ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
เพื่อเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็วและติดตามตลาดโฟกัสใน 15 นาที
ในโลกของมนุษยชาติ จะไม่มีคำกล่าวใด ๆ ที่ไม่มีจุดยืนใด ๆ หรือคำพูดใด ๆ ที่ไม่มีจุดประสงค์ใด ๆ
อัตราเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน และเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจเชิงนโยบายของธนาคารกลาง ทัศนคติและคำพูดของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยังมีอิทธิพลต่อการกระทำของเทรดเดอร์ในตลาดอีกด้วย
เงินทำให้โลกหมุนไป และสกุลเงินเป็นสินค้าถาวร ตลาดฟอเร็กซ์เต็มไปด้วยความประหลาดใจและความคาดหวัง
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
เพลิดเพลินกับกิจกรรมที่น่าตื่นเต้น ที่นี่ที่ FastBull
ข่าวด่วนล่าสุดและเหตุการณ์ทางการเงินทั่วโลก
ฉันมีประสบการณ์ 5 ปีในการวิเคราะห์ทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนามหภาคและการตัดสินแนวโน้มระยะกลางและระยะยาว ความสนใจของฉันอยู่ที่การพัฒนาของตะวันออกกลาง ตลาดเกิดใหม่ ถ่านหิน ข้าวสาลี และสินค้าเกษตรอื่นๆ
7 ปีของตลาดหุ้น การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โลหะมีค่า และประสบการณ์การซื้อขายและการวิเคราะห์อื่น ๆ โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐาน การสนับสนุนทางเทคนิค มีอคติต่อตรรกะธุรกรรมจากบนลงล่าง โดยเน้นที่วัฏจักรมหภาคและการควบคุมความเสี่ยง การคาดการณ์เชิงทฤษฎีอุปสงค์และอุปทานอเนกประสงค์ การเปลี่ยนแปลงของราคา สร้างสมดุลระหว่างผลกระทบของธุรกรรม การกระจายชิปและอารมณ์ตลาด และคงที่
อัปเดตล่าสุด
สร้างทัศนคติการลงทุนที่ดี
วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ปรัชญาการลงทุนของเขาประกอบด้วยการสร้างกรอบความคิดระยะยาว ขจัดญาณรบกวนของตลาด ไม่เก็งกำไร และเน้นย้ำว่าการลงทุนต้องมีมีจิตใจที่มั่นคงและเป้าหมายที่ชัดเจน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง
แม้ว่าระบบกฎหมายและกรอบการกำกับดูแลในฮ่องกงจะค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ตลาดหุ้นยังคงเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายพิเศษหลายประการ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่าง HKD และ USD นักลงทุนต่างชาติอาจเผชิญกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความผันผวนของนโยบายและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นฮ่องกงด้วย
โครงสร้างต้นทุนและภาษีเมื่อลงทุนในหุ้นฮ่องกง
ต้นทุนการซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมหุ้น ค่าอากรแสตมป์ ค่าธรรมเนียมการชำระบัญชี ฯลฯ สำหรับนักลงทุนต่างชาติอาจมีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินเพิ่มเติมเป็นดอลลาร์ฮ่องกงและภาษีอื่น ๆ ตามข้อบังคับท้องถิ่น
การวิเคราะห์อุตสาหกรรมฮ่องกง:อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็น
อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็นของฮ่องกง ได้แก่ รถยนต์ การศึกษา การท่องเที่ยว การจัดเลี้ยง เครื่องแต่งกาย และภาคส่วนอื่นๆ อีกมากมาย จากบริษัทจดทะเบียน 643 แห่งนั้น 35% เป็นบริษัทในจีนแผ่นดินใหญ่และคิดเป็น 65% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด ดังนั้นอุตสาหกรรมนี้จึงได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากเศรษฐกิจจีน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด
ไม่มีข้อมูล
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม
สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
นิวยอร์ค--24 พ.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดดิ่งลงอย่างรุนแรงในวันอังคาร โดยได้รับแรงกดดันจากความกังวลของนักลงทุนที่มีต่อปัญหาเพดานหนี้ของรัฐบาลสหรัฐ ในขณะที่ตัวแทนของประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐกับสมาชิกสภาคองเกรสพรรครีพับลิกันได้เจรจาต่อรองเรื่องเพดานหนี้กันอีกครั้งในวันอังคาร แต่ไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาต่อรอง ถึงแม้ใกล้จะถึงเส้นตายในการปรับขึ้นเพดานหนี้จากระดับ 31.4 ล้านล้านดอลลาร์ ก่อนที่กระทรวงการคลังสหรัฐจะไม่สามารถชำระเงินตามภาระผูกพันทั้งหมดของรัฐบาลได้ในช่วงต้นเดือนมิ.ย. ซึ่งจะส่งผลให้รัฐบาลสหรัฐผิดนัดชำระหนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ทั้งนี้ ความกังวลเรื่องเพดานหนี้ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนตั๋วเงินคลังสหรัฐประเภทอายุ 1 เดือนพุ่งขึ้นสู่สถิติสูงสุดที่ 5.888% ในวันอังคาร
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับลง 0.69% สู่ 33,055.51, ดัชนี S&P 500 ปิดดิ่งลง 1.12% สู่ 4,145.58 และดัชนี Nasdaq ปิดรูดลง 1.26% สู่ 12,560.25 ทั้งนี้ ดัชนี KBW สำหรับหุ้นธนาคารระดับภูมิภาคของสหรัฐบวกขึ้น 0.85% ในวันอังคาร โดยปรับขึ้นต่อเนื่องจากวันจันทร์ ในขณะที่หุ้นธนาคารแพคเวสท์ แบงคอร์ปพุ่งขึ้น 7.9% ในวันอังคาร
นักลงทุนรอดูรายงานการประชุมกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประจำวันที่ 2-3 พ.ค.ที่จะได้รับการเปิดเผยออกมาในวันพุธนี้ เพื่อมองหาสัญญาณบ่งชี้ว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย.หรือไม่ หลังจากนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์กล่าวในวันจันทร์ว่า เฟดอาจจะยังคงมีความจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.50% ในปีนี้ ส่วนนายนีล แคชคารี ประธานเฟดสาขามินนิอาโปลิสกล่าวว่า "เราอาจจะมีความจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับสูงกว่า 6%" เพื่อทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% ทั้งนี้ นายไมเคิล วิลสัน นักยุทธศาสตร์การลงทุนหุ้นของธนาคารมอร์แกน สแตนเลย์กล่าวว่า ตลาดหุ้นยังไม่ได้ปรับตัวรับความเป็นไปได้ที่รัฐบาลสหรัฐจะผิดนัดชำระหนี้ และเขากล่าวเสริมว่า ถึงแม้ทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงเรื่องเพดานหนี้กันได้ ข้อตกลงดังกล่าวก็อาจจะส่งผลลบต่อรายจ่ายทางการคลัง และปัจจัยนี้จะส่งผลกระทบในทางลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐ
นักยุทธศาสตร์การลงทุนในโพลล์รอยเตอร์คาดว่า ดัชนี S&P 500 อาจจะปิดตลาดสิ้นปีนี้ที่ 4,150 ซึ่งใกล้เคียงกับระดับปิดวันอังคาร ทั้งนี้ ตลาดหุ้นได้รับแรงหนุนเข้ามาบ้างในวันอังคาร หลังจากบริษัทเอสแอนด์พี โกลบอลรายงานว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) สำหรับผลผลิตโดยรวมของสหรัฐ ซึ่งครอบคลุมทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ พุ่งขึ้นจาก 53.4 ในเดือนเม.ย. สู่ 54.5 ในเดือนพ.ค. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2022 ในขณะที่ดัชนี PMI ภาคบริการของสหรัฐทะยานขึ้นจาก 53.6 ในเดือนเม.ย. สู่ 55.1 ในเดือนพ.ค. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดรอบ 13 เดือนเช่นกัน
หุ้นบรอดคอมซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปพุ่งขึ้น 1.2% หลังจากบรอดคอมทำข้อตกลงขนาดหลายพันล้านดอลลาร์กับบริษัทแอปเปิลในเรื่องการใช้ชิปที่ผลิตในสหรัฐ แต่หุ้นแอปเปิลดิ่งลง 1.5% ทั้งนี้ หุ้นซูม วิดีโอ คอมมูนิเคชันส์ดิ่งลง 8.07% หลังจากซูมรายงานว่ารายได้รายไตรมาสปรับขึ้นเพียง 3% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งถือเป็นอัตราการปรับขึ้นที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เป็นบริษัทมหาชน--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--17 พ.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันอังคาร โดยได้รับแรงกดดันจากปัจจัยหลายประการ ซึ่งรวมถึงการที่บริษัทโฮม ดีโปท์เปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ที่น่าผิดหวัง, ยอดค้าปลีกของสหรัฐประจำเดือนเม.ย.อยู่ในระดับอ่อนแอเกินคาด, นักลงทุนไม่แน่ใจในแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย และนักลงทุนกังวลกับการเจรจาต่อรองเรื่องเพดานหนี้ของรัฐบาลสหรัฐ ทั้งนี้ หุ้นโฮม ดีโปท์ ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้านดิ่งลง 2.15% และถือเป็นหนึ่งในหุ้นที่ถ่วงดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์และดัชนี S&P 500 ลงมากที่สุดในวันอังคาร หลังจากโฮม ดีโปท์ปรับลดตัวเลขคาดการณ์ยอดขายประจำปี และคาดว่าผลกำไรอาจจะดิ่งลงอย่างรุนแรงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ ทางด้านหุ้นโลว์ส คอมพานีส์ อิงค์ซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่งรูดลง 1.16%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดดิ่งลง 1.01% สู่ 33,012.14, ดัชนี S&P 500 ปิดร่วงลง 0.64% สู่ 4,109.9 และดัชนี Nasdaq ปิดปรับลง 0.18% สู่ 12,343.05
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันอังคารว่า ยอดค้าปลีกสหรัฐปรับขึ้น 0.4% ในเดือนเม.ย. หลังจากร่วงลง 0.7% ในเดือนมี.ค. แต่ยอดค้าปลีกปรับขึ้นต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ในโพลล์ที่ +0.8% สำหรับเดือนเม.ย. ทางด้านยอดค้าปลีกพื้นฐาน หรือยอดค้าปลีกที่ไม่รวมรถยนต์, น้ำมันเบนซิน, วัสดุก่อสร้าง และบริการอาหารพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยยอดค้าปลีกพื้นฐานดีดขึ้น 0.7% ในเดือนเม.ย. หลังจากร่วงลง 0.4% ในเดือนมี.ค. และสิ่งนี้บ่งชี้ว่าปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่ในระดับแข็งแกร่งในช่วงต้นไตรมาส 2
เทรดเดอร์ในตลาดสัญญาล่วงหน้าคาดว่า มีโอกาส 90.1% ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 13-14 มิ.ย. และมีโอกาส 9.9% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 13-14 มิ.ย. และเทรดเดอร์ยังคาดการณ์อีกด้วยว่า อัตราดอกเบี้ยสหรัฐอาจจะปรับลดลงสู่ระดับราว 4.473% ในเดือนธ.ค. อย่างไรก็ดี ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดในช่วงนี้บ่งชี้ว่า เฟดยังไม่พร้อมที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเร็ว ๆ นี้ ทั้งนี้ นายโธมัส บาร์คิน ประธานเฟดสาขาริชมอนด์กล่าวในวันอังคารว่า เขาชื่นชอบทางเลือกที่แถลงการณ์นโยบายล่าสุดของเฟดบ่งชี้ไว้ แต่เขายอมรับได้กับการที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป ถ้าหากนั่นเป็นสิ่งที่เฟดจำเป็นต้องทำเพื่อทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง ทางด้านลอเรตตา เมสเตอร์ ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์กล่าวว่า เธอไม่คิดว่าเฟดจะสามารถคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมได้ในช่วงนี้ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงลดลงได้ยาก
หุ้นฮอไรซัน เธราพิวทิกส์ดิ่งลง 14.17% หลังจากคณะกรรมการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FTC) ประกาศว่า ทางคณะกรรมการจะยื่นเรื่องฟ้องร้องเพื่อขัดขวางข้อตกลงขนาด 2.78 หมื่นล้านดอลลาร์ของบริษัทแอมเจนในการเข้าซื้อฮอไรซัน เธราพิวทิกส์ ทางด้านหุ้นแอมเจนรูดลง 2.42% ทั้งนี้ การดิ่งลงของหุ้นทั้งสองตัวนี้มีส่วนกดดันดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพของสหรัฐให้ดิ่งลง 2.44% ในวันอังคาร ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 3 เดือน และส่งผลให้ดัชนีหุ้นกลุ่มนี้ปิดตลาดที่ระดับปิดต่ำสุดรอบ 3 สัปดาห์ด้วย--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--20 ก.พ.--รอยเตอร์
ฤดูการรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 4/2022 ของบริษัทสหรัฐกำลังจะเข้าสู่ช่วงท้ายแล้ว ในขณะที่บริษัทในภาคค้าปลีกหลายแห่งจะรายงานผลประกอบการออกมาในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงวอลมาร์ท ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกที่มียอดขายสูงที่สุดในโลก โดยทางบริษัทจะรายงานผลประกอบการออกมาในวันอังคาร, โฮม ดีโปท์ ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอุปกรณ์ตกแต่งบ้านที่จะรายงานในวันอังคาร, TJX ซึ่งเป็นผู้ประกอบการร้านขายสินค้าราคาถูกที่จะรายงานในวันพุธ, บาธ แอนด์ บอดี เวิร์คส์ ที่จะรายงานในสัปดาห์นี้ ส่วนบริษัทโลว์สกับบริษัทเบสท์ บายจะรายงานในสัปดาห์หน้า ทั้งนี้ บริษัทอื่น ๆ ที่จะรายงานผลประกอบการออกมาในสัปดาห์นี้รวมถึงเอ็นวิเดีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์, โมเดอร์นาซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์ และอีเบย์ ที่ทำธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
นักลงทุนจะจับตาดูว่า ผู้บริโภคจับจ่ายใช้สอยมากเพียงใดท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อ ในขณะที่นักลงทุนบางรายเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างร้ายแรง ถึงแม้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเพิ่งรายงานในสัปดาห์ที่แล้วว่า ยอดค้าปลีกสหรัฐพุ่งขึ้น 3.0% ในเดือนม.ค. ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2021 หรือครั้งใหญ่ที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี ทั้งนี้ นายพอล โนลเต นักยุทธศาสตร์การลงทุนตลาดของบริษัทเมอร์ฟี แอนด์ ซิลเวสท์ เวลธ์ แมเนจเมนท์กล่าวว่า เขากำลังพิจารณาเรื่องการเข้าซื้อหุ้นกลุ่มค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน ซึ่งเป็นกลุ่มที่เคยได้รับความเสียหายเป็นอย่างหนักในปี 2022 ท่ามกลางภาวะตกต่ำในตลาดบ้านสหรัฐ
นักวิเคราะห์คาดว่า บริษัทในดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐอาจมีผลกำไรปรับลดลง 2.8% ในไตรมาส 4/2022 เมื่อเทียบรายปี แต่ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นมาแล้วราว 6% จากช่วงต้นปี 2023 หลังจากดิ่งลงอย่างรุนแรงในปีที่แล้ว ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มค้าปลีกปรับตัวอย่างไร้ทิศทางในช่วงต้นปีนี้ โดยกองทุน SPDR S&P Retail ETF ที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มค้าปลีกทั้งบริษัทขนาดใหญ่และขนาดเล็ก พุ่งขึ้นมาแล้ว 17% จากช่วงต้นปีนี้ แต่หุ้นบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มค้าปลีกปรับขึ้นไม่มากนัก โดยหุ้นวอลมาร์ทปรับขึ้นเพียง 1.7% ในปี 2023 ส่วนหุ้นโฮม ดีโปท์ปรับขึ้นเพียง 1.7% เข่นกัน ทางด้านนักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกนคาดว่า ทั้งวอลมาร์ทและโฮม ดีโปท์จะคาดการณ์แนวโน้มอย่างระมัดระวังในการรายงานผลประกอบการวันอังคารนี้ โดยนักวิเคราะห์กลุ่มนี้จัดอันดับความน่าลงทุนของหุ้นวอลมาร์ทไว้ที่ "neutral" และของหุ้นโฮม ดีโปท์ไว้ที่ "overweight"
นายปีเตอร์ ทุซ ประธานบริษัทเชส อินเวสท์เมนท์ เคาน์เซลกล่าวว่า เขาจะจับตาดูว่าบริษัทในภาคค้าปลีกสามารถปรับขึ้นราคาสินค้าในระดับที่สอดคล้องกับต้นทุนหรือไม่ โดยบริษัทของเขาถือหุ้นหลายตัวในกลุ่มค้าปลีก ซึ่งรวมถึงหุ้นดอลลาร์ ทรีที่ขายสินค้าราคาถูก, คร็อคส์ ซึ่งค้าปลีกสินค้าเฉพาะทาง และอุลตา บิวตี ซึ่งค้าปลีกสินค้าเฉพาะทาง แต่บริษัทของเขาไม่ได้ถือครองหุ้นบริษัทที่ค้าปลีกสินค้าในวงกว้าง อย่างเช่นวอลมาร์ทและอะเมซอน
นายชัค คาร์ลสัน ซีอีโอของบริษัทฮอไรซัน อินเวสท์เมนท์ เซอร์วิสเซสกล่าวว่า ถ้าหากบริษัทค้าปลีกเปิดเผยผลกำไรที่แข็งแกร่งมาก ปัจจัยดังกล่าวก็อาจจะกระตุ้นให้นักลงทุนกังวลกันว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวมากยิ่งขึ้นในอนาคต--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--17 พ.ย.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันพุธ ในขณะที่หุ้นทาร์เก็ตซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ดิ่งลง 13.1% หลังจากทาร์เก็ตคาดการณ์ว่ายอดขายจะร่วงลงในไตรมาสสี่ โดยการคาดการณ์ของทาร์เก็ตส่งผลให้นักลงทุนกังวลกับธุรกิจของภาคค้าปลีกในช่วงเทศกาลวันหยุดปลายปี นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ก็ดิ่งลงในวันพุธด้วย หลังจากบริษัทไมครอน เทคโนโลยีประกาศปรับลดอุปทาน ทั้งนี้ ข่าวของทาร์เก็ตส่งผลให้หุ้นกลุ่มค้าปลีกของสหรัฐดิ่งลงในวงกว้าง โดยหุ้นบริษัทเมซีส์ดิ่งลง 8.1%, หุ้นเบสท์ บายรูดลง 8.6% และหุ้นฟูต ล็อกเกอร์ดิ่งลง 7% ทางด้านดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยของสหรัฐรูดลง 1.5%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดขยับลง 0.12% สู่ 33,553.83, ดัชนี S&P 500 ปิดร่วงลง 0.83% สู่ 3,958.79 และดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 1.54% สู่ 11,183.66 ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 ร่วงลงเพียงในวงจำกัดในวันพุธ เนื่องจากดัชนีได้รับแรงหนุนจากการปรับขึ้นของหุ้นกลุ่มปลอดภัย ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคที่พุ่งขึ้น 0.9% และหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นที่บวกขึ้น 0.5%
หุ้นไมครอน เทคโนโลยีดิ่งลง 6.7% หลังจากไมครอนประกาศว่าจะปรับลดอุปทานชิปหน่วยความจำ และจะปรับลดแผนการลงทุนด้านทุนลงไปอีก ทางด้านดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) ของสหรัฐดิ่งลง 1.4% และดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐรูดลง 4.3%
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันพุธว่า ยอดค้าปลีกสหรัฐพุ่งขึ้น 1.3% ในเดือนต.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากทรงตัวในเดือนก.ย. และเทียบกับโพลล์รอยเตอร์ที่คาดว่า ยอดค้าปลีกอาจปรับขึ้นเพียง 1.0% ในเดือนต.ค. ส่วนยอดค้าปลีกแบบเทียบรายปีพุ่งขึ้น 8.3% ในเดือนต.ค. โดยยอดค้าปลีกได้รับแรงหนุนจากการที่ผู้บริโภคปรับเพิ่มการซื้อรถยนต์ และสิ่งนี้บ่งชี้ว่าปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคสหรัฐอาจปรับขึ้นในช่วงต้นไตรมาสสี่ ทั้งนี้ หุ้นโลว์สซึ่งเป็นบริษัทร้านขายอุปกรณ์ตกแต่งบ้านพุ่งขึ้น 3% ในวันพุธ หลังจากโลว์สปรับขึ้นคาดการณ์ผลกำไรตลอดทั้งปี
นายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ หนึ่งในผู้ว่าการเฟดกล่าวว่า เฟดจะยังคงต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปอีกนานในปีหน้า อย่างไรก็ดี เขาสามารถยอมรับได้มากยิ่งขึ้นต่อแนวคิดที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.50% ในเดือนธ.ค. หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจแสดงให้เห็นว่า อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง ทั้งนี้ นักลงทุนจับตาดูข่าวเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศในช่วงนี้ด้วย ในขณะที่โปแลนด์และองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ประกาศในวันพุธว่า เหตุระเบิดในโปแลนด์ในวันอังคาร ซึ่งส่งผลให้มีชาวโปแลนด์เสียชีวิต 2 คน อาจจะเกิดจากขีปนาวุธที่ออกนอกทิศทางที่ยิงโดยระบบป้องกันทางอากาศของยูเครน และไม่ได้เกิดจากการโจมตีอย่างจงใจจากรัสเซีย โดยข่าวดังกล่าวช่วยลดความกังวลของนักลงทุนในเรื่องที่ว่า สงครามยูเครนอาจจะลุกลามออกสู่ประเทศเพื่อนบ้าน--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--18 ส.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันพุธ หลังจากดัชนีตลาดหุ้นแกว่งตัวผันผวนในระหว่างวัน โดยตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันในช่วงแรกจากผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัททาร์เก็ตในกลุ่มค้าปลีก และได้รับแรงกดดันจากการดิ่งลงของหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มเติบโต ซึ่งรวมถึงหุ้นอะเมซอนดอทคอมที่ปิดรูดลง 1.9% อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นได้รับแรงหนุนเป็นเวลาสั้น ๆ ในเวลาต่อมา หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมกำหนดนโยบายประจำวันที่ 26-27 ก.ค. โดยรายงานดังกล่าวบ่งชี้ว่า เฟดอาจจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวมากเท่าที่คาดในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย.
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.5% สู่ 33,980.32, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.72% สู่ 4,274.04 และดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 1.25% สู่ 12,938.12 ทั้งนี้ ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐลดช่วงติดลบกลับขึ้นมาได้เป็นอย่างมากหลังจากเฟดเปิดเผยรายงานการประชุม โดยดัชนีดาวโจนส์สามารถดีดขึ้นสู่แดนบวกได้เป็นเวลาสั้น ๆ ก่อนที่จะร่วงลงในเวลาต่อมา
หุ้นทาร์เก็ตปิดดิ่งลง 2.7% หลังจากทาร์เก็ตรายงานว่า ผลกำไรรายไตรมาสรูดลง 90% และยอดขายอยู่ต่ำเกินคาด ทางด้านดัชนีหุ้นกลุ่มค้าปลีกของสหรัฐดิ่งลง 1.2% ในวันพุธ อย่างไรก็ดี หุ้นโลว์ส คอส อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทเครือข่ายร้านขายอุปกรณ์ตกแต่งบ้านปิดบวกขึ้น 0.6% หลังจากทางบริษัทรายงานตัวเลขผลกำไรรายไตรมาสที่ดีเกินคาด ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้บริษัทวอลมาร์ทและบริษัทโฮม ดีโปท์ในกลุ่มค้าปลีกเพิ่งเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งในวันอังคาร
รายงานการประชุมเฟดแสดงให้เห็นว่า ผู้กำหนดนโยบายมีภาระผูกพันในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับที่สูงเท่าที่จำเป็นเพื่อทำให้ภาวะเงินเฟ้อกลับมาอยู่ภายใต้การควบคุม ทางด้านนายปีเตอร์ คาร์ดิลโล หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ตลาดของบล.สปาร์ตัน แคปิตัลกล่าวว่า "เฟดยังคงส่งสัญญาณแบบสายเหยี่ยว แต่เฟดเปิดโอกาสสำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนก.ย. แทนที่จะเป็น 0.75%" ทั้งนี้ หลังจากเฟดเปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 26-27 ก.ค. เทรดเดอร์ในตลาดสัญญาล่วงหน้าก็คาดว่า มีโอกาสราว 60% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ 2.75-3.00% ในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. และมีโอกาสเพียงแค่ราว 40% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมเดือนก.ย. โดยโอกาสดังกล่าวปรับลดลงจากโอกาส 52% ที่เคยคาดไว้ก่อนที่เฟดจะเปิดเผยรายงานการประชุม
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานตัวเลขยอดค้าปลีกที่แข็งแกร่งในวันพุธ และตัวเลขดังกล่าวช่วยลดความกังวลเรื่องการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ โดยยอดค้าปลีกสหรัฐทรงตัวในเดือนก.ค. หลังจากปรับขึ้น 0.8% ในเดือนมิ.ย. แต่ยอดค้าปลีกพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมรถยนต์, น้ำมันเบนซิน, วัสดุก่อสร้าง และบริการอาหาร ปรับขึ้น 0.8% ในเดือนก.ค. หลังจากปรับขึ้น 0.7% ในเดือนมิ.ย. ทั้งนี้ ยอดค้าปลีกในเดือนก.ค.ได้รับแรงกดดันจากการดิ่งลงของราคาน้ำมันเบนซิน อย่างไรก็ดี ปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคดูเหมือนจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงต้นไตรมาสสาม--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--22 พ.ย.--รอยเตอร์
ดัชนี Nasdaq ของตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นมาปิดตลาดเหนือระดับ 16,000 ได้เป็นครั้งแรกในวันศุกร์ และทำสถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ได้เป็นวันที่สองติดต่อกัน โดยได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อย่างไรก็ดี ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลงมาปิดตลาดในแดนลบเป็นวันที่ 4 ในรอบ 5 วันทำการ โดยได้รับแรงกดดันจากความกังวลเรื่องโรคระบาด ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐได้รับแรงกดดันในวันศุกร์จากการดิ่งลงของหุ้นกลุ่มธนาคาร, หุ้นกลุ่มพลังงาน และหุ้นกลุ่มสายการบิน ในขณะที่นักลงทุนกังวลว่าหลายประเทศในยุโรปอาจจะทำตามอย่างออสเตรียในการประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์อย่างเต็มที่อีกครั้งเพื่อรับมือกับการพุ่งขึ้นของยอดผู้ป่วยโรคโควิด-19
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.75% สู่ 35,601.98, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.14% สู่ 4,697.96 และดัชนี Nasdaq ปิดบวกขึ้น 0.4% สู่ 16,057.44 ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการดิ่งลง 1.38% จากสัปดาห์ที่แล้ว และดัชนีรูดลงมาแล้วราว 2.3% จากสถิติสูงสุดที่ทำไว้ในวันที่ 8 พ.ย. ส่วนดัชนี S&P ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการบวกขึ้น 0.34% จากสัปดาห์ที่แล้ว และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 1.24% จากสัปดาห์ที่แล้ว
ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารดิ่งลง 1.6% ในวันศุกร์ ในขณะที่นักลงทุนเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย และส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีดิ่งลงสู่ 1.548% ในวันศุกร์ จาก 1.587% ในวันพฤหัสบดี ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานของสหรัฐดิ่งลง 3.9% และถือเป็นหุ้นกลุ่มที่รูดลงมากที่สุดในวันศุกร์ โดยได้รับแรงกดดันจากการดิ่งลงอย่างรุนแรงของราคาน้ำมันท่ามกลางความกังวลเรื่องอุปสงค์น้ำมัน ทางด้านหุ้นกลุ่มสายการบินและหุ้นกลุ่มเรือสำราญรูดลงด้วยเช่นกัน โดยหุ้นเดลตา แอร์ ไลน์, ยูไนเต็ด แอร์ไลน์, อเมริกัน แอร์ไลน์, นอร์วีเจียน ครุยส์ ไลน์ และคาร์นิวาล คอร์ปร่วงลง 0.6-2.8% อย่างไรก็ดี การร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) และความต้องการซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยช่วยหนุนหุ้นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่และดัชนี Nasdaq ให้ปรับขึ้นในวันศุกร์ ทั้งนี้ นายเจย์ แฮทฟิลด์ ซีอีโอของบริษัทอินฟราสตรัคเจอร์ แคปิตัล แมเนจเมนท์กล่าวว่า "เป็นเรื่องปกติที่นักลงทุนจะลดความเสี่ยงลง แต่ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีสภาพคล่องสูงมากจนส่งผลให้ตลาดหุ้นไม่ดิ่งลง และนักลงทุนก็ลดความเสี่ยงด้วยการเข้าซื้อหุ้นกลุ่มปลอดภัยแทน"
ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) ปรับขึ้น 0.8% และถือเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มใหญที่ปรับขึ้นมากที่สุดในวันศุกร์ โดยหุ้นกลุ่มไอทีได้รับแรงหนุนจากหุ้นบริษัทอินชูอิท อิงค์ (Intuit Inc) ซึ่งเป็นบริษัทซอฟท์แวร์ภาษีเงินได้ที่พุ่งขึ้น 10.1% หลังจากอินชูอิทรายงานผลกำไรรายไตรมาสที่ดีเกินคาด และโบรกเกอร์ปรับขึ้นราคาเป้าหมายของหุ้นตัวนี้ ทั้งนี้ หุ้นเอ็นวิเดียซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปพุ่งขึ้น 4.1% มาปิดตลาดที่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่เป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐบวกขึ้น 0.3% และมาปิดตลาดที่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่เป็นวันที่ 3 ในรอบ 4 วันทำการ
หุ้นบริษัทบางแห่งที่ได้รับประโยชน์จากการกักตัวอยู่บ้านปรับขึ้นในวันศุกร์ โดยหุ้นคลอร็อกซ์ซึ่งเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อบวกขึ้น 0.73% และหุ้นเอ็ตซีซึ่งเป็นผู้ค้างานฝีมือออนไลน์พุ่งขึ้น 1.42% อย่างไรก็ดี หุ้นเน็ตฟลิกซ์ร่วงลง 0.47%, หุ้นโรคูซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์สตรีมมิงร่วงลง 0.74% และหุ้นซูม วิดีโอ คอมมูนิเคชันส์ดิ่งลง 1.74% ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยของสหรัฐปรับขึ้น 0.3% และปิดตลาดที่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่เป็นวันที่สองติดต่อกัน หลังจากบริษัทในภาคค้าปลีกเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งในสัปดาห์นี้ และมีสัญญาณบ่งชี้ว่ายอดช้อปปิ้งในช่วงเทศกาลวันหยุดปลายปีจะอยู่ในระดับแข็งแกร่ง โดยหุ้นโลว์ส คอมปานีส์ในกลุ่มค้าปลีกปรับขึ้น 0.9% ในวันศุกร์ หลังจากโลว์สเปิดเผยผลประกอบการไตรมาสสามในวันพุธที่ผ่านมา--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--18 ส.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันอังคาร โดยดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.71% ซึ่งถือเป็นการร่วงลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบราว 1 เดือน ในขณะที่ตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันจากตัวเลขยอดค้าปลีกของสหรัฐที่ดิ่งลงอย่างรุนแรง และจากผลประกอบการที่น่าผิดหวังของบริษัทโฮม ดีโปท์ ทั้งนี้ หุ้นโฮม ดีโปท์ดิ่งลง 4.3% หลังจากทางบริษัทรายงานว่า ยอดขายอยู่ในระดับต่ำเกินคาดเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 2 ปี เนื่องจากผู้บริโภคลดกิจกรรมการตกแต่งบ้านแบบทำด้วยตัวเองลง หลังจากที่เคยทำกิจกรรมดังกล่าวสูงมากในช่วงที่เกิดวิกฤติโรคระบาด ทางด้านหุ้นโลว์ส คอมปานีส์ ซึ่งเป็นคู่แข่งของโฮม ดีโปท์รูดลง 5.8%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.79% สู่ 35,343.28, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.71% สู่ 4,448.08 และดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลง 0.93% สู่ 14,656.18 ในวันอังคาร โดยก่อนหน้านี้ดัชนีดาวโจนส์และ S&P 500 เพิ่งปิดตลาดที่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่มานานติดต่อกัน 5 วัน ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มการแพทย์พุ่งขึ้น 1.1% แต่หุ้นส่วนใหญ่ปิดตลาดในแดนลบ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่ดิ่งลง 2.3% และถือเป็นกลุ่มที่รูดลงมากที่สุดในวันอังคาร
สหรัฐรายงานว่า ยอดค้าปลีกดิ่งลงอย่างรุนแรงเกินคาดในเดือนก.ค. ในขณะที่ภาวะขาดแคลนอุปทานส่งผลลบต่อยอดขายยานยนต์ และแรงหนุนที่ปริมาณการจับจ่ายใช้สอยเคยได้รับจากมาตรการแจกเงินและจากการเปิดเศรษฐกิจจางหายไป โดยรายงานนี้บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจชะลอการเติบโตลงในช่วงต้นไตรมาส 3 ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดค้าปลีกดิ่งลง 1.1% ในเดือนก.ค. หลังจากปรับขึ้น 0.7% ในเดือนมิ.ย. ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์คาดว่า ยอดค้าปลีกอาจปรับลดลงเพียง 0.3% ในเดือนก.ค. ส่วนยอดค้าปลีกแบบเทียบรายปีพุ่งขึ้น 15.8% ในเดือนก.ค. อย่างไรก็ดี ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รายงานในวันอังคารว่า การผลิตภาคโรงงานพุ่งขึ้น 1.4% ในเดือนก.ค. หลังจากร่วงลง 0.3% ในเดือนมิ.ย. ในขณะที่โพลล์รอยเตอร์คาดว่า การผลิตภาคโรงงานอาจปรับขึ้นเพียง 0.6% ในเดือนก.ค.
นักลงทุนระบุว่า ตลาดหุ้นสหรัฐมักจะปรับตัวอ่อนแอในช่วงนี้ของปี และตลาดหุ้นอาจจะถึงเวลาสำหรับการดิ่งลงอย่างรุนแรง ในขณะที่ดัชนี S&P 500 ยังไม่เคยย่อตัวลง 5% เลยในปีนี้ และดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นมาแล้ว 100% จากจุดต่ำสุดของเดือนมี.ค. 2020 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 2,191.86 อย่างไรก็ดี นักลงทุนบางรายระบุว่า การที่นักลงทุนและบริษัทหลายแห่งถือครองเงินสดไว้ในปริมาณมาก อาจจะช่วยสกัดกั้นตลาดหุ้นไม่ให้ดิ่งลงอย่างรุนแรง และนักลงทุนหลายรายก็มองหาโอกาสในการเข้าช้อนซื้อหุ้นอย่างรวดเร็วในช่วงนี้ นอกจากนี้ ดัชนี S&P 500 ก็ลดช่วงติดลบกลับขึ้นมาได้บ้างในวันอังคาร หลังจากแตะจุดต่ำสุดของวันที่ 4,417.83
นักลงทุนกำลังมองหาสัญญาณบ่งชี้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคุมเข้มนโยบายการเงินเมื่อใด โดยนักลงทุนจะรอดูรายงานการประชุมกำหนดนโยบายของเฟดประจำวันที่ 27-28 ก.ค. ซึ่งจะได้รับการรายงานออกมาในวันพุธนี้ นอกจากนี้ นักลงทุนก็จับตาดูผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการพุ่งขึ้นของยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาในช่วงนี้ด้วย--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน