่อผลกำไรของบริษัทสหรัฐ ทั้งนี้ ตลาดหุ้นปรับขึ้นในช่วงเช้า ก่อนจะร่วงลงในช่วงบ่ายวันจันทร์ โดยหุ้นเจพีมอร์แกนดิ่งลง 2.1% และหุ้นอะเมซอนดอทคอมรูดลง 1.3% ในขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินของสหรัฐดิ่งลง 1% และดัชนีหุ้นกลุ่มบริการการสื่อสารของสหรัฐรูดลง 1.5%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.72% สู่ 34,496.06, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.69% สู่ 4,361.19 และดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลง 0.64% สู่ 14,486.20 ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2020 ในช่วงแรก โดยได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน ก่อนจะร่วงลงมาปิดตลาดในแดนลบ อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานทะยานขึ้นมาแล้ว 50.1% จากช่วงต้นปีนี้ ในขณะที่ดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นเพียง 16.9% จากช่วงต้นปีนี้
นักวิเคราะห์คาดว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจพุ่งขึ้น 29.6% ในไตรมาสสามเมื่อเทียบรายปี อย่างไรก็ดี นักลงทุนกังวลว่า ปัญหาการขาดตอนในห่วงโซ่อุปทานและปัญหาภาวะเงินเฟ้ออาจจะสร้างความเสียหายต่อผลกำไรของบริษัทสหรัฐ และปัจจัยนี้อาจจะส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐแกว่งตัวผันผวน ทั้งนี้ นายคริสโตเฟอร์ ฮาร์วีย์กล่าวว่า นักวิเคราะห์คาดว่าบริษัทสหรัฐบางแห่งจะเปิดเผยผลกำไรที่แข็งแกร่งออกมา เพราะว่า "ถ้าหากบริษัทของคุณเป็นบริษัทขนาดใหญ่ คุณก็จะสามารถรับมือกับปัญหาเหล่านี้ได้" ในขณะที่อุปสงค์ยังคงอยู่ในระดับแข็งแกร่ง
หุ้นวีซ่า อิงค์ดิ่งลง 2.2% ส่วนหุ้นมาสเตอร์การ์ดรูดลง 2.2% และถือเป็นหุ้นสองตัวที่มีส่วนกดดันดัชนี S&P 500 ลงอย่างมากในวันจันทร์--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน