ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
เพื่อเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็วและติดตามตลาดโฟกัสใน 15 นาที
ในโลกของมนุษยชาติ จะไม่มีคำกล่าวใด ๆ ที่ไม่มีจุดยืนใด ๆ หรือคำพูดใด ๆ ที่ไม่มีจุดประสงค์ใด ๆ
อัตราเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน และเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจเชิงนโยบายของธนาคารกลาง ทัศนคติและคำพูดของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยังมีอิทธิพลต่อการกระทำของเทรดเดอร์ในตลาดอีกด้วย
เงินทำให้โลกหมุนไป และสกุลเงินเป็นสินค้าถาวร ตลาดฟอเร็กซ์เต็มไปด้วยความประหลาดใจและความคาดหวัง
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
เพลิดเพลินกับกิจกรรมที่น่าตื่นเต้น ที่นี่ที่ FastBull
ข่าวด่วนล่าสุดและเหตุการณ์ทางการเงินทั่วโลก
ฉันมีประสบการณ์ 5 ปีในการวิเคราะห์ทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนามหภาคและการตัดสินแนวโน้มระยะกลางและระยะยาว ความสนใจของฉันอยู่ที่การพัฒนาของตะวันออกกลาง ตลาดเกิดใหม่ ถ่านหิน ข้าวสาลี และสินค้าเกษตรอื่นๆ
7 ปีของตลาดหุ้น การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โลหะมีค่า และประสบการณ์การซื้อขายและการวิเคราะห์อื่น ๆ โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐาน การสนับสนุนทางเทคนิค มีอคติต่อตรรกะธุรกรรมจากบนลงล่าง โดยเน้นที่วัฏจักรมหภาคและการควบคุมความเสี่ยง การคาดการณ์เชิงทฤษฎีอุปสงค์และอุปทานอเนกประสงค์ การเปลี่ยนแปลงของราคา สร้างสมดุลระหว่างผลกระทบของธุรกรรม การกระจายชิปและอารมณ์ตลาด และคงที่
อัปเดตล่าสุด
สร้างทัศนคติการลงทุนที่ดี
วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ปรัชญาการลงทุนของเขาประกอบด้วยการสร้างกรอบความคิดระยะยาว ขจัดญาณรบกวนของตลาด ไม่เก็งกำไร และเน้นย้ำว่าการลงทุนต้องมีมีจิตใจที่มั่นคงและเป้าหมายที่ชัดเจน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง
แม้ว่าระบบกฎหมายและกรอบการกำกับดูแลในฮ่องกงจะค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ตลาดหุ้นยังคงเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายพิเศษหลายประการ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่าง HKD และ USD นักลงทุนต่างชาติอาจเผชิญกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความผันผวนของนโยบายและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นฮ่องกงด้วย
โครงสร้างต้นทุนและภาษีเมื่อลงทุนในหุ้นฮ่องกง
ต้นทุนการซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมหุ้น ค่าอากรแสตมป์ ค่าธรรมเนียมการชำระบัญชี ฯลฯ สำหรับนักลงทุนต่างชาติอาจมีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินเพิ่มเติมเป็นดอลลาร์ฮ่องกงและภาษีอื่น ๆ ตามข้อบังคับท้องถิ่น
การวิเคราะห์อุตสาหกรรมฮ่องกง:อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็น
อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็นของฮ่องกง ได้แก่ รถยนต์ การศึกษา การท่องเที่ยว การจัดเลี้ยง เครื่องแต่งกาย และภาคส่วนอื่นๆ อีกมากมาย จากบริษัทจดทะเบียน 643 แห่งนั้น 35% เป็นบริษัทในจีนแผ่นดินใหญ่และคิดเป็น 65% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด ดังนั้นอุตสาหกรรมนี้จึงได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากเศรษฐกิจจีน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด
ไม่มีข้อมูล
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม
สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
นิวยอร์ค--10 ก.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันศุกร์ หลังจากแกว่งตัวผันผวนในระหว่างวัน ในขณะที่นักลงทุนปรับตัวรับรายงานการจ้างงานประจำเดือนมิ.ย.ของสหรัฐ และนักลงทุนรอดูตัวเลขเศรษฐกิจใหม่และผลประกอบการภาคเอกชนที่จะได้รับการรายงานออกมาในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตรในสหรัฐปรับขึ้น 209,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย. ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2020 หรือต่ำที่สุดในรอบ 2 ปีครึ่ง และอยู่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 225,000 ตำแหน่ง โดยทางกระทรวงได้ปรับทบทวนตัวเลขตำแหน่งงานใหม่ในเดือนเม.ย.และพ.ค.ลงจากเดิม 110,000 ตำแหน่งด้วย นอกจากนี้ ทางกระทรวงยังระบุอีกด้วยว่า จำนวนผู้ที่ทำงานพาร์ทไทม์เพราะเหตุผลทางเศรษฐกิจพุ่งขึ้น 452,000 ราย สู่ 4.2 ล้านราย และสิ่งนี้บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานอ่อนแอลง อย่างไรก็ดี รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงของคนงานสหรัฐปรับขึ้น 0.4% ในเดือนมิ.ย.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากปรับขึ้น 0.4% ในเดือนพ.ค. และค่าแรงแบบเทียบรายปีพุ่งขึ้น 4.4% ในเดือนมิ.ย. และสิ่งนี้บ่งชี้ว่า ตลาดแรงงานสหรัฐยังคงอยู่ในภาวะตึงตัว
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.55% สู่ 33,734.88, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.29% สู่ 4,398.95 และดัชนี Nasdaq ปิดขยับลง 0.13% สู่ 13,660.72 ในวันศุกร์ ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับระดับปิดสัปดาห์ที่แล้ว ดัชนีดาวโจนส์ก็ปิดตลาดสัปดาห์นี้ดิ่งลง 2%, ดัชนี S&P 500 รูดลงราว 1.2% ในสัปดาห์นี้ และดัชนี Nasdaq ปรับลงราว 0.9% ในสัปดาห์นี้
หุ้นกลุ่มปลอดภัยดิ่งลงในวันศุกร์ โดยดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นรูดลง 1.3% อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 2.1% และดัชนีหุ้นกลุ่มวัสดุบวกขึ้น 0.9% ทางด้านดัชนี Russell 2000 สำหรับหุ้นบริษัทขนาดเล็กของสหรัฐพุ่งขึ้น 1.2% ในวันศุกร์ ทั้งนี้ นักลงทุนยังคงคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ค. เนื่องจากการจ้างงานในสหรัฐยังคงเติบโตเร็วกว่าอัตราที่เคยทำไว้ในช่วง 10 ปีก่อนเกิดวิกฤติโรคระบาด โดยนักลงทุนในตลาดสัญญาล่วงหน้าคาดว่า มีโอกาส 11.2% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. และมีโอกาส 88.8% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค.
นายออสตัน กูลส์บี ประธานเฟดสาขาชิคาโกกล่าวว่า เขาไม่ได้ไม่เห็นด้วยกับผู้กำหนดนโยบายคนอื่น ๆ ของเฟดในประเด็นที่ว่า เฟดจำเป็นจะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่อยู่สูงเกินไป
หุ้นลีวาย สเตราส์ แอนด์ โค ซึ่งเป็นผู้ผลิตชุดยีนส์ดิ่งลง 7.7% หลังจากลีวายปรับลดตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรประจำปี ทั้งนี้ หุ้นริเวียน ออโตโมทีฟ ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพุ่งขึ้น 14.2% หลังจากริเวียนรายงานยอดจัดส่งรถยนต์รายไตรมาสที่ดีเกินคาด--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--16 มิ.ย.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันพฤหัสบดี ในขณะที่สหรัฐรายงานตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวในวันพฤหัสบดี และตัวเลขดังกล่าวช่วยกระตุ้นการคาดการณ์ที่ว่า วัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ยอดค้าปลีกในสหรัฐปรับขึ้น 0.3% ในเดือนพ.ค. หลังจากปรับขึ้น 0.4% ในเดือนเม.ย. และสวนทางกับโพลล์รอยเตอร์ที่คาดว่า ยอดค้าปลีกอาจปรับลดลง 0.1% ในเดือนพ.ค. ส่วนกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกทรงตัวที่ 262,0000 รายในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 10 มิ.ย. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 249,000 ราย นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานยังรายงานอีกด้วยว่า ราคานำเข้าในสหรัฐดิ่งลง 5.9% ในเดือนพ.ค.เมื่อเทียบรายปี ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2020 หรือครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 3 ปี หลังจากรูดลง 4.9% ในเดือนเม.ย.เมื่อเทียบรายปี โดยราคานำเข้าดิ่งลงมาแล้ว 4 เดือนติดต่อกัน และรายงานตัวเลขนี้ช่วยลดความกังวลเรื่องภาวะเงินเฟ้อ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดทะยานขึ้น 1.26% สู่ 34,408.06, ดัชนี S&P 500 ปิดพุ่งขึ้น 1.22% สู่ 4,425.84 ซึ่งถือเป็นระดับปิดสูงสุดในรอบ 14 เดือน และดัชนีพุ่งขึ้นมาแล้ว 15% จากช่วงต้นปี 2023 ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดทะยานขึ้น 1.15% สู่ 13,782.82 ในวันพฤหัสบดี ซึ่งถือเป็นระดับปิดสูงสุดในรอบ 14 เดือน และดัชนี Nasdaq ทะยานขึ้นมาแล้วราว 32% จากช่วงต้นปี 2023 โดยดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้นมาแล้วเกือบ 4% จากช่วงต้นสัปดาห์นี้ด้วย ในขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐได้รับแรงหนุนในปีนี้จากสัญญาณบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ, จากผลประกอบการภาคเอกชนที่ดีเกินคาด และจากการคาดการณ์ที่ว่า อัตราดอกเบี้ยสหรัฐใกล้จะแตะจุดสูงสุดของวัฏจักรแล้ว ทั้งนี้ หุ้นทั้ง 11 กลุ่มในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดในแดนบวกในวันพฤหัสบดี โดยดัชนีหุ้นกลุ่มการแพทย์พุ่งขึ้น 1.55% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มบริการการสื่อสารทะยานขึ้น 1.54% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากเป็นอันดับสอง
ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาในช่วงนี้บ่งชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง และช่วยลดความกังวลเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต โดยปัจจัยดังกล่าวมีส่วนกดดันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐให้ร่วงลงด้วย โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีปรับลงจาก 3.798% ในช่วงท้ายวันพุธ สู่ 3.728% ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี และการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) ก็ส่งผลบวกต่อหุ้นเติบโต ซึ่งเป็นกลุ่มที่มักจะได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ หุ้นแอปเปิลพุ่งขึ้น 1.1% ในวันพฤหัสบดี ส่วนหุ้นไมโครซอฟท์ทะยานขึ้น 3.2% สู่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ โดยทำลายสถิติระดับปิดสูงสุดเดิมที่เคยทำไว้ในเดือนพ.ย. 2021
เทรดเดอร์คาดการณ์ในตอนนี้ว่า มีโอกาสราว 33.2% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. และมีโอกาสราว 66.8% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. นอกจากนี้ เทรดเดอร์ยังคาดการณ์อีกด้วยว่า เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงก่อนสิ้นเดือนธ.ค.ปีนี้
หุ้นโครเกอร์ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกดิ่งลง 2.7% หลังจากโครเกอร์เปิดเผยรายได้ไตรมาสแรกที่ต่ำเกินคาด ทั้งนี้ หุ้นบริษัทจีนที่จดทะเบียนในสหรัฐพุ่งขึ้นในวันพฤหัสบดี ซึ่งรวมถึงหุ้นอาลีบาบา กรุ๊ปที่ทะยานขึ้น 3.2% และหุ้นเจดีดอทคอมที่พุ่งขึ้น 3.4% หลังจากธนาคารกลางจีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้นโยบายระยะกลางเป็นครั้งแรกในรอบ 10 เดือนในวันพฤหัสบดี โดยธนาคารกลางจีนลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะกลางอายุ 1 ปี (MLF) วงเงิน 2.37 แสนล้านหยวน(3.309 หมื่นล้านดอลลาร์) ให้แก่สถาบันการเงินบางแห่งลง 0.10% สู่ระดับ 2.65% ซึ่งสอดคล้องกับที่คาดไว้--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
หุ้นสหรัฐปิดพุ่งขึ้นในวันพฤหัสบดี ขณะที่หุ้นที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีพุ่งขึ้นต่อเนื่อง แต่หุ้นกลุ่มธนาคารภูมิภาคร่วงลง เนื่องจากฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้เสนอมาตรการที่เข้มงวดขึ้นเพื่อช่วยลดความเสี่ยง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดเพิ่มขึ้น 141.43 จุด หรือ 0.43% ที่ 32,859.03, ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 23.02 จุด หรือ 0.57% สู่ระดับ 4,050.83 และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 87.24 จุด หรือ 0.73% สู่ 12,013.47
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 1.1% และหนุนดัชนี S&P 500 มากที่สุด ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดัคเตอร์ฟิลาเดลเฟียพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 1 ปี แต่หุ้นกลุ่มธนาคารภูมิภาคร่วงลง ขณะที่ฝ่ายบริหารเรียกร้องให้มีกฎที่เข้มงวดขึ้นที่จะทำให้ธนาคารขนาดกลางแข็งแกร่งขึ้นโดยไม่ต้องเข้าสู่การพิจารณาของสภาคองเกรส
นักลงทุนกำลังรอดูข้อมูลดัชนีการใช้จ่ายการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนก.พ.ในวันศุกร์ หลังจากข้อมูลเดือนม.ค.พบว่า การใช้จ่ายผู้บริโภคเร่งตัวขึ้นอย่างมาก ขณะที่เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) 3 รายได้เปิดโอกาสสำหรับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกเพื่อทำให้เงินเฟ้อลดลง โดยเจ้าหน้าที่ 2 คนระบุว่า ปัญหาในภาคธนาคารอาจจะเป็นอุปสรรคที่เพียงพอที่จะขัดขวางเศรษฐกิจ
จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มมากเกินคาดในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งบ่งชี้ถึงตลาดแรงงานที่ชะลอตัว ขณะที่ข้อมูลจีดีพีไตรมาส 4 ขยายตัว 2.6% ลดลงเล็กน้อยจาก 2.7% ที่คาดการณ์เบื้องต้น โดยข้อมูลทั้งสองตัวสนับสนุนเหตุผลสำหรับนโยบายที่ผ่อนคลายลงของเฟด--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย เสาวณีย์ เอกปัญญาชัย แปลและเรียบเรียง)
ดอลลาร์อ่อนค่ามาที่ระดับต่ำสุดในรอบ 1 สัปดาห์เมื่อเทียบกับยูโรในวันพฤหัสบดี ขณะที่ข้อมูลเงินเฟ้อของเยอรมนีช่วยหนุนยูโร และตลาดคลายกังวลเกี่ยวกับภาคธนาคาร
ดอลลาร์อยู่ที่ 132.65 เยนในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี อ่อนค่าลงจากระดับปิดตลาดวันพุธที่ 132.84 เยน ส่วนยูโรทรงตัวอยู่ที่ 1.0901 ดอลลาร์ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี พุ่งขึ้นจากระดับ 1.0843 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพุธ ทางด้านดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 102.230 ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี อ่อนค่าลงจากระดับ 102.64 ในช่วงท้ายวันพุธ ขณะที่ปอนด์แข็งค่า 0.55% และแข็งค่าเกือบ 3% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นการแข็งค่ามากที่สุดเมื่อเทียบรายเดือนนับตั้งแต่เดือนพ.ย. เนื่องจากข้อมูลเงินเฟ้อทั่วไปของอังกฤษไม่มีท่าทีว่าจะชะลอตัวลง ส่วนบิทคอยน์ร่วงลง 1.6% มาที่ 27,913 ดอลลาร์ หลังจากพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 1 สัปดาห์ที่ 29,170 ดอลลาร์ในช่วงเช้า ทั้งนี้ บิทคอยน์ถูกกดดันเนื่องจากนักลงทุนกังวลกับไบแนนซ์ และนายจ้าว ฉางเผิง ซีอีโอไบแนนซ์ที่ถูกคณะกรรมการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์ฟ้องร้องในข้อหาดำเนินงานตลาดที่ผิดกฏหมาย
อัตราเงินเฟ้อในเยอรมนีลดลงอย่างมีนัยสำคัญในเดือนมี.ค.เนื่องจากราคาพลังงานร่วงลง แต่ก็สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งเพิ่มแรงกดดันต่อธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ให้คุมเข้มนโยบายการเงินอีก ขณะที่อัตราเงินเฟ้อของสเปนเพิ่มขึ้น 3.3% เมื่อเทียบรายปีในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2021 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้
นายบิพาน ไร หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์อัตราแลกเปลี่ยนในอเมริกาเหนือจากซีไอบีซี แคปิตอล มาร์เก็ตส์กล่าวว่า "มีความแตกต่างกำลังเกิดขึ้นระหว่างอีซีบี และเฟดที่กำลังถ่วงดอลลาร์อยู่ ข้อมูลเงินเฟ้อของยุโรปบ่งชี้ว่า อีซีบีมีงานที่ต้องทำอีก และนั่นอาจจะอุดช่องว่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายระหว่างอีซีบีและเฟดต่อไป" ขณะที่นายมาร์ค ฮาเฟเล่ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนจากยูบีเอส โกลบอล เวลธ์ แมเนจเมนต์กล่าวว่า "เราเชื่อว่าองค์ประกอบหลักที่หนุนการแข็งค่าของดอลลาร์ในปีที่แล้ว ซึ่งได้แก่การคุมเข้มนโยบายแบบเชิงรุกของเฟด และเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวไวอาจจะไม่หนุนดอลลาร์ต่อไป" และเขาแนะให้เพิ่มการถือครองสกุลเงินบางประเทศในกลุ่มจี-10 อาทิ ดอลลาร์ออสเตรเลีย, เยน และฟรังก์สวิส
จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐเพิ่มขึ้นปานกลางในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งยังไม่ส่งสัญญาณว่า ภาวะสินเชื่อที่ตึงตัวขึ้นกำลังมีผลกระทบอย่างมากต่อตลาดแรงงานที่ยังตึงตัวอยู่ของสหรัฐ--จบ--
Eikon source text
นิวยอร์ค--7 มี.ค.--รอยเตอร์
ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดขยับขึ้นเล็กน้อยในวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนใช้ความระมัดระวังในการลงทุน ก่อนที่นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะให้การต่อสภาคองเกรสในวันอังคารและวันพุธ และก่อนที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.พ.ออกมาในวันศุกร์ที่ 10 มี.ค. ทั้งนี้ เทรดเดอร์ในตลาดสัญญาล่วงหน้า fed funds คาดการณ์ในวันจันทร์ว่า มีโอกาส 76% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 4.75-5.00% ในการประชุมวันที่ 21-22 มี.ค. และมีโอกาส 24% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 21-22 มี.ค. โดยเทรดเดอร์คาดว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% อีกอย่างน้อย 3 ครั้งในปีนี้ และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐจะปรับขึ้นจากระดับ 4.67% ในปัจจุบัน สู่จุดสูงสุดของวัฏจักรที่ระดับราว 5.44% ภายในเดือนก.ย.
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.12% สู่ 33,431.44; ดัชนี S&P 500 ปิดขยับขึ้น 0.07% สู่ 4,048.42; และดัชนี Nasdaq ปิดขยับลง 0.11% สู่ 11,675.74 ทั้งนี้ ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น หุ้นกลุ่มวัสดุรูดลง 1.7% และถือเป็นกลุ่มที่ดิ่งลงมากที่สุด หลังจากจีนกำหนดเป้าหมายอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสำหรับปีนี้ไว้ที่ระดับราว 5% ซึ่งถือเป็นระดับที่ต่ำเกินคาด ส่วนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุดในวันจันทร์ โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นบริษัทแอปเปิลที่ทะยานขึ้น 1.9% หลังจากโกลด์แมน แซคส์เริ่มจัดอันดับความน่าลงทุนของหุ้นแอปเปิลไว้ที่ "ซื้อ" นอกจากนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังได้รับแรงหนุนจากหุ้นไมโครซอฟท์ที่บวกขึ้น 0.6% และหุ้นแอลฟาเบทที่พุ่งขึ้น 1.6% ด้วย
ดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้นกว่า 1% ในช่วงแรก โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นแอปเปิล ก่อนจะปิดตลาดในแดนลบในเวลาต่อมา ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 2 ปีและ 10 ปีปรับขึ้นในวันจันทร์ หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันจันทร์ว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าที่ผลิตในสหรัฐปรับลดลงน้อยเกินคาด โดยยอดสั่งซื้อดังกล่าวปรับลดลงเพียง 1.6% ในเดือนม.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากพุ่งขึ้น 1.7% ในเดือนธ.ค. ทางด้านนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์คาดไว้ก่อนหน้านี้ว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าที่ผลิตในสหรัฐอาจรูดลง 1.8% ในเดือนม.ค. โดยยอดสั่งซื้อในเดือนม.ค.ได้รับแรงกดดันจากยอดสั่งซื้อเครื่องบินพลเรือนที่รูดลง 54.5% ในเดือนม.ค.
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีปรับขึ้นสู่ 3.983% ในวันจันทร์ จาก 3.963% ในวันศุกร์ และการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) ส่งผลลบต่อหุ้นเติบโตและหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมากเป็นพิเศษ เพราะอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นส่งผลให้มูลค่าของกระแสเงินสดในอนาคตปรับลดลง
แมรี ดาลี ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโกกล่าวในวันเสาร์ว่า ถ้าหากอัตราเงินเฟ้อและตัวเลขในตลาดแรงงานสหรัฐยังคงอยู่ในระดับที่ร้อนแรงเกินคาด เฟดก็จำเป็นจะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป และคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงเป็นเวลานานกว่าที่ผู้กำหนดนโยบายของเฟดเคยคาดการณ์ไว้ในเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--14 พ.ย.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกขึ้นในวันศุกร์ โดยปรับขึ้นต่อเนื่องจากวันพฤหัสบดี หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำเกินคาดในวันพฤหัสบดี และตัวเลขดังกล่าวช่วยสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะชะลอความเร็วในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐปรับขึ้น 0.4% ในเดือนต.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากปรับขึ้น 0.4% ในเดือนก.ย. และอยู่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ +0.6% สำหรับเดือนต.ค. ส่วนดัชนี CPI ทั่วไปแบบเทียบรายปีปรับขึ้น 7.7% ในเดือนต.ค. ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. และอยู่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ +8.0% สำหรับเดือนต.ค. หลังจากดัชนี CPI ทั่วไปพุ่งขึ้น 8.2% ในเดือนก.ย.เมื่อเทียบรายปี
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดขยับขึ้น 0.10% สู่ 33,749.18, ดัชนี S&P 500 ปิดบวกขึ้น 0.92% สู่ 3,992.93 และดัชนี Nasdaq ปิดพุ่งขึ้น 1.88% สู่ 11,323.33 ในวันศุกร์ โดยก่อนหน้านี้ดัชนี S&P เพิ่งพุ่งขึ้น 5.54% ในวันพฤหัสบดี และดัชนีเพิ่ง Nasdaq เพิ่งทะยานขึ้น 7.35% ในวันพฤหัสบดี ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 2 ปีครึ่งของดัชนีทั้งสอง อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P 500 ยังคงดิ่งลงมาแล้วราว 16% จากช่วงต้นปีนี้ และอาจจะปิดตลาดปีนี้ด้วยการดิ่งลงรายปีครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2008 ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้น 4.15% จากสัปดาห์ที่แล้ว, ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการทะยานขึ้น 5.9% จากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. และดัชนี Nasdaq ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้น 8.1% จากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการทะยานขึ้นรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.
หุ้น 6 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดในแดนบวกในวันศุกร์ โดยหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 3.07% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด ส่วนหุ้นกลุ่มบริการการสื่อสารทะยานขึ้น 2.48% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากเป็นอันดับสอง ทางด้านดัชนีหุ้นเติบโต ซึ่งครอบคลุมหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี พุ่งขึ้น 1.6% ในวันศุกร์ ในขณะที่ดัชนีหุ้นคุณค่าขยับขึ้นเพียง 0.3% ในวันศุกร์ ทั้งนี้ ดัชนี Nasdaq ได้รับแรงหนุนในวันศุกร์จากหุ้นบริษัทอะเมซอนที่พุ่งขึ้น 4.3%, หุ้นแอปเปิลที่ทะยานขึ้น 1.9% และหุ้นไมโครซอฟท์ที่พุ่งขึ้น 1.7% อย่างไรก็ดี ดัชนีดาวโจนส์ขยับขึ้นเพียงเล็กน้อยในวันศุกร์ เพราะดัชนีดาวโจนส์ได้รับแรงกดดันจากการดิ่งลงของหุ้นกลุ่มการแพทย์ โดยหุ้นบริษัทยูไนเต็ดเฮลธ์ กรุ๊ปรูดลง 4.1% ในวันศุกร์
นายทิม กริสคีย์ ผู้จัดการพอร์ตลงทุนของบริษัทอิงกัลส์ แอนด์ สไนเดอร์กล่าวว่า "สิ่งที่เราได้เห็นในวันศุกร์เป็นเพียงการปรับตัวตามวันพฤหัสบดี ในขณะที่นักลงทุนนำเงินลงทุนจำนวนมากกลับเข้ามาลงทุนในตลาด บางทีสิ่งนี้อาจจะเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า ตลาดหุ้นสหรัฐได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่ถึงแม้ตลาดหุ้นผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว ตลาดหุ้นก็ยังคงอยู่ห่างไกลจากการพุ่งขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่" ทั้งนี้ นักลงทุนคาดว่ามีโอกาส 81% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ 4.25-4.50% ในการประชุมวันที่ 13-14 ธ.ค. โดยโอกาสดังกล่าวพุ่งขึ้นจากระดับราว 52% ที่เคยคาดไว้ก่อนที่สหรัฐจะเปิดเผยดัชนี CPI และนักลงทุนก็คาดว่ามีโอกาสเพียง 19% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ 4.50-4.75% ในการประชุมวันที่ 13-14 ธ.ค.
ตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันเข้ามาบ้าง ในขณะที่ FTX ซึ่งเป็นตลาดสกุลเงินคริปโตแถลงว่า FTX จะเริ่มต้นกระบวนการล้มละลายในสหรัฐ และนายแซม แบงค์แมน-ฟรีด ได้ลาออกจากตำแหน่งซีอีโอของ FTX โดยเป็นผลจากวิกฤติสภาพคล่อง ทั้งนี้ หุ้นบริษัทจีนที่จดทะเบียนในสหรัฐพุ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงหุ้นอาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิงที่ทะยานขึ้น 1.4% หลังจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของจีนผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 โดยจีนได้ปรับลดระยะเวลากักตัวสำหรับผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อและผู้ที่เดินทางเข้าประเทศจีนลงจากเดิม 2 วัน รวมทั้งได้ยกเลิกมาตรการลงโทษสายการบินที่นำผู้โดยสารที่ติดเชื้อเข้ามาในประเทศจีนด้วย--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--9 ส.ค.--รอยเตอร์
วุฒิสภาสหรัฐได้ผ่านร่างกฎหมายปรับลดเงินเฟ้อขนาด 4.30 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่ครอบคลุมทั้งประเด็นด้านสภาพภูมิอากาศ, การแพทย์ และภาษี โดยร่างกฎหมายนี้อาจจะส่งผลลบเล็กน้อยต่อผลกำไรในภาคเอกชน และอาจจะส่งผลให้บริษัทหลายแห่งเลื่อนเวลาในการซื้อคืนหุ้นให้เร็วขึ้นจากเดิม นอกจากนี้ ร่างกฎหมายนี้อาจจะส่งผลบวกต่อบริษัทบางกลุ่มด้วย ซึ่งรวมถึงกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า, กลุ่มเชื้อเพลิงชีวภาพ และกลุ่มพลังงานจากแสงอาทิตย์ ทั้งนี้ ร่างกฎหมายนี้ได้ถูกส่งเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐในช่วงนี้ และเป็นที่คาดกันว่าสภาผู้แทนราษฎรจะผ่านร่างกฎหมายนี้ในวันศุกร์ที่ 12 ส.ค. และหลังจากนั้นประธานาธิบดีโจ ไบเดนก็จะลงนามในร่างกฎหมายนี้เพื่อให้มีผลเป็นกฎหมาย โดยมาตรการด้านภาษีในกฎหมายฉบับนี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2023 ซึ่งรวมถึงการเก็บภาษีสรรพสามิตใหม่ในการซื้อคืนหุ้น และการเก็บภาษีขั้นต่ำ 15% จากบริษัท
ธนาคารโกลด์แมน แซคส์คาดว่า ภาษีสองรายการใหม่นี้จะส่งผลลบราว 1.5% ต่อผลกำไรต่อหุ้นในปี 2023 ของบริษัทในดัชนี S&P 500 โดยบริษัทในกลุ่มการแพทย์และกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) อาจจะได้รับผลกระทบมากเป็นพิเศษ ทั้งนี้ นางโซลิตา มาร์เซลลี หัวหน้าเจ้าหน้าที่การลงทุนทวีปอเมริกาของธนาคาร UBS คาดว่า ภาษีใหม่นี้จะ "ส่งผลลบ 1% ซึ่งถือเป็นระดับที่น้อยมาก ต่อผลกำไรต่อหุ้นของบริษัทในดัชนี S&P 500 อย่างไรก็ดี บริษัทบางแห่งจะได้รับผลกระทบจากภาษีนี้มากกว่าบริษัทอื่น ๆ"
นักลงทุนบางรายคาดว่ากฎหมายนี้จะกระตุ้นให้บริษัทหลายแห่งเร่งซื้อคืนหุ้นในปีนี้ โดยนายโธมัส เฮย์ส ประธานกรรมการบริษัทเกรท ฮิลล์ แคปิตัลกล่าวว่า "สิ่งหนึ่งที่จะเห็นได้ชัดก็คือว่า จะมีการเร่งรัดซื้อคืนหุ้นก่อนสิ้นปีนี้ เพราะบริษัทหลายแห่งไม่ต้องการจะจ่ายภาษีดังกล่าว และบริษัทก็มีโอกาสที่จะไม่ต้องจ่ายภาษีดังกล่าวในปีนี้ ดังนั้นคุณจึงมั่นใจได้ว่าบริษัทเหล่านี้จะฉวยโอกาสนี้" ทั้งนี้ นายโฮเวิร์ด ซิลเวอร์แบลท นักวิเคราะห์ของ S&P ระบุว่า ยอดซื้อคืนหุ้นเคยพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดที่ 2.810 แสนล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปี 2022 แต่ดิ่งลง 17.4% ในไตรมาสสอง ทางด้านนายทิม กริสคีย์ นักยุทธศาสตร์การลงทุนของบริษัทอิงกัลส์ แอนด์ สไนเดอร์กล่าวว่า การเร่งรัดซื้อคืนหุ้นในปีนี้อาจจะช่วยหนุนตลาดหุ้น ในขณะที่ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐดีดขึ้นมาแล้วราว 13% จากจุดต่ำสุดรอบ 1 ปีครึ่งที่ทำไว้ในช่วงกลางเดือนมิ.ย. นอกจากนี้ นายซิลเวอร์แบลทยังกล่าวเสริมว่า ในระยะยาวนั้น การเก็บภาษีในอัตรา 1% นี้ไม่มีแนวโน้มที่จะเป็นอุปสรรคขัดขวางการซื้อคืนหุ้นในภาคเอกชน
นายจาเรท เซเบิร์ก จากบริษัทโคเวน วอชิงตัน รีเสิร์ช กรุ๊ปกล่าวว่า บริษัทต่าง ๆ ไม่มีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองเพื่อตอบรับต่อการเก็บภาษี 1% นี้ อย่างไรก็ดี มีความเสี่ยงที่การเก็บภาษีจากเงินปันผลอาจจะกลายเป็น "หนทางที่ง่ายดายในการระดมทุนเพิ่มเติม" และสภาคองเกรสอาจจะปรับขึ้นอัตราภาษีจาก 1% ในอนาคต ทั้งนี้ นายจอห์น เพทริเดส ผู้จัดการพอร์ตลงทุนของบริษัททอคเคอวิลล์ แอสเซท แมเนจเมนท์กล่าวว่า การปรับขึ้นอัตราภาษีนิติบุคคลอาจจะส่งผลลบต่ออัตราผลกำไรในภาคเอกชน และเขากล่าวเสริมว่า "การปรับขึ้นภาษีจะเป็นการลดแรงจูงใจในการจ้างงาน และอาจจะส่งผลให้มีการจัดสรรรายจ่ายฝ่ายทุนเพื่อนำมาลงทุนในระบบอัตโนมัติมากยิ่งขึ้น"
หุ้นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ของสหรัฐทะยานขึ้นในวันจันทร์ ซึ่งรวมถึงหุ้นริเวียน ออโตโมทีฟที่พุ่งขึ้น 6.78%, หุ้นฟอร์ด มอเตอร์ที่ทะยานขึ้น 3.14%, หุ้นเจเนอรัล มอเตอร์ส (GM) ที่พุ่งขึ้น 4.16%, หุ้นลอร์ดส์ทาวน์ มอเตอร์สที่ทะยานขึ้น 3.17% และหุ้นเทสลาซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ปรับขึ้น 0.8%หลังจากวุฒิสภาสหรัฐอนุมัติร่างกฎหมายขนาด 4.30 แสนล้านดอลลาร์ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นร่างกฎหมายในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยร่างกฎหมายนี้จะจัดให้มีการลดหย่อนภาษี 4,000 ดอลลาร์สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าใช้แล้ว และจะจัดสรรเงินหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อใช้เป็นทุนสำหรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งนี้ นายเฮย์สกล่าวว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพและหุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์น่าจะดีดขึ้น หลังจากธุรกิจกลุ่มนี้เผชิญกับความไม่แน่นอนในช่วงที่ผ่านมา เพราะว่าร่างกฎหมายนี้ไม่ได้ส่งผลลบต่อธุรกิจการแพทย์มากเท่ากับที่เคยคาดการณ์กันไว้ ทางด้านนายปีเตอร์ ทุซ ประธานบริษัทเชส อินเวสท์เมนท์ เคาน์เซลกล่าวว่า ร่างกฎหมายนี้ส่งผลลบเพียงเล็กน้อยต่อธุรกิจการแพทย์ และส่งผลกระทบต่อยาเพียงบางตัวเท่านั้น--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน