ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
เพื่อเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็วและติดตามตลาดโฟกัสใน 15 นาที
ในโลกของมนุษยชาติ จะไม่มีคำกล่าวใด ๆ ที่ไม่มีจุดยืนใด ๆ หรือคำพูดใด ๆ ที่ไม่มีจุดประสงค์ใด ๆ
อัตราเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน และเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจเชิงนโยบายของธนาคารกลาง ทัศนคติและคำพูดของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยังมีอิทธิพลต่อการกระทำของเทรดเดอร์ในตลาดอีกด้วย
เงินทำให้โลกหมุนไป และสกุลเงินเป็นสินค้าถาวร ตลาดฟอเร็กซ์เต็มไปด้วยความประหลาดใจและความคาดหวัง
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
เพลิดเพลินกับกิจกรรมที่น่าตื่นเต้น ที่นี่ที่ FastBull
ข่าวด่วนล่าสุดและเหตุการณ์ทางการเงินทั่วโลก
ฉันมีประสบการณ์ 5 ปีในการวิเคราะห์ทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนามหภาคและการตัดสินแนวโน้มระยะกลางและระยะยาว ความสนใจของฉันอยู่ที่การพัฒนาของตะวันออกกลาง ตลาดเกิดใหม่ ถ่านหิน ข้าวสาลี และสินค้าเกษตรอื่นๆ
7 ปีของตลาดหุ้น การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โลหะมีค่า และประสบการณ์การซื้อขายและการวิเคราะห์อื่น ๆ โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐาน การสนับสนุนทางเทคนิค มีอคติต่อตรรกะธุรกรรมจากบนลงล่าง โดยเน้นที่วัฏจักรมหภาคและการควบคุมความเสี่ยง การคาดการณ์เชิงทฤษฎีอุปสงค์และอุปทานอเนกประสงค์ การเปลี่ยนแปลงของราคา สร้างสมดุลระหว่างผลกระทบของธุรกรรม การกระจายชิปและอารมณ์ตลาด และคงที่
อัปเดตล่าสุด
สร้างทัศนคติการลงทุนที่ดี
วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ปรัชญาการลงทุนของเขาประกอบด้วยการสร้างกรอบความคิดระยะยาว ขจัดญาณรบกวนของตลาด ไม่เก็งกำไร และเน้นย้ำว่าการลงทุนต้องมีมีจิตใจที่มั่นคงและเป้าหมายที่ชัดเจน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง
แม้ว่าระบบกฎหมายและกรอบการกำกับดูแลในฮ่องกงจะค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ตลาดหุ้นยังคงเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายพิเศษหลายประการ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่าง HKD และ USD นักลงทุนต่างชาติอาจเผชิญกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความผันผวนของนโยบายและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นฮ่องกงด้วย
โครงสร้างต้นทุนและภาษีเมื่อลงทุนในหุ้นฮ่องกง
ต้นทุนการซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมหุ้น ค่าอากรแสตมป์ ค่าธรรมเนียมการชำระบัญชี ฯลฯ สำหรับนักลงทุนต่างชาติอาจมีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินเพิ่มเติมเป็นดอลลาร์ฮ่องกงและภาษีอื่น ๆ ตามข้อบังคับท้องถิ่น
การวิเคราะห์อุตสาหกรรมฮ่องกง:อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็น
อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็นของฮ่องกง ได้แก่ รถยนต์ การศึกษา การท่องเที่ยว การจัดเลี้ยง เครื่องแต่งกาย และภาคส่วนอื่นๆ อีกมากมาย จากบริษัทจดทะเบียน 643 แห่งนั้น 35% เป็นบริษัทในจีนแผ่นดินใหญ่และคิดเป็น 65% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด ดังนั้นอุตสาหกรรมนี้จึงได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากเศรษฐกิจจีน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด
ไม่มีข้อมูล
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม
สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
นิวยอร์ค--22 พ.ย.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนกังวลว่า จีนอาจจะดำเนินมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 อย่างเข้มงวดอีกครั้ง หลังจากเทศบาลกรุงปักกิ่งของจีนประกาศเตือนในวันจันทร์ว่า กรุงปักกิ่งกำลังเผชิญกับการทดสอบครั้งร้ายแรงที่สุดสำหรับการระบาดของโรคโควิด-19 โดยมีการสั่งปิดธุรกิจและโรงเรียนในบางเขตของกรุงปักกิ่ง และมีการเพิ่มความเข้มงวดในกฎระเบียบสำหรับการเดินทางเข้าเมือง หลังจากยอดผู้ติดเชื้อปรับสูงขึ้นทั้งในกรุงปักกิ่งและทั่วประเทศจีน ทางด้านนักลงทุนคาดว่า รัฐบาลจีนอาจจะไม่ผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคลงในเร็ว ๆ นี้ ทั้งนี้ หุ้นบริษัทคาสิโนของสหรัฐที่มีธุรกิจในจีนดิ่งลงอย่างรุนแรง โดยหุ้นบริษัทวินน์ รีสอร์ทส์, ลาส เวกัส แซนด์ส, เอ็มจีเอ็ม รีสอร์ทส์ อินเตอร์เนชั่นแนล และเมลโค รีสอร์ทส์ แอนด์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ต่างก็ดิ่งลงอย่างน้อย 2% ในวันจันทร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดขยับลง 0.13% สู่ 33,700.28, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.39% สู่ 3,949.94 และดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 1.09% สู่ 11,024.51 ทั้งนี้ วอลุ่มการซื้อขายอยู่ในระดับเบาบางในวันจันทร์ โดยอยู่ที่ 9.43 พันล้านหุ้น ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของช่วง 20 วันทำการที่ผ่านมาที่ระดับ 1.188 หมื่นล้านหุ้นต่อวัน โดยวอลุ่มการซื้อขายมีแนวโน้มที่จะลดลงจนถึงวันพฤหัสบดีที่ 24 พ.ย. ซึ่งถือเป็นวันหยุดเนื่องในวันขอบคุณพระเจ้าของสหรัฐ และปัจจัยนี้อาจจะส่งผลให้ตลาดหุ้นแกว่งตัวผันผวนมากยิ่งขึ้นในช่วงนี้
ตลาดหุ้นลดช่วงติดลบกลับขึ้นมาได้บ้างในช่วงบ่าย หลังจากนางแมรี ดาลี ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาซานฟรานซิสโกกล่าวว่า เจ้าหน้าที่จำเป็นจะต้องใช้ความระมัดระวัง เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างเลวร้าย ทางด้านนางลอเรตตา เมสเตอร์ ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์แสดงความเห็นสอดคล้องกับนางดาลี โดยนางเมสเตอร์กล่าวว่า เธอสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในขนาดที่เล็กลงในเดือนธ.ค. ทั้งนี้ เทรดเดอร์คาดว่า มีโอกาส 81% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ 4.25-4.50% ในการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 13-14 ธ.ค. และเทรดเดอร์คาดว่า อัตราดอกเบี้ยของเฟดจะขึ้นไปแตะจุดสูงสุดในเดือนมิ.ย. 2023
ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานของสหรัฐดิ่งลงเกือบ 3% ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันจันทร์ และรูดลงแตะจุดต่ำสุดในรอบ 4 สัปดาห์ ในขณะที่ราคาน้ำมันดิ่งลงกว่า 5% ในช่วงแรก หลังจากมีข่าวว่าซาอุดิอาระเบียกับประเทศอื่น ๆ ในกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) กำลังหารือกันเรื่องการปรับเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมัน อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นกลุ่มน้ำมันลดช่วงติดลบกลับขึ้นมาได้บ้าง หลังจากซาอุดิอาระเบียปฏิเสธข่าวนี้ ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นมาแล้วราว 63% จากช่วงต้นปีนี้ และถือเป็นหุ้นกลุ่มใหญ่เพียงกลุ่มเดียวในตลาดหุ้นสหรัฐที่มีแนวโน้มปิดตลาดในแดนบวกในปีนี้
หุ้นวอลท์ ดิสนีย์พุ่งขึ้น 6.30% หลังจากนายบ็อบ ไอเกอร์กลับมาดำรงตำแหน่งซีอีโอของวอลท์ ดิสนีย์ ทั้งนี้ หุ้นเทสลาซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าดิ่งลง 6.84% หลังจากเทสลาประกาศว่า เทสลาจะเรียกคืนรถยนต์ในสหรัฐเพราะมีปัญหาไฟท้ายไม่ทำงานในบางครั้ง--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--27 ก.ย.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดดิ่งลงในวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนกังวลว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวเพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อ และการทำเช่นนั้นอาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐตกต่ำลงอย่างรุนแรง ทั้งนี้ หลังจากตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ก็ดิ่งลงมาแล้ว 20.5% จากสถิติระดับปิดสูงสุดที่เคยทำไว้ในวันที่ 4 ม.ค. โดยการดิ่งลง 20% หรือมากกว่านั้นจากระดับปิดสูงสุดถือเป็นการยืนยันว่า ดัชนีดาวโจนส์เข้าสู่ภาวะตลาดหมีนับตั้งแต่แตะจุดสูงสุดในเดือนม.ค. ทางด้านดัชนี S&P 500 ยืนยันการเข้าสู่ภาวะตลาดหมีไปแล้วในเดือนมิ.ย. และดัชนี S&P ก็ดิ่งลงมาแล้วราว 23% จากช่วงต้นปี 2022 โดยดัชนี S&P ปิดตลาดวันจันทร์ที่ระดับต่ำกว่าระดับปิดต่ำสุดของช่วงกลางเดือนมิ.ย.ด้วย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดดิ่งลง 1.11% สู่ 29,260.81, ดัชนี S&P 500 ปิดรูดลง 1.03% สู่ 3,655.04 และดัชนี Nasdaq ปิดปรับลง 0.6% สู่ 10,802.92 ทั้งนี้ หุ้น 10 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดในแดนลบ โดยดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานรูดลง 2.6% และถือเป็นหุ้นสองกลุ่มที่ดิ่งลงมากที่สุด อย่างไรก็ดี หุ้นบริษัทอะเมซอนและหุ้นบริษัทคอสต์โค โฮลเซลพุ่งขึ้นในวันจันทร์ และปัจจัยนี้ช่วยจำกัดการร่วงลงของดัชนี Nasdaq
ตลาดหุ้นได้รับแรงกดดัน หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% เป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน โดยปรับกรอบเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นสู่ 3.00-3.25% ในวันพุธที่ 21 ก.ย. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2008 และรายงานคาดการณ์ฉบับใหม่ของเฟดระบุว่า กรอบเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดมีแนวโน้มพุ่งขึ้นสู่ 4.25-4.50% ก่อนสิ้นปีนี้ และจะอยู่ที่ 4.50-4.75% ในช่วงปลายปี 2023 ทั้งนี้ นายเจค ดอลลาร์ไฮด์ ซีอีโอของบริษัทลองโบว์ แอสเซท แมเนจเมนท์กล่าวว่า นักลงทุนเทขายหุ้นออกมา ในขณะที่นักลงทุนไม่แน่ใจว่า "อัตราดอกเบี้ย Fed funds จะขึ้นไปแตะจุดสูงสุดที่ระดับใด โดยอัตราดอกเบี้ยอาจจะขึ้นไปแตะ 4.6% หรืออาจจะขึ้นไปแตะ 5% และนักลงทุนไม่แน่ใจว่าอัตราดอกเบี้ยจะแตะจุดสูงสุดในปี 2023 หรือไม่"
ตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันจากความเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงในตลาดปริวรรตเงินตราด้วย ในขณะที่ปอนด์ดิ่งลง 4.9% ในระหว่างวัน และลงไปแตะสถิติต่ำสุดใหม่ในวันจันทร์ที่ 1.0327 ดอลลาร์ โดยปอนด์ได้รับแรงกดดันหลังจากนายควาซี กวาร์เตง รมว.คลังอังกฤษประกาศแผนการปรับลดภาษีครั้งใหญ่ในวันศุกร์ และรัฐบาลอังกฤษจะกู้เงินเพิ่มขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 1972 เพื่อหาเงินมาใช้รองรับแผนการปรับลดภาษีนี้ ทางด้านนักลงทุนกังวลว่า แผนเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาลอังกฤษจะสร้างความเสียหายต่อฐานะการคลังของอังกฤษ ทั้งนี้ นักลงทุนกังวลว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย และกังวลกับอัตราเงินเฟ้อในบางประเทศที่แตะจุดสูงสุดในรอบหลายสิบปีในช่วงนี้ด้วย ทางด้านดัชนี VIX ที่ใช้วัดระดับความกังวลในตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้น 7.8% มาปิดตลาดที่ 32.26 ในวันจันทร์ หลังจากทะยานขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 3 เดือนที่ 32.88 ในระหว่างวัน
หุ้นกลุ่มคาสิโนของสหรัฐพุ่งขึ้น โดยหุ้นบริษัทวินน์ รีสอร์ท, บริษัทลาสเวกัส แซนด์ และบริษัทเมลโค รีสอร์ท แอนด์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์พุ่งขึ้น 11.8-25.5% หลังจากมาเก๊าวางแผนที่จะเปิดให้กรุ๊ปทัวร์จากจีนเข้ามาเที่ยวในมาเก๊าได้ในเดือนพ.ย. ซึ่งจะถือเป็นการเปิดต้อนรับกรุ๊ปทัวร์เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--28 ธ.ค.--รอยเตอร์
ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นมาปิดตลาดที่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ในวันจันทร์ และปิดตลาดในแดนบวกเป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน ในขณะที่ยอดค้าปลีกที่ระดับสูงในสหรัฐช่วยตอกย้ำความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ และปัจจัยดังกล่าวช่วยบดบังความกังวลของนักลงทุนที่มีต่อการยกเลิกเที่ยวบินหลายพันเที่ยวในสหรัฐท่ามกลางการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์โอมิครอน ถึงแม้ว่าการยกเลิกเที่ยวบินดังกล่าวส่งผลให้หุ้นกลุ่มการท่องเที่ยวร่วงลง ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มค้าปลีกของสหรัฐพุ่งขึ้น หลังจากบริษัทมาสเตอร์การ์ด อิงค์รายงานในวันอาทิตย์ว่า ยอดค้าปลีกในสหรัฐ (ซึ่งไม่รวมรถยนต์) พุ่งขึ้น 8.5% ในช่วงฤดูช้อปปิ้งปลายปีนี้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว โดยช่วงฤดูช้อปปิ้งนี้ครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.-24 ธ.ค. และได้รับแรงหนุนหลักจากการพุ่งขึ้น 11% ของยอดค้าปลีกทางระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.98% สู่ 36,302.38, ดัชนี S&P 500 ปิดพุ่งขึ้น 1.38% สู่ 4,791.19 หลังจากทะยานขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ในระหว่างวันที่ 4,791.49 และดัชนี Nasdaq ปิดพุ่งขึ้น 1.39% สู่ 15,871.26 ทั้งนี้ หุ้นทั้ง 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดในแดนบวก โดยหุ้นกลุ่มพลังงานกับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีถือเป็นหุ้นสองกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด
ในส่วนของหุ้นกลุ่มย่อยนั้น ดัชนีหุ้นกลุ่มสายการบินของสหรัฐร่วงลง 0.57% หลังจากสายการบินในสหรัฐยกเลิกเที่ยวบินหลายพันเที่ยวในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และยกเลิกเที่ยวบินอีกราว 800 เที่ยวในวันจันทร์ เนื่องจากยอดผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนพุ่งสูงขึ้น ทางด้านหุ้นกลุ่มเรือสำราญดิ่งลงอย่างรุนแรงด้วยเช่นกัน โดยหุ้นนอร์วีเจียน ครุยส์ ไลน์ โฮลอิงส์ดิ่งลง 2.55%, หุ้นรอยัล แคริบเบียนรูดลง 1.35% และหุ้นคาร์นิวัล คอร์ปดิ่งลง 1.18%
ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 4.9% ในช่วง 4 วันทำการที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นระยะ 4 วันครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ย. 2020 นอกจากนี้ ดัชนี S&P 500 ก็มีแนวโน้มว่าอาจจะปิดตลาดปีนี้ในแดนบวกเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน โดยมีแนวโน้มว่าการพุ่งขึ้นช่วง 3 ปีล่าสุดนี้ (2019-2021) จะถือเป็นการพุ่งขึ้นระยะ 3 ปีครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 1999
ดัชนี Nasdaq ได้รับแรงหนุนในวันจันทร์จากการพุ่งขึ้นของหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ ซึ่งรวมถึงหุ้นเทสลา, ไมโครซอฟท์, แอปเปิล และเมตา แพลตฟอร์ม (เฟซบุ๊ก)--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--14 ธ.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดดิ่งลงในวันจันทร์ ในขณะที่หุ้นกลุ่มเรือสำราญและหุ้นสายการบินบางแห่งรูดลง เนื่องจากนักลงทุนกังวลกับข่าวการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์โอไมครอน และนักลงทุนรอดูการประชุมกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 14-15 ธ.ค. ทั้งนี้ มีข่าวว่ามีผู้เสียชีวิตหนึ่งรายจากสายพันธุ์โอไมครอนในอังกฤษ ในขณะที่สายพันธุ์โอไมครอนครองสัดส่วนราว 40% ของยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ในกรุงลอนดอน โดยข่าวนี้ส่งผลให้หุ้นกลุ่มการท่องเที่ยวดิ่งลง ซึ่งรวมถึงดัชนีหุ้นกลุ่มสายการบินที่ดิ่งลงราว 3% ทางด้านหุ้นบริษัทนอร์วีเจียน ครุยส์ ไลน์ โฮลดิงส์, คาร์นิวาล คอร์ป และรอยัล แคริบเบียน ครุยเซสในกลุ่มเรือสำราญรูดลงกว่า 4%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.89% สู่ 35,651.61, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.91% สู่ 4,668.97 แต่ดัชนียังคงพุ่งขึ้นมาแล้วราว 24% จากช่วงต้นปีนี้ ทางด้านดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 1.39% สู่ 15,413.28 ทั้งนี้ หุ้นส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงในวันจันทร์ โดยมีเพียงแค่หุ้นกลุ่มปลอดภัยที่ปิดตลาดในแดนบวก ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น, หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค และหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
หุ้นบริษัทแอปเปิล อิงค์ดิ่งลง 2.1% ถึงแม้บริษัทเจ.พี. มอร์แกนปรับขึ้นราคาเป้าหมายของหุ้นแอปเปิล โดยในขณะนี้แอปเปิลใกล้ที่จะกลายเป็นบริษัทแห่งแรกในโลกที่มีมูลค่าในตลาดสูงถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์
นักลงทุนคาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณแบบสายเหยี่ยวมากยิ่งขึ้นในวันพุธนี้ โดยเฟดอาจจะเร่งความเร็วในการปรับลดขนาดมาตรการเข้าซื้อตราสารหนี้ ซึ่งจะส่งผลให้เฟดสามารถเริ่มต้นปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ในเวลาที่เร็วขึ้น ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์คาดว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากระดับใกล้ 0% สู่ 0.25-0.50% ในไตรมาสสามของปีหน้า และจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในไตรมาสสี่ของปีหน้า
หุ้นบริษัทไฟเซอร์ อิงค์พุ่งขึ้น 4.6% หลังจากไฟเซอร์ตกลงที่จะเข้าซื้อบริษัทอารีนา ฟาร์มาซูติคัลส์ในข้อตกลงขนาด 6.7 พันล้านดอลลาร์โดยใช้เงินสดทั้งหมด ทางด้านหุ้นอารีนาพุ่งขึ้น 80%--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--30 พ.ย.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกขึ้นในวันจันทร์ หลังจากดิ่งลงในวันศุกร์ ในขณะที่นักลงทุนคาดหวังว่าเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์โอมิครอนจะไม่ส่งผลให้สหรัฐประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ หลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐกล่าวในวันจันทร์ว่า ยังไม่มีการพิจารณาเรื่องมาตรการล็อกดาวน์ในตอนนี้ และเขาขอให้ชาวสหรัฐไม่ตื่นตระหนกกับสายพันธุ์โอมิครอน อย่างไรก็ดี เขาแนะนำให้ชาวสหรัฐฉีดวัคซีนและใส่หน้ากากอนามัยขณะอยู่ในตัวอาคาร และเขากล่าวเสริมว่ารัฐบาลสหรัฐกำลังทำงานร่วมกับบริษัทเวชภัณฑ์ในการเตรียมแผนรับสถานการณ์ฉุกเฉิน ถ้าหากมีความจำเป็นต้องฉีดวัคซีนใหม่ ทั้งนี้ ดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่าดัชนี S&P และดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ในวันจันทร์ ในขณะที่ดัชนี Nasdaq ได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐพุ่งขึ้น 4% ในวันจันทร์ โดยได้รับแรงหนุนสำคัญจากหุ้นบริษัทเอ็นวิเดียที่ทะยานขึ้น 5.9% ทางด้านดัชนีดาวโจนส์ปรับขึ้นไม่มากนัก เนื่องจากดัชนีดาวโจนส์ได้รับแรงกดดันจากหุ้นบริษัทเมอร์ค แอนด์ โคที่ดิ่งลง 5.4% หลังจากผลการศึกษายารักษาโรคโควิด-19 ของเมอร์คแสดงให้เห็นว่า ยาตัวนี้มีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงในการเข้าโรงพยาบาลและการเสียชีวิตในระดับต่ำกว่าที่เคยระบุไว้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.68% สู่ 35,135.94, ดัชนี S&P 500 ปิดพุ่งขึ้น 1.32% สู่ 4,655.27 และดัชนี Nasdaq ปิดทะยานขึ้น 1.88% สู่ 15,782.83 ทั้งนี้ ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้น 2.6% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยทะยานขึ้น 1.6% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากเป็นอันดับสอง โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นอะเมซอนดอทคอมและหุ้นเทสลา นอกจากนี้ ดัชนี S&P ก็ได้รับแรงหนุนสำคัญจากหุ้นบริษัทไมโครซอฟท์ที่พุ่งขึ้น 2.11% และหุ้นบริษัทแอปเปิลที่ทะยานขึ้น 2.19% ด้วย โดยหุ้นแอปเปิลได้รับแรงหนุน หลังจากธนาคาร HSBC ปรับขึ้นราคาเป้าหมายของหุ้นแอปเปิล
นักลงทุนมีความมั่นใจในการลงทุนมากยิ่งขึ้น หลังจากได้ฟังถ้อยแถลงของปธน.ไบเดน และหลังจากบริษัทยาส่งสัญญาณว่า ทางบริษัทให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับสายพันธุ์โอมิครอน โดยบริษัทไฟเซอร์, บิออนเทค, โมเดอร์นา และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันระบุในวันจันทร์ว่า ทางบริษัทกำลังพัฒนาวัคซีนที่ตั้งเป้าไปที่สายพันธุ์โอมิครอนอย่างเฉพาะเจาะจง เพื่อใช้ในกรณีที่วัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถต้านทานสายพันธุ์โอมิครอนได้ ทั้งนี้ หุ้นโมเดอร์นาพุ่งขึ้น 11.8%, หุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันบวกขึ้น 0.34% แต่หุ้นไฟเซอร์ดิ่งลงเกือบ 3% ทางด้านศูนย์การควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐระบุหลังจากตลาดปิดทำการในวันจันทร์ว่า ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปควรฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในเวลา 6 เดือนหลังจากฉีดวัคซีนของไฟเซอร์หรือโมเดอร์นา หรือในเวลา 2 เดือนหลังจากฉีดวัคซีนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน
นางแคโรล ชลีฟ รองหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัทบีเอ็มโอตั้งข้อสังเกตว่า นักลงทุนมีความคุ้นเคยกับการเข้าช้อนซื้อเก็งกำไรเมื่อใดก็ตามที่ตลาดหุ้นดิ่งลงในปีนี้ และเธอตั้งข้อสังเกตว่า "นักลงทุนพยายามประเมินสถานการณ์ใหม่ในช่วงนี้ และจะใช้ความอดทนในช่วงนี้" ทั้งนี้ อังกฤษระบุว่า อังกฤษจะฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้แก่ผู้ใหญ่ทุกคน และจะฉีดวัคซีนเข็มที่สองให้แก่เด็กอายุ 12-15 ปี หลังจากมีความกังวลเรื่องสายพันธุ์โอมิครอน โดยอังกฤษต้องการใช้วัคซีนของโมเดอร์นาและไฟเซอร์ในฐานะวัคซีนเข็มกระตุ้น
หุ้นเทสลาพุ่งขึ้น 5% หลังจากมีข่าวว่านายอีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลาขอให้ลูกจ้างปรับลดต้นทุนในการจัดส่งรถยนต์--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--29 พ.ย.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดดิ่งลงอย่างรุนแรงในวันศุกร์ โดยได้รับแรงกดดันจากข่าวเรื่องการค้นพบเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่มีการกลายพันธุ์ในหลายตำแหน่งในแอฟริกาใต้ หรือที่เรียกว่าสายพันธุ์โอมิครอน และรัฐบาลหลายประเทศก็แสดงปฏิกิริยาต่อข่าวนี้ โดยสหภาพยุโรป (อียู) และอังกฤษได้ออกมาตรการคุมเข้มด้านพรมแดน ในขณะที่นักวิจัยพยายามศึกษาว่า สายพันธุ์โอมิครอนนี้ดื้อต่อวัคซีนหรือไม่ ทั้งนี้ ข่าวดังกล่าวส่งผลลบเป็นอย่างมากต่อหุ้นบริษัทที่เคยพุ่งขึ้นในช่วงที่ผ่านมาเพราะได้รับแรงหนุนจากการเปิดเศรษฐกิจ โดยหุ้นบางตัวในกลุ่มผู้ประกอบการเรือสำราญ ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทคาร์นิวาล คอร์ป, รอยัล แคริบเบียน ครุยเซส และนอร์วีเจียน ครุยส์ ไลน์ต่างก็ดิ่งลงกว่า 10% ส่วนหุ้นสายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์, เดลตา แอร์ ไลน์ และอเมริกัน แอร์ไลน์รูดลงด้วยเช่นกัน ทางด้านดัชนี NYSE Arca สำหรับหุ้นกลุ่มสายการบินดิ่งลง 6.45% ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2020
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดดิ่งลง 2.53% สู่ 34,899.34, ดัชนี S&P 500 ปิดรูดลง 2.27% สู่ 4,594.62; และดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 2.23% สู่ 15,491.66 ทั้งนี้ หุ้น 10 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดดิ่งลงกว่า 1% โดยมีเพียงแค่หุ้นกลุ่มการแพทย์เท่านั้นที่ปิดตลาดร่วงลงเพียง 0.45% โดยหุ้นกลุ่มการแพทย์ได้รับแรงหนุนจากหุ้นไฟเซอร์ที่พุ่งขึ้น 6.11% มาปิดตลาดที่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ที่ 54 ดอลลาร์ และได้รับแรงหนุนจากหุ้นโมเดอร์นาที่ทะยานขึ้น 20.57% ในวันศุกร์ ทางด้านดัชนี Russell 2000 สำหรับหุ้นบริษัทขนาดเล็กของสหรัฐปิดดิ่งลง 3.67% โดยทั้งดัชนี S&P 500 และดัชนีหุ้นบริษัทขนาดเล็กต่างก็รูดลงในวันศุกร์ในอัตราที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 25 ก.พ. เป็นต้นมา
นักลงทุนตั้งข้อสังเกตว่า การที่ตลาดหุ้นดิ่งลงอย่างรุนแรงในวันศุกร์อาจมีสาเหตุบางส่วนมาจากปริมาณการซื้อขายที่เบาบาง เนื่องจากวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาเป็นวันหยุดเนื่องในวันขอบคุณพระเจ้าของสหรัฐ ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มค้าปลีกดิ่งลง 2.04% ในขณะที่นักลงทุนกังวลว่าเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จะส่งผลลบต่อจำนวนลูกค้าที่เข้าร้านค้า และจะส่งผลลบต่ออุปทานสินค้าด้วย ทางด้านดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐรูดลง 3.87% ในขณะที่นักลงทุนปรับลดการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว
หุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลง 4% ในวันศุกร์ ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 8 เดือน โดยได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบสหรัฐที่ปิดตลาดรูดลง 10.24 ดอลลาร์ หรือ 13.1% สู่ 68.15 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันศุกร์ อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มพลังงานถือเป็นหุ้นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุดในปีนี้ ทั้งนี้ ดัชนีความผันผวน CBOE หรือดัชนี VIX ที่ใช้วัดระดับความกังวลในตลาดหุ้นสหรัฐ ปิดพุ่งขึ้น 54% สู่ 28.62 หลังจากทะยานขึ้นแตะ 28.99 ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนมี.ค.
หุ้นกลุ่มที่ได้รับแรงหนุนจากการกักตัวอยู่บ้านพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันศุกร์ โดยหุ้นเน็ตฟลิกซ์ปิดพุ่งขึ้น 1.12%, หุ้นเพโลตอน อินเทอร์แอคทีฟ ซึ่งเป็นบริษัทอุปกรณ์ออกกำลังกายทะยานขึ้น 5.67% และหุ้นซูม วิดีโอ คอมมูนิเคชันส์พุ่งขึ้น 5.72%--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--22 พ.ย.--รอยเตอร์
ดัชนี Nasdaq ของตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นมาปิดตลาดเหนือระดับ 16,000 ได้เป็นครั้งแรกในวันศุกร์ และทำสถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ได้เป็นวันที่สองติดต่อกัน โดยได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อย่างไรก็ดี ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลงมาปิดตลาดในแดนลบเป็นวันที่ 4 ในรอบ 5 วันทำการ โดยได้รับแรงกดดันจากความกังวลเรื่องโรคระบาด ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐได้รับแรงกดดันในวันศุกร์จากการดิ่งลงของหุ้นกลุ่มธนาคาร, หุ้นกลุ่มพลังงาน และหุ้นกลุ่มสายการบิน ในขณะที่นักลงทุนกังวลว่าหลายประเทศในยุโรปอาจจะทำตามอย่างออสเตรียในการประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์อย่างเต็มที่อีกครั้งเพื่อรับมือกับการพุ่งขึ้นของยอดผู้ป่วยโรคโควิด-19
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.75% สู่ 35,601.98, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.14% สู่ 4,697.96 และดัชนี Nasdaq ปิดบวกขึ้น 0.4% สู่ 16,057.44 ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการดิ่งลง 1.38% จากสัปดาห์ที่แล้ว และดัชนีรูดลงมาแล้วราว 2.3% จากสถิติสูงสุดที่ทำไว้ในวันที่ 8 พ.ย. ส่วนดัชนี S&P ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการบวกขึ้น 0.34% จากสัปดาห์ที่แล้ว และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 1.24% จากสัปดาห์ที่แล้ว
ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารดิ่งลง 1.6% ในวันศุกร์ ในขณะที่นักลงทุนเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย และส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีดิ่งลงสู่ 1.548% ในวันศุกร์ จาก 1.587% ในวันพฤหัสบดี ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานของสหรัฐดิ่งลง 3.9% และถือเป็นหุ้นกลุ่มที่รูดลงมากที่สุดในวันศุกร์ โดยได้รับแรงกดดันจากการดิ่งลงอย่างรุนแรงของราคาน้ำมันท่ามกลางความกังวลเรื่องอุปสงค์น้ำมัน ทางด้านหุ้นกลุ่มสายการบินและหุ้นกลุ่มเรือสำราญรูดลงด้วยเช่นกัน โดยหุ้นเดลตา แอร์ ไลน์, ยูไนเต็ด แอร์ไลน์, อเมริกัน แอร์ไลน์, นอร์วีเจียน ครุยส์ ไลน์ และคาร์นิวาล คอร์ปร่วงลง 0.6-2.8% อย่างไรก็ดี การร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) และความต้องการซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยช่วยหนุนหุ้นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่และดัชนี Nasdaq ให้ปรับขึ้นในวันศุกร์ ทั้งนี้ นายเจย์ แฮทฟิลด์ ซีอีโอของบริษัทอินฟราสตรัคเจอร์ แคปิตัล แมเนจเมนท์กล่าวว่า "เป็นเรื่องปกติที่นักลงทุนจะลดความเสี่ยงลง แต่ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีสภาพคล่องสูงมากจนส่งผลให้ตลาดหุ้นไม่ดิ่งลง และนักลงทุนก็ลดความเสี่ยงด้วยการเข้าซื้อหุ้นกลุ่มปลอดภัยแทน"
ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) ปรับขึ้น 0.8% และถือเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มใหญที่ปรับขึ้นมากที่สุดในวันศุกร์ โดยหุ้นกลุ่มไอทีได้รับแรงหนุนจากหุ้นบริษัทอินชูอิท อิงค์ (Intuit Inc) ซึ่งเป็นบริษัทซอฟท์แวร์ภาษีเงินได้ที่พุ่งขึ้น 10.1% หลังจากอินชูอิทรายงานผลกำไรรายไตรมาสที่ดีเกินคาด และโบรกเกอร์ปรับขึ้นราคาเป้าหมายของหุ้นตัวนี้ ทั้งนี้ หุ้นเอ็นวิเดียซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปพุ่งขึ้น 4.1% มาปิดตลาดที่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่เป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐบวกขึ้น 0.3% และมาปิดตลาดที่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่เป็นวันที่ 3 ในรอบ 4 วันทำการ
หุ้นบริษัทบางแห่งที่ได้รับประโยชน์จากการกักตัวอยู่บ้านปรับขึ้นในวันศุกร์ โดยหุ้นคลอร็อกซ์ซึ่งเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อบวกขึ้น 0.73% และหุ้นเอ็ตซีซึ่งเป็นผู้ค้างานฝีมือออนไลน์พุ่งขึ้น 1.42% อย่างไรก็ดี หุ้นเน็ตฟลิกซ์ร่วงลง 0.47%, หุ้นโรคูซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์สตรีมมิงร่วงลง 0.74% และหุ้นซูม วิดีโอ คอมมูนิเคชันส์ดิ่งลง 1.74% ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยของสหรัฐปรับขึ้น 0.3% และปิดตลาดที่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่เป็นวันที่สองติดต่อกัน หลังจากบริษัทในภาคค้าปลีกเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งในสัปดาห์นี้ และมีสัญญาณบ่งชี้ว่ายอดช้อปปิ้งในช่วงเทศกาลวันหยุดปลายปีจะอยู่ในระดับแข็งแกร่ง โดยหุ้นโลว์ส คอมปานีส์ในกลุ่มค้าปลีกปรับขึ้น 0.9% ในวันศุกร์ หลังจากโลว์สเปิดเผยผลประกอบการไตรมาสสามในวันพุธที่ผ่านมา--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน