ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
--
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
เพื่อเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็วและติดตามตลาดโฟกัสใน 15 นาที
ในโลกของมนุษยชาติ จะไม่มีคำกล่าวใด ๆ ที่ไม่มีจุดยืนใด ๆ หรือคำพูดใด ๆ ที่ไม่มีจุดประสงค์ใด ๆ
อัตราเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน และเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจเชิงนโยบายของธนาคารกลาง ทัศนคติและคำพูดของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยังมีอิทธิพลต่อการกระทำของเทรดเดอร์ในตลาดอีกด้วย
เงินทำให้โลกหมุนไป และสกุลเงินเป็นสินค้าถาวร ตลาดฟอเร็กซ์เต็มไปด้วยความประหลาดใจและความคาดหวัง
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
เพลิดเพลินกับกิจกรรมที่น่าตื่นเต้น ที่นี่ที่ FastBull
ข่าวด่วนล่าสุดและเหตุการณ์ทางการเงินทั่วโลก
ฉันมีประสบการณ์ 5 ปีในการวิเคราะห์ทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนามหภาคและการตัดสินแนวโน้มระยะกลางและระยะยาว ความสนใจของฉันอยู่ที่การพัฒนาของตะวันออกกลาง ตลาดเกิดใหม่ ถ่านหิน ข้าวสาลี และสินค้าเกษตรอื่นๆ
7 ปีของตลาดหุ้น การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โลหะมีค่า และประสบการณ์การซื้อขายและการวิเคราะห์อื่น ๆ โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐาน การสนับสนุนทางเทคนิค มีอคติต่อตรรกะธุรกรรมจากบนลงล่าง โดยเน้นที่วัฏจักรมหภาคและการควบคุมความเสี่ยง การคาดการณ์เชิงทฤษฎีอุปสงค์และอุปทานอเนกประสงค์ การเปลี่ยนแปลงของราคา สร้างสมดุลระหว่างผลกระทบของธุรกรรม การกระจายชิปและอารมณ์ตลาด และคงที่
อัปเดตล่าสุด
สร้างทัศนคติการลงทุนที่ดี
วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ปรัชญาการลงทุนของเขาประกอบด้วยการสร้างกรอบความคิดระยะยาว ขจัดญาณรบกวนของตลาด ไม่เก็งกำไร และเน้นย้ำว่าการลงทุนต้องมีมีจิตใจที่มั่นคงและเป้าหมายที่ชัดเจน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง
แม้ว่าระบบกฎหมายและกรอบการกำกับดูแลในฮ่องกงจะค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ตลาดหุ้นยังคงเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายพิเศษหลายประการ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่าง HKD และ USD นักลงทุนต่างชาติอาจเผชิญกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความผันผวนของนโยบายและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นฮ่องกงด้วย
โครงสร้างต้นทุนและภาษีเมื่อลงทุนในหุ้นฮ่องกง
ต้นทุนการซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมหุ้น ค่าอากรแสตมป์ ค่าธรรมเนียมการชำระบัญชี ฯลฯ สำหรับนักลงทุนต่างชาติอาจมีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินเพิ่มเติมเป็นดอลลาร์ฮ่องกงและภาษีอื่น ๆ ตามข้อบังคับท้องถิ่น
การวิเคราะห์อุตสาหกรรมฮ่องกง:อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็น
อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็นของฮ่องกง ได้แก่ รถยนต์ การศึกษา การท่องเที่ยว การจัดเลี้ยง เครื่องแต่งกาย และภาคส่วนอื่นๆ อีกมากมาย จากบริษัทจดทะเบียน 643 แห่งนั้น 35% เป็นบริษัทในจีนแผ่นดินใหญ่และคิดเป็น 65% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด ดังนั้นอุตสาหกรรมนี้จึงได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากเศรษฐกิจจีน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด
ไม่มีข้อมูล
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม
สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
นิวยอร์ค--9 ส.ค.--รอยเตอร์
วุฒิสภาสหรัฐได้ผ่านร่างกฎหมายปรับลดเงินเฟ้อขนาด 4.30 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่ครอบคลุมทั้งประเด็นด้านสภาพภูมิอากาศ, การแพทย์ และภาษี โดยร่างกฎหมายนี้อาจจะส่งผลลบเล็กน้อยต่อผลกำไรในภาคเอกชน และอาจจะส่งผลให้บริษัทหลายแห่งเลื่อนเวลาในการซื้อคืนหุ้นให้เร็วขึ้นจากเดิม นอกจากนี้ ร่างกฎหมายนี้อาจจะส่งผลบวกต่อบริษัทบางกลุ่มด้วย ซึ่งรวมถึงกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า, กลุ่มเชื้อเพลิงชีวภาพ และกลุ่มพลังงานจากแสงอาทิตย์ ทั้งนี้ ร่างกฎหมายนี้ได้ถูกส่งเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐในช่วงนี้ และเป็นที่คาดกันว่าสภาผู้แทนราษฎรจะผ่านร่างกฎหมายนี้ในวันศุกร์ที่ 12 ส.ค. และหลังจากนั้นประธานาธิบดีโจ ไบเดนก็จะลงนามในร่างกฎหมายนี้เพื่อให้มีผลเป็นกฎหมาย โดยมาตรการด้านภาษีในกฎหมายฉบับนี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2023 ซึ่งรวมถึงการเก็บภาษีสรรพสามิตใหม่ในการซื้อคืนหุ้น และการเก็บภาษีขั้นต่ำ 15% จากบริษัท
ธนาคารโกลด์แมน แซคส์คาดว่า ภาษีสองรายการใหม่นี้จะส่งผลลบราว 1.5% ต่อผลกำไรต่อหุ้นในปี 2023 ของบริษัทในดัชนี S&P 500 โดยบริษัทในกลุ่มการแพทย์และกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) อาจจะได้รับผลกระทบมากเป็นพิเศษ ทั้งนี้ นางโซลิตา มาร์เซลลี หัวหน้าเจ้าหน้าที่การลงทุนทวีปอเมริกาของธนาคาร UBS คาดว่า ภาษีใหม่นี้จะ "ส่งผลลบ 1% ซึ่งถือเป็นระดับที่น้อยมาก ต่อผลกำไรต่อหุ้นของบริษัทในดัชนี S&P 500 อย่างไรก็ดี บริษัทบางแห่งจะได้รับผลกระทบจากภาษีนี้มากกว่าบริษัทอื่น ๆ"
นักลงทุนบางรายคาดว่ากฎหมายนี้จะกระตุ้นให้บริษัทหลายแห่งเร่งซื้อคืนหุ้นในปีนี้ โดยนายโธมัส เฮย์ส ประธานกรรมการบริษัทเกรท ฮิลล์ แคปิตัลกล่าวว่า "สิ่งหนึ่งที่จะเห็นได้ชัดก็คือว่า จะมีการเร่งรัดซื้อคืนหุ้นก่อนสิ้นปีนี้ เพราะบริษัทหลายแห่งไม่ต้องการจะจ่ายภาษีดังกล่าว และบริษัทก็มีโอกาสที่จะไม่ต้องจ่ายภาษีดังกล่าวในปีนี้ ดังนั้นคุณจึงมั่นใจได้ว่าบริษัทเหล่านี้จะฉวยโอกาสนี้" ทั้งนี้ นายโฮเวิร์ด ซิลเวอร์แบลท นักวิเคราะห์ของ S&P ระบุว่า ยอดซื้อคืนหุ้นเคยพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดที่ 2.810 แสนล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปี 2022 แต่ดิ่งลง 17.4% ในไตรมาสสอง ทางด้านนายทิม กริสคีย์ นักยุทธศาสตร์การลงทุนของบริษัทอิงกัลส์ แอนด์ สไนเดอร์กล่าวว่า การเร่งรัดซื้อคืนหุ้นในปีนี้อาจจะช่วยหนุนตลาดหุ้น ในขณะที่ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐดีดขึ้นมาแล้วราว 13% จากจุดต่ำสุดรอบ 1 ปีครึ่งที่ทำไว้ในช่วงกลางเดือนมิ.ย. นอกจากนี้ นายซิลเวอร์แบลทยังกล่าวเสริมว่า ในระยะยาวนั้น การเก็บภาษีในอัตรา 1% นี้ไม่มีแนวโน้มที่จะเป็นอุปสรรคขัดขวางการซื้อคืนหุ้นในภาคเอกชน
นายจาเรท เซเบิร์ก จากบริษัทโคเวน วอชิงตัน รีเสิร์ช กรุ๊ปกล่าวว่า บริษัทต่าง ๆ ไม่มีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองเพื่อตอบรับต่อการเก็บภาษี 1% นี้ อย่างไรก็ดี มีความเสี่ยงที่การเก็บภาษีจากเงินปันผลอาจจะกลายเป็น "หนทางที่ง่ายดายในการระดมทุนเพิ่มเติม" และสภาคองเกรสอาจจะปรับขึ้นอัตราภาษีจาก 1% ในอนาคต ทั้งนี้ นายจอห์น เพทริเดส ผู้จัดการพอร์ตลงทุนของบริษัททอคเคอวิลล์ แอสเซท แมเนจเมนท์กล่าวว่า การปรับขึ้นอัตราภาษีนิติบุคคลอาจจะส่งผลลบต่ออัตราผลกำไรในภาคเอกชน และเขากล่าวเสริมว่า "การปรับขึ้นภาษีจะเป็นการลดแรงจูงใจในการจ้างงาน และอาจจะส่งผลให้มีการจัดสรรรายจ่ายฝ่ายทุนเพื่อนำมาลงทุนในระบบอัตโนมัติมากยิ่งขึ้น"
หุ้นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ของสหรัฐทะยานขึ้นในวันจันทร์ ซึ่งรวมถึงหุ้นริเวียน ออโตโมทีฟที่พุ่งขึ้น 6.78%, หุ้นฟอร์ด มอเตอร์ที่ทะยานขึ้น 3.14%, หุ้นเจเนอรัล มอเตอร์ส (GM) ที่พุ่งขึ้น 4.16%, หุ้นลอร์ดส์ทาวน์ มอเตอร์สที่ทะยานขึ้น 3.17% และหุ้นเทสลาซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ปรับขึ้น 0.8%หลังจากวุฒิสภาสหรัฐอนุมัติร่างกฎหมายขนาด 4.30 แสนล้านดอลลาร์ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นร่างกฎหมายในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยร่างกฎหมายนี้จะจัดให้มีการลดหย่อนภาษี 4,000 ดอลลาร์สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าใช้แล้ว และจะจัดสรรเงินหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อใช้เป็นทุนสำหรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งนี้ นายเฮย์สกล่าวว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพและหุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์น่าจะดีดขึ้น หลังจากธุรกิจกลุ่มนี้เผชิญกับความไม่แน่นอนในช่วงที่ผ่านมา เพราะว่าร่างกฎหมายนี้ไม่ได้ส่งผลลบต่อธุรกิจการแพทย์มากเท่ากับที่เคยคาดการณ์กันไว้ ทางด้านนายปีเตอร์ ทุซ ประธานบริษัทเชส อินเวสท์เมนท์ เคาน์เซลกล่าวว่า ร่างกฎหมายนี้ส่งผลลบเพียงเล็กน้อยต่อธุรกิจการแพทย์ และส่งผลกระทบต่อยาเพียงบางตัวเท่านั้น--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
วอชิงตัน--27 ก.ค.--รอยเตอร์
นักลงทุนคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นกรอบเป้าหมายอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ 2.25-2.50% ในการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 26-27 ก.ค. เพื่อรับมือกับอัตราเงินเฟ้อที่ระดับสูง และนักลงทุนจะรอดูแถลงการณ์ของเฟดในการประชุมครั้งนี้ โดยมุ่งความสนใจไปยังประเด็นที่ว่า ผู้กำหนดนโยบายของเฟดให้ความสำคัญมากเพียงใดต่อสัญญาณการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ถ้าหากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในวันนี้ตามความคาดหมาย การปรับขึ้นกรอบเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยสู่ 2.25-2.50% ในครั้งนี้ก็จะใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยที่ "เป็นกลาง" ในระยะยาวในมุมมองของเจ้าหน้าที่เฟด โดยอัตราดอกเบี้ยที่เป็นกลางจะไม่ช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและไม่จำกัดการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ถึงแม้ยังไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่า เฟดประสบความสำเร็จมากนักในการควบคุมภาวะเงินเฟ้อ สัญญาณบ่งชี้ถึงภาวะตึงเครียดทางเศรษฐกิจกลับเพิ่มสูงขึ้นในช่วงนี้ และสิ่งนี้จะส่งผลให้เจ้าหน้าที่เฟดต้องชั่งน้ำหนักระหว่างการคุมเข้มนโยบายการเงินเพื่อทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง กับความเสี่ยงในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากเกินไปจนส่งผลให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยคำถามสำคัญในขณะนี้คือประเด็นที่ว่า เฟดกำลังเผชิญความเสี่ยงในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากเกินไปหรือไม่ ทั้งนี้ ตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐส่งสัญญาณในช่วงนี้ว่า มีความเป็นไปได้มากยิ่งขึ้นที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 2 ปีอยู่ที่ 3.043% ในช่วงท้ายวานนี้ ซึ่งสูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปี ซึ่งอยู่ที่ 2.787% ในช่วงท้ายวานนี้ และสิ่งนี้เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า นักลงทุนสูญเสียความเชื่อมั่นในการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะใกล้ และมีความเป็นไปได้ที่เฟดอาจจะมีความจำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในอนาคตอันใกล้
นักลงทุนกังวลกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น หลังจากวอลมาร์ท อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่ของสหรัฐประกาศปรับลดแนวโน้มผลกำไรในช่วงเย็นวันจันทร์ และวอลมาร์ทระบุว่าภาวะเงินเฟ้อส่งผลให้ผู้บริโภคใช้จ่ายเงินเป็นค่าอาหารและเชื้อเพลิงมากยิ่งขึ้น แทนที่จะนำเงินไปใช้ซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย อย่างเช่นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเสื้อผ้า ทางด้านบริษัทเจเนอรัล มอเตอร์ส โค (GM) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ของสหรัฐแถลงว่า ทางบริษัทได้ชะลอการจ้างงานและเลื่อนแผนการลงทุนออกไปเพื่อตอบรับต่อภาวะเงินเฟ้อ และเพื่อรับมือกับความเป็นไปได้ที่ธุรกิจจะชะลอตัวลงในวงกว้าง ทั้งนี้ นักลงทุนจะจับตาดูงานแถลงข่าวของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดที่จะจัดขึ้นในเวลา 01.30 น.ของวันพฤหัสบดีตามเวลาไทย เพราะเขามีแนวโน้มที่จะชี้แจงว่า เฟดมีความเห็นอย่างไรบ้างต่อตัวเลขเศรษฐกิจในระยะนี้ และเขาจะส่งสัญญาณว่า เฟดจะดำเนินขั้นตอนอย่างไรในอนาคตด้วย โดยเขาอาจส่งสัญญาณว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. โดยตัวเลขอัตราเงินเฟ้อจะเป็นปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวกำหนดว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% หรือ 0.75% ในเดือนก.ย.
นายเอียน เชปเพิร์ดสัน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของบริษัทแพนธีออน แมคโครอิโคโนมิคส์ ระบุว่า เนื่องจากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐพุ่งขึ้นสูงกว่า 9% ในเดือนมิ.ย.เมื่อเทียบรายปี "เฟดจึงไม่มีแนวโน้มที่จะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จนกว่าเฟดจะมั่นใจว่าอัตราเงินเฟ้อปรับเปลี่ยนทิศทางแล้ว" ทั้งนี้ ผู้กำหนดนโยบายส่วนใหญ่ของเฟดแสดงความเห็นตรงกันว่า เฟดควรจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป จนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวลง อย่างไรก็ดี นักเศรษฐศาสตร์บางรายมองว่า การทำเช่นนั้นอาจจะส่งผลให้เกิดความผิดพลาดตามมาได้ เพราะตัวเลขอัตราเงินเฟ้ออาจจะปรับตัวล่าช้ากว่าผลกระทบที่เศรษฐกิจได้รับจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และสิ่งนี้หมายความว่า เฟดอาจจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป ถึงแม้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงแล้ว
อัตราดอกเบี้ยจำนองคงที่ระยะ 30 ปีของสหรัฐพุ่งขึ้นจากระดับต่ำกว่า 3% สู่ระดับราว 5.5% ในช่วงนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในช่วงที่ผ่านมา ในขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันอังคารว่า ยอดขายบ้านใหม่ในสหรัฐดิ่งลง 8.1% สู่ 590,000 ยูนิตต่อปีในเดือนมิ.ย. ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2020 หรือจุดต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี โดยรายงานตัวเลขเศรษฐกิจเหล่านี้บ่งชี้ถึงผลกระทบที่เศรษฐกิจได้รับจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวของเฟด ทั้งนี้ เมื่อถึงเวลาที่เฟดจัดการประชุมกำหนดนโยบายครั้งถัดไปในวันที่ 20-21 ก.ย. ผู้กำหนดนโยบายของเฟดก็จะได้พิจารณาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อ, ปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค, ผลผลิตทางธุรกิจ, การจ้างงาน และตัวเลขเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่ได้รับการรายงานออกมาในช่วงเดือนส.ค.และก.ย. ซึ่งถ้าหากอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงก่อนที่จะถึงการประชุมในวันที่ 20-21 ก.ย. ปัจจัยดังกล่าวก็อาจจะเปิดโอกาสให้เฟดชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
วอชิงตัน--7 มิ.ย.--รอยเตอร์
ทำเนียบขาวประกาศในวันจันทร์ว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐได้ยกเว้นการเก็บภาษีศุลกากรจากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ (หรือแผงโซลาร์เซลล์) ที่นำเข้าจากไทย, กัมพูชา, มาเลเซีย และเวียดนามเป็นเวลา 2 ปี และเขาประกาศใช้กฎหมายการผลิตเพื่อป้องกันประเทศเพื่อกระตุ้นการผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์ในสหรัฐ โดยการยกเว้นภาษีในครั้งนี้จะทำหน้าที่เป็นเหมือนกับ "สะพานเชื่อมต่อ" ในขณะที่บริษัทสหรัฐปรับเพิ่มการผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์ให้สูงขึ้น ทั้งนี้ หุ้นในกลุ่มบริษัทพลังงานแสงอาทิตย์ในสหรัฐพุ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทซันพาวเวอร์ คอร์ปที่พุ่งขึ้น 2.7%, หุ้นเอ็นเฟส เอ็นเนอร์จี อิงค์ที่ทะยานขึ้น 5.4% และหุ้นซันรัน อิงค์ที่พุ่งขึ้น 5.9% ในวันจันทร์ ในขณะที่แผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่นำเข้าจาก 4 ประเทศนี้ครองสัดส่วนราว 80% ของการนำเข้าสินค้าดังกล่าวในสหรัฐ และครองสัดส่วนมากกว่า 50% ของอุปทานแผงเซลล์แสงอาทิตย์ทั้งหมดในสหรัฐ
ก่อนหน้านี้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้ประกาศในเดือนมี.ค.ว่า ทางกระทรวงจะสอบสวนว่า แผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่นำเข้าจาก 4 ประเทศนี้ถือเป็นการหลบเลี่ยงภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าที่ผลิตในจีนหรือไม่ ซึ่งถ้าหากทางกระทรวงตัดสินว่าการนำเข้านี้ถือเป็นการหลบเลี่ยงภาษีจริง สหรัฐก็อาจจะเก็บภาษีย้อนหลังจากแผงเซลล์แสงอาทิตย์กลุ่มนี้ได้ โดยการสอบสวนนี้ถือเป็นการตอบรับต่อคำร้องเรียนจากบริษัทออกซิน ซึ่งเป็นบริษัทผู้จัดหาแผงเซลล์แสงอาทิตย์ขนาดเล็ก อย่างไรก็ดี การสอบสวนดังกล่าวส่งผลให้การนำเข้าแผงเซลล์แสงอาทิตย์กลุ่มนี้หยุดชะงักลง
การสอบสวนของกระทรวงพาณิชย์ส่งผลให้มีการปรับลดตัวเลขคาดการณ์ยอดการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ในสหรัฐสำหรับปีนี้และปีหน้าลง 46% ในขณะที่บริษัทผู้พัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งรวมถึงบริษัทเน็กซ์อีรา เอ็นเนอร์จี และบริษัทเซาเธิร์น โคประกาศเตือนว่า โครงการติดตั้งจะประสบกับความล่าช้าเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ ปธน.ไบเดนออกคำสั่งยกเว้นภาษีในครั้งนี้ เพื่อตอบรับต่อกระแสความกังวลที่มีต่อโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่หยุดชะงักลงทั่วสหรัฐ และเพื่อตอบรับต่อแผนการของรัฐบาลสหรัฐในการแก้ไขปัญหาความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศด้วย
ทำเนียบขาวระบุว่า สหรัฐจะใช้กฎหมายการผลิตเพื่อป้องกันประเทศในการขยายการผลิตสินค้าอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ซี่งรวมถึงฉนวนอาคาร, ปั๊มความร้อน, หม้อแปลงไฟฟ้า และอุปกรณ์สำหรับ "เชื้อเพลิงสะอาดที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า" อย่างเช่นเซลล์เชื้อเพลิง และเครื่องแยกน้ำด้วยไฟฟ้า โดยทำเนียบขาวระบุเสริมว่า "เมื่อสหรัฐมีคลังพลังงานสะอาดที่แข็งแกร่งขึ้น สหรัฐก็จะสามารถทำหน้าที่เป็นหุ้นส่วนที่แข็งแกร่งขึ้นสำหรับชาติพันธมิตรของเรา โดยเฉพาะในช่วงที่ปูตินทำสงครามในยูเครน" ทั้งนี้ ภาคการผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์ครองสัดส่วนเพียงเล็กน้อยในอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ในสหรัฐ ในขณะที่การจ้างงานส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรมนี้กระจุกตัวอยู่ในฝ่ายการพัฒนาโครงการ, การติดตั้ง และการก่อสร้าง โดยก่อนหน้านี้เคยมีการเสนอร่างกฎหมายกระตุ้นการผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์ในสหรัฐด้วย แต่ร่างกฎหมายดังกล่าวยังไม่ผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรส
นางเฮทเธอร์ ซิคัล ซีอีโอของสมาคมพลังงานสะอาดสหรัฐกล่าวว่า ประกาศของปธน.ไบเดนจะช่วยกระตุ้นการก่อสร้างและการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ในสหรัฐ เพราะประกาศนี้ช่วยฟื้นฟูความแน่นอนในทางธุรกิจและความสามารถในการคาดการณ์ล่วงหน้าได้ อย่างไรก็ดี นายมามุน ราชิด ซีอีโอของบริษัทออกซินกล่าวตำหนิความเคลื่อนไหวของทำเนียบขาว โดยเขาระบุว่า ความเคลื่อนไหวนี้จะเปิดโอกาสให้กลุ่มผลประโยชน์พิเศษที่ได้รับทุนสนับสนุนจากจีนสามารถขัดขวางการนำกฎหมายการค้าของสหรัฐมาใช้อย่างเป็นธรรม ทั้งนี้ บริษัทเฟิร์สท์ โซลาร์ ซึ่งถือเป็นบริษัทผู้ผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐระบุว่า ความเคลื่อนไหวของทำเนียบขาวในครั้งนี้ถือเป็นการบ่อนทำลายการผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์ของสหรัฐ--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
29 ต.ค.--รอยเตอร์
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐเติบโตขึ้นเพียง 2% ในไตรมาสสามเมื่อเทียบเป็นตัวเลขเต็มปี (annualized) ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 2/2020 และอยู่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ +2.7% หลังจากเศรษฐกิจสหรัฐเติบโต 6.7% ในไตรมาสสอง โดยรายงานของกระทรวงแสดงให้เห็นอีกด้วยว่า เศรษฐกิจสหรัฐได้รับแรงกดดันในไตรมาส 3 จากการระบาดของโรคโควิด-19, จากปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคสหรัฐที่ปรับขึ้นเพียง 1.6% ในไตรมาสสาม หลังจากพุ่งขึ้น 12% ในไตรมาสสอง และจากความอ่อนแอในภาคยานยนต์ของสหรัฐ ทั้งนี้ ยอดการผลิตยานยนต์ในสหรัฐดิ่งลง 41.6% ในไตรมาสสาม หลังจากรูดลง 14.1% ในไตรมาสสอง โดยเป็นผลจากภาวะขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก และภาคยานยนต์ก็ส่งผลลบ 2.39% ต่อการเติบโตของจีดีพีสหรัฐในไตรมาสสาม ซึ่งถือเป็นการส่งผลลบครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 2/1980 เป็นต้นมา หรือครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 40 ปี
ภาคยานยนต์ได้รับแรงกดดันเป็นอย่างมากจากภาวะขาดแคลนไมโครชิปทั่วโลก โดยยอดการผลิตยานยนต์ในสหรัฐดิ่งลงถึง 6 เดือนในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา และอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยยอดการประกอบยานยนต์ในสหรัฐอยู่ที่ระดับเพียง 7.51 ล้านคันในเดือนก.ย. ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ยอดดังกล่าวเคยดิ่งลงเข้าใกล้ระดับศูนย์คันในช่วงฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้วท่ามกลางการใช้มาตรการล็อกดาวน์ แต่ถ้าหากไม่นับตัวเลขของช่วงฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้ว ยอดการประกอบยานยนต์ในเดือนก.ย.ปีนี้ก็ถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา
ภาวะขาดแคลนชิปนี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีส่วนทำให้อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดในรอบหลายสิบปีด้วย และถือเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการกำหนดราคาในภาครถยนต์เป็นอย่างมาก ทั้งนี้ เนื่องจากรถยนต์ใหม่กลายเป็นสิ่งที่หายากในตลาด ราคารถยนต์มือสองจึงพุ่งขึ้นสูงมากในช่วงที่ผ่านมา โดยราคารถยนต์มือสองเคยทะยานขึ้นสูงกว่า 10% ต่อเดือนเป็นเวลา 3 เดือนติดต่อกันในฤดูใบไม้ผลิปีนี้
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า สต็อกสินค้าคงคลังในภาคธุรกิจสหรัฐปรับลดลงในอัตราเพียง 7.77 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาสสาม หลังจากดิ่งลงในอัตรา 1.685 แสนล้านดอลลาร์ในไตรมาสสอง และด้วยเหตุนี้ภาคสต็อกสินค้าคงคลังจึงส่งผลบวก 2.07% ต่อการเติบโตของจีดีพีสหรัฐในไตรมาสสาม อย่างไรก็ดี ภาวะขาดแคลนยานยนต์มีส่วนทำให้สต็อกสินค้าคงคลังยังคงอยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ ถ้าหากไม่นำสต็อกสินค้าคงคลังมาคำนวณด้วยแล้ว เศรษฐกิจสหรัฐก็หดตัวลง 0.1% ในไตรมาสสาม แต่ถ้าหากไม่นำผลผลิตยานยนต์มาคำนวณด้วยแล้ว เศรษฐกิจสหรัฐก็เติบโต 3.5% ในไตรมาสสาม หลังจากเติบโต 7.4% ในไตรมาสสอง
ยอดใช้จ่ายในสินค้าคงทนของสหรัฐดิ่งลงในอัตรา 26.2% ในไตรมาสสาม อย่างไรก็ดี ยอดใช้จ่ายในภาคบริการเติบโต 7.9% ในไตรมาสสาม หลังจากพุ่งขึ้น 11.5% ในไตรมาสสอง โดยยอดใช้จ่ายในภาคบริการในไตรมาสสามได้รับแรงหนุนจากความต้องการเช่ารถยนต์, ความต้องการโดยสารเครื่องบิน, ความต้องการใช้บริการในโรงพยาบาลและในร้านอาหาร และยอดจองโรงแรม ทั้งนี้ ถึงแม้ค่าแรงพุ่งสูงขึ้น ภาวะเงินเฟ้อก็ส่งผลลบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค โดยรายได้สุทธิของภาคครัวเรือนสหรัฐหลังปรับตามภาวะเงินเฟ้อดิ่งลง 5.6% ในไตรมาสสาม ส่วนอัตราการออมเงินร่วงลงสู่ 8.9% ในไตรมาสสาม จาก 10.5% ในไตรมาสสอง--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--5 ส.ค.--รอยเตอร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์และดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันพุธ หลังจากมีรายงานระบุว่า การจ้างงานในสหรัฐชะลอการเติบโตลงในเดือนก.ค. และหุ้นบริษัทเจเนอรัล มอเตอร์ส (GM) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ดิ่งลง 8.9% ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนมี.ค. ในขณะที่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกเผชิญกับความไม่แน่นอนทั้งในด้านเทคโนโลยีและด้านเศรษฐกิจ ทางด้านหุ้นฟอร์ด มอเตอร์ซึ่งเป็นคู่แข่งของ GM รูดลง 5.0% ทั้งนี้ ตลาดหุ้นได้รับแรงกดดัน หลังจากบริษัทเอดีพีรายงานในวันพุธว่า การจ้างงานภาคเอกชนในสหรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 330,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 695,000 ตำแหน่ง ในขณะที่การจ้างงานอาจได้รับแรงกดดันจากภาวะขาดแคลนวัตถุดิบและคนงาน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.92% สู่ 34,792.67, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.46% สู่ 4,402.66 แต่ดัชนี Nasdaq ปิดบวกขึ้น 0.13% สู่ 14,780.53 ทั้งนี้ หุ้น 9 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดในแดนลบ ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมและหุ้นกลุ่มพลังงาน อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq ปิดตลาดในแดนบวก หลังจากสถาบันจัดการอุปทานของสหรัฐ (ISM) รายงานในวันพุธว่า ดัชนีกิจกรรมภาคบริการของสหรัฐพุ่งขึ้นจาก 60.1 ในเดือนมิ.ย. สู่ 64.1 ในเดือนก.ค. ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการจัดทำตัวเลขนี้ในปี 2008 เป็นต้นมา และอยู่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 60.5 โดยรายงานนี้บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐในวงกว้างยังคงฟื้นตัวต่อไป
หลังจากดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นมานาน 6 เดือนติดต่อกัน ดัชนีก็ได้รับแรงกดดันในเดือนส.ค.จากความกังวลเรื่องการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และจากความกังวลเรื่องการพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ โดยปัจจัยลบเหล่านี้บดบังแรงหนุนที่ดัชนีได้รับจากฤดูการรายงานผลประกอบการที่สดใส ทั้งนี้ นายริชาร์ด คลาริดา รองประธานกรรมการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวในวันพุธว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มที่จะบรรลุเงื่อนไขด้านการจ้างงานและภาวะเงินเฟ้อก่อนสิ้นปี 2022 ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่เฟดตั้งไว้สำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า เฟดน่าจะอยู่ในสถานะที่พร้อมสำหรับการเริ่มต้นปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2023
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหรือกลุ่มบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีพุ่งขึ้นในวันพุธ โดยหุ้นเน็ตฟลิกซ์ทะยานขึ้น 1.28% ส่วนหุ้นเฟซบุ๊กพุ่งขึ้น 2.19% อย่างไรก็ดี หุ้นคราฟท์ ไฮนซ์ซึ่งเป็นผู้ผลิตอาหารดิ่งลง 5.14% หลังจากคราฟท์ ไฮนซ์ประกาศเตือนว่า อัตราผลกำไรได้รับแรงกดดันจากการพุ่งขึ้นของราคาส่วนประกอบในอาหาร
หุ้นโรบินฮูด มาร์เก็ตส์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการทางการเงินทางแอปพลิเคชันพุ่งขึ้น 50.4% และปรับขึ้นเป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน โดยได้รับแรงหนุนจากนางแคธี วูด ผู้จัดการกองทุนชื่อดัง และจากเทรดเดอร์รายย่อย--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--2 ส.ค.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า การดีดขึ้นของผลกำไรภาคเอกชนและการดิ่งลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) ในช่วงนี้ช่วยจำกัดมูลค่าหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐไม่ให้อยู่ในระดับที่แพงเกินไป และปัจจัยนี้ช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นสหรัฐต่อไป ถึงแม้ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐเคลื่อนตัวอยู่ใกล้สถิติสูงสุด และถึงแม้ตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันจากการพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ และจากการคาดการณ์ที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอการเติบโตลง ทั้งนี้ ถึงแม้ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 17% จากช่วงต้นปีนี้ มูลค่าหุ้นสหรัฐกลับขยับลงนับตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ โดยค่าพีอีเรโชของหุ้นในดัชนี S&P 500 อยู่ที่ 21.4 เท่าของตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรสำหรับช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยร่วงลงจาก 22.7 เท่าในเดือนม.ค. แต่ยังคงอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 15.4 เท่า
นายปีเตอร์ ทูซ ประธานบริษัทเชส อินเวสท์เมนท์ เคาน์เซลกล่าวว่า "ผมคิดว่าตลาดหุ้นยังคงเป็นสถานที่ที่น่าลงทุน เพราะถึงแม้ว่ามูลค่าหุ้นอยู่ในระดับสูง ปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นก็ยังคงอยู่ในภาวะที่ดี นอกจากนี้ บริษัทส่วนใหญ่ก็มีผลประกอบการรายไตรมาสที่ดีมาก และมีแนวโน้มที่ดีมากด้วย" ทั้งนี้ นักลงทุนมุ่งความสนใจไปยังมูลค่าหุ้นในช่วงนี้ ในขณะที่นักลงทุนพยายามประเมินปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อทิศทางตลาดในช่วงหลายเดือนข้างหน้า โดยปัจจัยเหล่านี้รวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐที่มีแนวโน้มชะลอการเติบโตลง, การพุ่งขึ้นของยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา และแผนการของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในการปรับลดขนาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
นักลงทุนจะจับตาดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.ค.ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันศุกร์ที่ 6 ส.ค. และรอดูผลประกอบการที่บริษัทสหรัฐจะรายงานออกมาในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะผลประกอบการของบริษัทอีไล ลิลลี ซึ่งทำธุรกิจเวชภัณฑ์, ซีวีเอส เฮลธ์ ซึ่งทำธุรกิจประกันสุขภาพ และเจเนอรัล มอเตอร์ส (GM) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ในตอนนี้ว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจพุ่งขึ้น 87.2% ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบรายปี โดยปรับขึ้นจากระดับ 65.4% ที่เคยคาดการณ์ไว้ในช่วงต้นเดือนก.ค. และการที่บริษัทสหรัฐรายงานผลกำไรที่สูงเกินคาดอย่างต่อเนื่องจะช่วยจำกัดมูลค่าหุ้นไม่ให้พุ่งสูงเกินไป ทั้งนี้ ธนาคารเครดิต สวิสคาดการณ์ว่า ดัชนี S&P 500 อาจจะปิดตลาดสิ้นปีนี้ที่ 4,600 โดยพุ่งขึ้นราว 4% จากระดับปิดวันพฤหัสบดีที่แล้วที่ 4,419.15 ส่วนธนาคารโกลด์แมน แซคส์ระบุว่า ทางธนาคารคาดว่าดัชนี S&P 500 อาจจะปิดตลาดสิ้นปีนี้ที่ 4,300 โดยตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีอยู่ที่ 1.9% แต่ถ้าหากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอยู่ที่ 1.6% ระดับที่เหมาะสมของดัชนี S&P ก็จะพุ่งขึ้นสู่ 4,700 ในช่วงสิ้นปีนี้
นักลงทุนมองว่าหุ้นมีความน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีดิ่งลงราว 0.55% จากระดับ 1.776% ในวันที่ 30 มี.ค. สู่ระดับ 1.226% ในช่วงท้ายวันศุกร์ที่ผ่านมา ทั้งนี้ สถาบันการลงทุนเวลส์ ฟาร์โกระบุว่า ค่าพรีเมียมความเสี่ยงของหุ้น ซึ่งเป็นส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนจากผลกำไรของหุ้นกับอัตราดอกเบี้ยของพันธบัตร อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับแนวโน้มในอดีตที่บ่งชี้ว่า ดัชนี S&P 500 จะพุ่งขึ้น 15.2% ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
นักลงทุนบางรายกังวลกับมูลค่าหุ้นที่อยู่ในระดับสูงในช่วงนี้ ในขณะที่ค่า CAPE ซึ่งเป็นค่าพีอีเรโชที่ปรับตามวัฏจักรเศรษฐกิจ ส่งสัญญาณเตือนออกมา โดยค่า CAPE ได้พุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดในรอบกว่า 20 ปีในช่วงนี้ ทั้งนี้ นายแจ็ค เอบลิน หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัทเครสเซนท์ แคปิตัล แมเนจเมนท์กล่าวว่า การพุ่งขึ้นของค่า CAPE ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ทางบริษัทตัดสินใจปรับลดการลงทุนในหุ้นโดยรวมลงในช่วงต้นปีนี้สำหรับพอร์ตลงทุนที่มีระยะเวลาการลงทุนอย่างน้อย 7 ปี และเขากล่าวเสริมว่า "มูลค่าหุ้นอยู่ในระดับที่สูงมาก ดังนั้นตลาดหุ้นจึงไม่ใช่สถานที่ที่น่าลงทุนมากนักในระยะยาว"--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--12 ก.ค.--รอยเตอร์
การดิ่งลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในช่วงนี้ส่งผลให้นักลงทุนบางรายพยายามแสวงหาการลงทุนอื่น ๆ ที่ให้อัตราผลตอบแทนสูง ซึ่งรวมถึงหุ้นที่จ่ายเงินปันผล และพันธบัตรในประเทศตลาดเกิดใหม่ แต่การลงทุนในสินทรัพย์เหล่านี้ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงที่สูงกว่าการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีอยู่ที่ 1.356% ในวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยดิ่งลงจากจุดสูงสุดของเดือนมี.ค.ที่ 1.77% หลังจากได้รับแรงกดดันจากปัจจัยหลายประการ โดยปัจจัยเหล่านี้รวมถึงการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หันมาส่งสัญญาณแบบสายเหยี่ยวในช่วงกลางเดือนมิ.ย., ความต้องการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจากนักลงทุนในประเทศที่พันธบัตรให้อัตราผลตอบแทนติดลบ และการที่นักลงทุนเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเพื่อชดเชยการทำชอร์ตเซลที่เคยทำไว้เป็นจำนวนมากในช่วงก่อนหน้านี้
นายเอ็ด อัล-ฮุสเซนี นักวิเคราะห์สกุลเงินและอัตราดอกเบี้ยของบริษัทโคลัมเบีย เธรดนีดเดิลกล่าวว่า "ในมุมมองของเรานั้น เราเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ เพราะเราไม่คาดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะดีดขึ้นในเร็ว ๆ นี้" โดยนายอัล-ฮุสเซนีมุ่งความสนใจไปยังหลักทรัพย์ที่ได้รับการค้ำประกันจากสัญญาจำนอง (MBS) เนื่องจากเขาคาดว่า ภาคครัวเรือนสหรัฐจะมีฐานะการเงินที่ดีหลังผ่านพ้นวิกฤติโรคระบาด ทั้งนี้ กองทุน ETF "iShares MBS" ที่ถือครอง MBS ให้อัตราผลตอบแทน 1.88% ในวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยมีกำหนดไถ่ถอนเฉลี่ย 4.9 ปี
นายดอน เอลเลนเบอร์เกอร์ ผู้จัดการพอร์ตลงทุนของบริษัทเฟเดอเรเท็ด เฮอร์มีส เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ในช่วงนี้ โดยเขาคาดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะยังคงอยู่ในระดับต่ำต่อไป ในขณะที่นักลงทุนไม่แน่ใจว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปล่อยให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นได้สูงถึงระดับใด หลังจากราคาผู้บริโภคทะยานขึ้นในระยะนี้ นอกจากนี้ เขายังกล่าวอีกด้วยว่า "ตลาดสหรัฐปรับตัวไม่สอดคล้องกันในช่วงนี้ เพราะตลาดหุ้นส่งสัญญาณว่า เศรษฐกิจจะยังคงอยู่ในระดับแข็งแกร่งต่อไป แต่ตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐส่งสัญญาณว่า เศรษฐกิจจะชะลอการเติบโต" และเขายังคาดการณ์อีกด้วยว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในวงกว้างจะช่วยหนุนประเทศตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะประเทศผู้ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งนี้ กองทุน ETF iShares JP Morgan ที่ลงทุนในตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ในรูปดอลลาร์สหรัฐ ให้อัตราผลตอบแทนราว 3.85% ในวันศุกร์ที่ผ่านมา และกองทุนแห่งนี้มีสินทรัพย์พุ่งขึ้นเกือบ 430 ล้านดอลลาร์ในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 7 ก.ค. ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย.
นายเอียน ลินเจน จากแผนกแผนยุทธศาสตร์การลงทุนตราสารหนี้ของบริษัทบีเอ็มโอ แคปิตัล มาร์เก็ตส์กล่าวว่า นักลงทุนไม่ควรจะคาดการณ์ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะดีดขึ้นอย่างรวดเร็วในปีนี้ และเขากล่าวเสริมว่า "ราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐได้รับแรงหนุนในช่วงที่ผ่านมาจากความเป็นจริงด้านโรคระบาดที่ยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งรวมถึงความกังวลที่เพิ่มมากขึ้นในเรื่องที่ประชาชนไม่ยอมฉีดวัคซีน และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์เดลตา"
นางเมโลดี ไบรอันท์ ผู้จัดการพอร์ตลงทุนของกองทุนกาเบลลี แอสเซทกล่าวว่า การดิ่งลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐส่งผลให้หุ้นที่จ่ายเงินปันผลมีความน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น และเธอยังคงคาดการณ์ในทางบวกต่อหุ้นที่จ่ายเงินปันผล อย่างเช่นหุ้นบริษัทเดียร์ แอนด์ โค ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องจักรทางการเกษตรที่ปรับเพิ่มเงินปันผลทุกปีในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี เธอได้เพิ่มการลงทุนในหุ้นกลุ่มเติบโตบางตัวในช่วงนี้ด้วย ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทเซลส์ฟอร์ซดอทคอม อิงค์ ที่ทำธุรกิจซอฟต์แวร์ เนื่องจากเธอคาดว่าอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำจะส่งผลให้หุ้นเติบโตมีความน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ นางไบรอันท์กล่าวว่า "เราเพิ่งผ่านพ้นช่วงเวลาที่กำไรจากการขายทรัพย์สินถือเป็นปัจจัยที่ใหญ่ที่สุดที่ช่วยหนุนผลตอบแทนจากการลงทุน และในตอนนี้เราก็กำลังเข้าสู่ช่วงเวลาใหม่ ซึ่งเป็นช่วงที่เงินปันผลจะกลายมาเป็นปัจจัยหลัก"--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน