ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
เพื่อเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็วและติดตามตลาดโฟกัสใน 15 นาที
ในโลกของมนุษยชาติ จะไม่มีคำกล่าวใด ๆ ที่ไม่มีจุดยืนใด ๆ หรือคำพูดใด ๆ ที่ไม่มีจุดประสงค์ใด ๆ
อัตราเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน และเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจเชิงนโยบายของธนาคารกลาง ทัศนคติและคำพูดของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยังมีอิทธิพลต่อการกระทำของเทรดเดอร์ในตลาดอีกด้วย
เงินทำให้โลกหมุนไป และสกุลเงินเป็นสินค้าถาวร ตลาดฟอเร็กซ์เต็มไปด้วยความประหลาดใจและความคาดหวัง
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
เพลิดเพลินกับกิจกรรมที่น่าตื่นเต้น ที่นี่ที่ FastBull
ข่าวด่วนล่าสุดและเหตุการณ์ทางการเงินทั่วโลก
ฉันมีประสบการณ์ 5 ปีในการวิเคราะห์ทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนามหภาคและการตัดสินแนวโน้มระยะกลางและระยะยาว ความสนใจของฉันอยู่ที่การพัฒนาของตะวันออกกลาง ตลาดเกิดใหม่ ถ่านหิน ข้าวสาลี และสินค้าเกษตรอื่นๆ
7 ปีของตลาดหุ้น การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โลหะมีค่า และประสบการณ์การซื้อขายและการวิเคราะห์อื่น ๆ โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐาน การสนับสนุนทางเทคนิค มีอคติต่อตรรกะธุรกรรมจากบนลงล่าง โดยเน้นที่วัฏจักรมหภาคและการควบคุมความเสี่ยง การคาดการณ์เชิงทฤษฎีอุปสงค์และอุปทานอเนกประสงค์ การเปลี่ยนแปลงของราคา สร้างสมดุลระหว่างผลกระทบของธุรกรรม การกระจายชิปและอารมณ์ตลาด และคงที่
อัปเดตล่าสุด
สร้างทัศนคติการลงทุนที่ดี
วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ปรัชญาการลงทุนของเขาประกอบด้วยการสร้างกรอบความคิดระยะยาว ขจัดญาณรบกวนของตลาด ไม่เก็งกำไร และเน้นย้ำว่าการลงทุนต้องมีมีจิตใจที่มั่นคงและเป้าหมายที่ชัดเจน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง
แม้ว่าระบบกฎหมายและกรอบการกำกับดูแลในฮ่องกงจะค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ตลาดหุ้นยังคงเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายพิเศษหลายประการ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่าง HKD และ USD นักลงทุนต่างชาติอาจเผชิญกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความผันผวนของนโยบายและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นฮ่องกงด้วย
โครงสร้างต้นทุนและภาษีเมื่อลงทุนในหุ้นฮ่องกง
ต้นทุนการซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมหุ้น ค่าอากรแสตมป์ ค่าธรรมเนียมการชำระบัญชี ฯลฯ สำหรับนักลงทุนต่างชาติอาจมีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินเพิ่มเติมเป็นดอลลาร์ฮ่องกงและภาษีอื่น ๆ ตามข้อบังคับท้องถิ่น
การวิเคราะห์อุตสาหกรรมฮ่องกง:อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็น
อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็นของฮ่องกง ได้แก่ รถยนต์ การศึกษา การท่องเที่ยว การจัดเลี้ยง เครื่องแต่งกาย และภาคส่วนอื่นๆ อีกมากมาย จากบริษัทจดทะเบียน 643 แห่งนั้น 35% เป็นบริษัทในจีนแผ่นดินใหญ่และคิดเป็น 65% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด ดังนั้นอุตสาหกรรมนี้จึงได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากเศรษฐกิจจีน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด
ไม่มีข้อมูล
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม
สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
บริษัทสหรัฐนับตั้งแต่ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี อาทิ อัลฟาเบ็ท และไมโครซอฟท์ไปจนถึงจีอี และแมทเทลได้รายงานอัตราการขยายตัวที่ชะลอตัวลงมาก และเตือนว่า สถานการณ์จะเลวร้ายลง ซึ่งทำให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับภาวะถดถอย และทำให้หุ้นดิ่งลง
ผลประกอบการที่น่าผิดหวังดังกล่าบ่งชี้ถึงปัญหาต่างๆที่กำลังถาโถมใส่เศรษฐกิจสหรัฐ ขณะที่ดอลลาร์ที่แข็งค่าก็กระทบผลกำไรในต่างประเทศของบริษัทขนาดใหญ่ และอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นมากกระตุ้นให้มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ย และบริษัทต้องขึ้นราคาสินค้า แม้ผู้บริโภคถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องลดการใช้จ่ายก็ตาม
ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในสหรัฐลดลงในเดือนต.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2 เดือนติดต่อกันท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อมากขึ้น และความกังวลว่าอาจจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีหน้า
บริษัทไมโครซอฟท์ได้รายงานยอดขายที่ชะลอตัวที่สุดในรอบ 5 ปี และอัลฟาเบ็ทขยายตัวเพียง 6% ซึ่งเป็นอัตราต่ำสุดตั้งแต่เดือนก.ย.2013 ยกเว้นการลดลงเล็กน้อยในปี 2020 ส่วนกูเกิล ซึ่งหลายคนคาดว่าจะฟื้นตัวมากกว่าเนื่องจากการเป็นแพลตฟอร์มโฆษณาดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อดูจากส่วนแบ่งตลาด สร้างความประหลาดใจให้แก่ตลาดด้วยรายได้จากโฆษณาที่แย่กว่าที่คาดไว้ ขณะที่ผู้บริโภคในธุรกิจประกัน, สินเชื่อจำนอง และสกุลเงินคริปโต ได้ลดงบประมาณด้านโฆษณา
นายเจสส์ โคเฮน นักวิเคราะห์อาวุโสจากอินเวสติง.คอมกล่าวว่า "แม้จะถูกมองว่าเป็นหนึ่งในบริษัทที่ปลอดภัยที่สุดในวงการโฆษณาเมื่อเทียบกับบริษัทในกลุ่มเดียวกัน แต่ผลประกอบการที่ย่ำแย่ของกูเกิลก็เป็นสัญญาณล่าสุดที่แสดงว่า ปัจจัยพื้นฐานที่เลวร้ายลงและสภาวะเศรษฐกิจมหภาคที่ยากลำบากกำลังกระตุ้นให้บริษัทโฆษณาลดงบรายจ่ายลง"--จบ--
นิวยอร์ค--25 ก.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันศุกร์ หลังจากบริษัทสแนปซึ่งเป็นเจ้าของแอปพลิเคชัน Snapchat เปิดเผยผลกำไรที่น่าผิดหวัง และข่าวดังกล่าวส่งผลให้หุ้นกลุ่มสื่อสังคมและหุ้นบริษัทเทคโนโลยีที่พึ่งพารายได้จากการโฆษณาดิ่งลง และปัจจัยลบนี้บดบังแรงบวกที่ตลาดหุ้นได้รับจากการพุ่งขึ้น 1.9% ของหุ้นบริษัทอเมริกัน เอ็กซ์เพรส ซึ่งเป็นบริษัทบัตรเครดิต หลังจากอเมริกัน เอ็กซ์เพรสรายงานตัวเลขผลกำไรที่แข็งแกร่ง และปรับขึ้นคาดการณ์รายได้ ทั้งนี้ หุ้นสแนปดิ่งลง 39.08% ในวันศุกร์ หลังจากสแนปเปิดเผยยอดขายรายไตรมาสที่เติบโตน้อยสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่สแนปเริ่มเป็นบริษัทมหาชน อย่างไรก็ดี หุ้นทวิตเตอร์ปิดบวกขึ้น 0.8% ถึงแม้ทวิตเตอร์รายงานว่ารายได้ปรับลดลง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.43% สู่ 31,899.29, ดัชนี S&P 500 ปิดดิ่งลง 0.93% สู่ 3,961.63 และดัชนี Nasdaq ปิดรูดลง 1.87% สู่ 11,834.11 ในวันศุกร์ อย่างไรก็ดี ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดสัปดาห์นี้ในแดนบวก โดยดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้น 2% จากสัปดาห์ที่แล้ว, ดัชนี S&P 500 ทะยานขึ้น 2.4% และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 3.3% จากสัปดาห์ที่แล้ว ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มบริการการสื่อสารดิ่งลง 4.3% ในวันศุกร์ ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) รูดลง 1.4% ในวันศุกร์ และถือเป็นหุ้น 2 กลุ่มใหญ่ที่ดิ่งลงมากที่สุดในวันศุกร์
หุ้นบริษัทออนไลน์ที่พึ่งพารายได้จากการโฆษณาดิ่งลงในวันศุกร์ ซึ่งรวมถึงหุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ที่รูดลง 7.6% และหุ้นแอลฟาเบทที่ดิ่งลง 5.6% ซึ่งส่งผลลบต่อดัชนี Nasdaq เป็นอย่างมาก โดยบริษัทเมตา, แอลฟาเบท, แอปเปิล, ไมโครซอฟท์ และอะเมซอนดอทคอมมีกำหนดจะรายงานผลประกอบการในสัปดาห์หน้า ทั้งนี้ บริษัท 106 แห่งในดัชนี S&P 500 เปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสออกมาแล้วหากนับจนถึงช่วงเช้าวันศุกร์ และบริษัท 75.5% ในกลุ่มนี้เปิดเผยผลกำไรที่ดีเกินคาด ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ 81% ที่เคยทำไว้ในช่วง 4 ไตรมาสที่ผ่านมา
นักลงทุนรอดูการประชุมกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 26-27 ก.ค. และรอดูตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 2 ของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนก.ค. โดยนักลงทุนคาดว่าจีดีพีอาจหดตัวลงอีกครั้งในไตรมาส 2 แต่เฟดมีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในวันที่ 27 ก.ค.เพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อ
บริษัทเอสแอนด์พี โกลบอลรายงานในวันศุกร์ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ขั้นต้นสำหรับผลผลิตโดยรวมของสหรัฐดิ่งลงสู่ 47.5 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำเกินคาด จาก 52.3 ในเดือนมิ.ย. โดยการที่ดัชนีอยู่ในระดับต่ำกว่า 50 แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมทางธุรกิจหดตัวลงในเดือนก.ค.เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 2 ปี เนื่องจากการชะลอตัวในภาคบริการของสหรัฐบดบังการเติบโตในภาคการผลิต และรายงานตัวเลขนี้มีแนวโน้มที่จะกระตุ้นการถกเถียงกันในประเด็นที่ว่า เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้วหรือไม่ ในขณะที่เศรษฐกิจได้รับแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่ระดับสูง, จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ดิ่งลง--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--6 ก.ค.--รอยเตอร์
ความกังวลที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยส่งผลให้ผู้จัดการกองทุนบางรายโยกย้ายเงินลงทุนเข้าสู่หุ้นบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มเติบโตและกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มที่เคยพุ่งสูงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากผู้จัดการกองทุนกลุ่มนี้คาดว่า หุ้นเหล่านี้อาจจะปรับตัวได้ดีกว่าหุ้นกลุ่มอื่น ๆ ในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอย ทั้งนี้ หุ้นบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่ง ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทไมโครซอฟท์, แอปเปิล และแอลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ดิ่งลงในระดับที่มากกว่าหรือเท่ากับดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ โดยได้รับแรงกดดันจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลังจากหุ้นเหล่านี้เคยพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่าดัชนีตลาดหุ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี หุ้นเติบโตมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจน้อยกว่าหุ้นกลุ่มอื่น ๆ และด้วยเหตุนี้นักลงทุนบางรายจึงเชื่อว่า บริษัทในกลุ่มเติบโตที่มีอัตราผลกำไรสูงมาก อาจจะมีราคาหุ้นทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่าดัชนีตลาดหุ้นโดยรวมได้ด้วย ถ้าหากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยในอนาคต ทั้งนี้ นางไซรา มาลิค หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัทนูวีนกล่าวว่า "เริ่มมีสัญญาณบ่งชี้ถึงความเปราะบางในการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐ ดังนั้นคุณจึงควรจะเลือกลงทุนในบริษัทที่อยู่ในสถานะที่ดีมากในภาคเทคโนโลยี" โดยนางมาลิคได้ปรับเพิ่มสถานะการลงทุนในบริษัทอะเมซอนดอทคอม และบริษัทเซลส์ฟอร์ซดอทคอมในช่วงที่ผ่านมา และเธอกล่าวเสริมว่า บริษัทที่ไม่มีประสิทธิภาพในการทำกำไรจะยังคงได้รับแรงกดดัน
กระแสการลงทุนในหุ้นเหล่านี้ยังคงอยู่ในขั้นเริ่มต้น โดยผลสำรวจล่าสุดของแบงก์ ออฟ อเมริกา โกลบัล รีเสิร์ชระบุว่า ผู้จัดการกองทุนทั่วโลกปรับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขึ้นเพียง 0.07% และยังคงคาดการณ์ในทางลบต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีโดยรวม อย่างไรก็ดี บริษัทแวนดา รีเสิร์ชระบุว่า นักลงทุนรายย่อยได้เข้าช้อนซื้อหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยีในช่วงที่ราคาดิ่งลงก่อนหน้านี้ ซึ่งรวมถึงหุ้นแอปเปิล ทั้งนี้ ดัชนี Russell 1000 สำหรับหุ้นเติบโตของสหรัฐดิ่งลง 28.4% ในช่วงครึ่งปีแรก ในขณะที่ดัชนี Russell 1000 สำหรับหุ้นคุณค่าของสหรัฐรูดลงเพียง 13.9% ในช่วงครึ่งปีแรก โดยหุ้นคุณค่านี้ครอบคลุมหุ้นกลุ่มพลังงานที่มักจะปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจด้วย ทางด้านดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลง 20.7% ในครึ่งปีแรก ซึ่งถือเป็นอัตราการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดสำหรับช่วงครึ่งปีแรกนับตั้งแต่ปี 1970 เป็นต้นมา
กองทุน ARK Innovation ETF ของนางแคธี วูด ดิ่งลงราว 57.7% ในช่วงครึ่งปีแรก โดยกองทุนแห่งนี้ถือครองหุ้นบริษัทใหม่ในภาคเทคโนโลยี ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทซูม วิดีโอ คอมมูนิเคชันส์ และหุ้นบริษัทเทลาดอคที่ทำธุรกิจโทรเวชกรรม ทั้งนี้ นักลงทุนกังวลกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยมากยิ่งขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยธนาคารดอยช์ แบงก์เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักลงทุนในเดือนมิ.ย.ระบุว่า นักลงทุน 90% คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอยก่อนสิ้นปี 2023 โดยพุ่งขึ้นจาก 78% ในผลสำรวจเดือนพ.ค.
นายแจ็ค จานาซีวิคส์ นักยุทธศาสตร์การลงทุนของบริษัทแนติซิส อินเวสท์เมนท์ แมเนเจอร์ส โซลูชันส์ระบุว่า ความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยถือเป็นเหตุผลอันดีสำหรับการปรับเพิ่มสถานะการลงทุนในบริษัทแอลฟาเบท และบริษัทต่าง ๆ ที่เคยมีราคาหุ้นดิ่งลงในช่วงที่ผ่านมาจนส่งผลให้มูลค่าหุ้นมีความน่าดึงดูด โดยขณะนี้ค่าพีอีเรโชล่วงหน้าของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐดิ่งลงสู่ 19.1 เท่าของคาดการณ์ผลกำไร ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่ต้นปี 2020 ทั้งนี้ นายลินด์เซย์ ฮอทัน ผู้จัดการพอร์ตลงทุนในบริษัทฮาร์เบอร์ แคปิตัลระบุว่า มีสัญญาณบ่งชี้ว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์อาจจะผ่านพ้นจุดสูงสุดไปแล้ว และปัจจัยดังกล่าวอาจจะเปิดโอกาสให้เฟดชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย. โดยบริษัทของเขาได้ขายหุ้นบางตัวในกลุ่มพลังงานออกมาในช่วงนี้ และโยกย้ายเงินลงทุนเข้าสู่หุ้นบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยี เพราะเขาเชื่อว่าหุ้นกลุ่มนี้อาจจะพุ่งขึ้นอย่างน้อย 20% ต่อปีในช่วงหลายปีข้างหน้า เนื่องจากมูลค่าหุ้นกลุ่มนี้อยู่ในระดับต่ำมาก และบริษัทในกลุ่มนี้น่าจะครองส่วนแบ่งตลาดได้มากขึ้น--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ดัชนี S&P 500 ปิดลบเล็กน้อยในวันพุธ ขณะที่นักลงทุนเผชิญกับช่วงปลายเดือน, ปลายไตรมาสที่ย่ำแย่ และช่วงครึ่งปีแรกที่เลวร้ายที่สุดสำหรับดัชนีของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทนับตั้งแต่การดำรงตำแหน่งในสมัยแรกของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน โดยดัชนีหุ้นทั้งสามตัวในตลาดหุ้นสหรัฐแกว่งตัวผันผวนระหว่างแดนบวกและลบเกือบตลอดวัน ซึ่งดัชนี Nasdaq ปิดลดลงเล็กน้อย ส่วนดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกเล็กน้อย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 82.32 จุด หรือ 0.27% ที่ 31,029.31, ดัชนี S&P 500 ปิดลดลง 2.72 จุด หรือ 0.07% สู่ระดับ 3,813.83 และดัชนี Nasdaq ปิดลดลง 3.65 จุด หรือ 0.03% สู่ 11,177.89
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงมากที่สุดในดัชนี S&P 500 ขณะที่หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์พุ่งขึ้นมากที่สุด
ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งขึ้นกว่า 1.606% แล้วในปีนี้ ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นมากที่สุดในช่วงครึ่งปีแรกนับตั้งแต่ปี 1984 และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่หุ้นกลุ่มเติบโตที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยร่วงลงกว่า 26% แล้วในปีนี้
กระทรวงพาณิชย์รายงานว่า จีดีพีหดตัวมากกว่าที่ระบุไว้เล็กน้อยในไตรมาสแรกของปีนี้ ขณะที่การใช้จ่ายของผู้บริโภคมีส่วนสนับสนุนจีดีพีน้อยกว่าที่รายงานไปเบื้องต้น--จบ--
(รอยเตอร์ โดย เสาวณีย์ เอกปัญญาชัย แปลและเรียบเรียง)
ดอลลาร์ฟื้นตัวขึ้นบ้างในช่วงเช้าวันนี้จากที่ร่วงลงเมื่อคืนนี้ และเยนแข็งค่าขึ้นเช่นกัน ขณะที่สัญญาล่วงหน้าหุ้นสหรัฐดิ่งลงหลังการออกคำเตือนผลกำไรจากบริษัทสแนปแชท ซึ่งทำให้ความเชื่อมั่นแย่ลงหลังจากตลาดหุ้นวอลล์สตรีทพุ่งขึ้นมากในช่วงต้นสัปดาห์
ดัชนีดอลลาร์ปรับตัวขึ้น 0.1% มาที่ 102.24 โดยดีดตัวขึ้นหลังจากที่ร่วงลง 0.85% เมื่อวานนี้ ซึ่งทำให้ดัชนีร่วงลงอีกจากระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 ทศวรรษที่สูงกว่าระดับ 105 ที่ทำไว้ในกลางเดือน ส่วนดอลลาร์อ่อนค่า 0.18% มาที่ 127.695 เยน ทางด้านยูโรอ่อนค่า 0.21% มาที่ 1.0672 ต่อดอลลาร์ หลังจากที่พุ่งขึ้น 1.17% เมื่อวานนี้ เมื่อนางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) กล่าวว่า ผู้กำหนดนโยบายอาจจะปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในเขตยูโรขึ้นจากแดนลบภายในปลายเดือนก.ย.นี้
ดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่า 0.46% มาที่ 0.70775 ดอลลาร์ และปอนด์อ่อนค่า 0.22% มาที่ 1.2558 ดอลลาร์
สัญญาณเชิงบวกสำหรับเศรษฐกิจโลก อาทิ การออกจากมาตรการล็อคดาวน์ของเซี่ยงไฮ้ และความเห็นของประธานาธิบดีโจ ไบเดนในสัปดาห์นี้ต่อการผ่อนคลายสงครามการค้ากับจีนนั้น ช่วยหนุนความเชื่อมั่นด้วย
เทรดเดอร์จะจับตาดูการเปิดเผยข้อมูลดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตทั่วโลกในวันนี้--จบ--
(รอยเตอร์ โดย เสาวณีย์ เอกปัญญาชัย แปลและเรียบเรียง)
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดพุ่งขึ้นในวันนี้ ขณะที่การพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคาร และการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีช่วยหนุนการพุ่งขึ้นของตลาดโดยรวม หลังจากตลาดหุ้นวอลล์สตรีททำสถิติร่วงติดต่อกันนานที่สุดนับตั้งแต่ยุคดอทคอมดิ่งลงเมื่อกว่า 20 ปีก่อน และดัชนีหลักทั้งสามตัวพุ่งขึ้น 1.6-2.0% ขณะที่ปัจจัยหนุนใหญ่สุดมาจากการดีดตัวขึ้นอย่างมากของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อาทิ หุ้นแอปเปิล และหุ้นไมโครซอฟท์ คอร์ป ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้น 5.1% หลังจากเจพีมอร์แกน เชสได้ปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้จากดอกเบี้ยในปีปัจจุบัน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 618.34 จุด หรือ 1.98% ที่ 31,880.24, ดัชนี S&P 500 ปิดพุ่งขึ้น 72.39 จุด หรือ 1.85% สู่ระดับ 3,973.75 และดัชนี Nasdaq ปิดพุ่งขึ้น 180.65 จุด หรือ 1.59% สู่ 11,535.27
นายชัค คาร์ลสัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารจากฮอไรซัน อินเวสเมนต์ เซอร์วิสเซสกล่าวว่า "ดูเหมือนว่า ตลาดคลายกังวลเรื่องเงินเฟ้อ และเฟดจะสามารถทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างนุ่มนวลได้ แต่แนวโน้มก็ยังคงอยู่ในช่วงขาลง"
เฟดจะเปิดเผยรายงานการประชุมนโยบายครั้งล่าสุดในวันพุธนี้ ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจในสัปดาห์นี้อาจจะหนุนแนวคิดที่ว่า อัตราเงินเฟ้อแตะจุดสูงสุดแล้วในเดือนมี.ค. และจะแสดงให้เห็นว่า ราคาที่ระดับสูงส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคแล้วหรือไม่
ฤดูแถลงผลประกอบการประจำไตรมาสแรกเกือบจะเสร็จสิ้นแล้ว โดยบริษัท 474 แห่งในดัชนี S&P 500 แถลงผลประกอบการแล้ว ซึ่ง 78% ในจำนวนดังกล่าวมีผลประกอบการดีเกินคาด--จบ--
(รอยเตอร์ โดย เสาวณีย์ เอกปัญญาชัย แปลและเรียบเรียง)
นิวยอร์ค--28 เม.ย.--รอยเตอร์
ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกขึ้นในวันพุธ หลังจากดิ่งลงอย่างรุนแรงในวันอังคาร โดยดัชนีได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นบริษัทไมโครซอฟท์และหุ้นบริษัทวีซ่า หลังจากบริษัททั้งสองคาดการณ์รายได้ที่แข็งแกร่ง โดยปัจจัยบวกดังกล่าวช่วยลดความกังวลของนักลงทุนที่มีต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ หุ้นไมโครซอฟท์ซึ่งทำธุรกิจซอฟท์แวร์พุ่งขึ้น 4.81% ในวันพุธ หลังจากไมโครซอฟท์คาดการณ์รายได้ที่แข็งแกร่งในช่วงเย็นวันอังคาร ส่วนหุ้นวีซ่าทะยานขึ้น 6.47% ในวันพุธ หลังจากวีซ่าคาดการณ์ว่ารายได้จะอยู่สูงกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤติโรคระบาด
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.19% สู่ 33,301.93, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับขึ้น 0.21% สู่ 4,183.96 และดัชนี Nasdaq ปิดขยับลง 0.01% สู่ 12,488.93 โดยระดับปิดของ Nasdaq ในวันพุธถือเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2020 ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มบริการการสื่อสารของสหรัฐดิ่งลง 2.6% ในวันพุธ ในขณะที่หุ้นแอลฟาเบทซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิลรูดลง 3.7% หลังจากแอลฟาเบทรายงานว่า ยอดขายโฆษณารายไตรมาสในยูทูบชะลอตัวลง และรายได้อยู่ในระดับต่ำเกินคาด
หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊กปิดดิ่งลง 3.3% ในวันพุธ ก่อนที่เมตาจะเปิดเผยผลประกอบการหลังจากตลาดปิดทำการ ทางด้านหุ้นโบอิ้งดิ่งลง 7.5% หลังจากโบอิ้งประกาศว่าโบอิ้งจะระงับการผลิตเครื่องบินรุ่น 777X จนถึงสิ้นปี 2023 โดยมีสาเหตุมาจากปัญหาด้านการออกใบรับรอง และมีสาเหตุมาจากอุปสงค์ที่อ่อนแอในเครื่องบินลำตัวกว้าง
บริษัท 176 แห่งในดัชนี S&P 500 รายงานผลประกอบการออกมาแล้ว และบริษัทเกือบ 80% ในกลุ่มนี้รายงานผลกำไรที่ดีเกินคาด ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ 66% ทั้งนี้ หุ้นสปอติฟาย เทคโนโลยีดิ่งลง 12.44% ในวันพุธ หลังจากสปอติฟายคาดการณ์รายได้ไตรมาสปัจจุบันในระดับต่ำ
หุ้นเทสลาฟื้นตัวขึ้น 0.6% ในวันพุธ หลังจากดิ่งลง 12% ในวันอังคาร ในขณะที่นักลงทุนกังวลว่า นายอีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลาอาจจะขายหุ้นบางส่วนในเทสลาออกมา เพื่อหาเงินมาใช้ในการทำข้อตกลงขนาด 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อซื้อบริษัททวิตเตอร์ ทั้งนี้ หุ้นแมทเทลซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตของเล่นพุ่งขึ้นเกือบ 11% ในวันพุธ หลังจากแหล่งข่าวกล่าวว่าแมทเทลกำลังพิจารณาเรื่องการขายกิจการ--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน