ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
เพื่อเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็วและติดตามตลาดโฟกัสใน 15 นาที
ในโลกของมนุษยชาติ จะไม่มีคำกล่าวใด ๆ ที่ไม่มีจุดยืนใด ๆ หรือคำพูดใด ๆ ที่ไม่มีจุดประสงค์ใด ๆ
อัตราเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน และเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจเชิงนโยบายของธนาคารกลาง ทัศนคติและคำพูดของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยังมีอิทธิพลต่อการกระทำของเทรดเดอร์ในตลาดอีกด้วย
เงินทำให้โลกหมุนไป และสกุลเงินเป็นสินค้าถาวร ตลาดฟอเร็กซ์เต็มไปด้วยความประหลาดใจและความคาดหวัง
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
เพลิดเพลินกับกิจกรรมที่น่าตื่นเต้น ที่นี่ที่ FastBull
ข่าวด่วนล่าสุดและเหตุการณ์ทางการเงินทั่วโลก
ฉันมีประสบการณ์ 5 ปีในการวิเคราะห์ทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนามหภาคและการตัดสินแนวโน้มระยะกลางและระยะยาว ความสนใจของฉันอยู่ที่การพัฒนาของตะวันออกกลาง ตลาดเกิดใหม่ ถ่านหิน ข้าวสาลี และสินค้าเกษตรอื่นๆ
7 ปีของตลาดหุ้น การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โลหะมีค่า และประสบการณ์การซื้อขายและการวิเคราะห์อื่น ๆ โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐาน การสนับสนุนทางเทคนิค มีอคติต่อตรรกะธุรกรรมจากบนลงล่าง โดยเน้นที่วัฏจักรมหภาคและการควบคุมความเสี่ยง การคาดการณ์เชิงทฤษฎีอุปสงค์และอุปทานอเนกประสงค์ การเปลี่ยนแปลงของราคา สร้างสมดุลระหว่างผลกระทบของธุรกรรม การกระจายชิปและอารมณ์ตลาด และคงที่
อัปเดตล่าสุด
สร้างทัศนคติการลงทุนที่ดี
วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ปรัชญาการลงทุนของเขาประกอบด้วยการสร้างกรอบความคิดระยะยาว ขจัดญาณรบกวนของตลาด ไม่เก็งกำไร และเน้นย้ำว่าการลงทุนต้องมีมีจิตใจที่มั่นคงและเป้าหมายที่ชัดเจน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง
แม้ว่าระบบกฎหมายและกรอบการกำกับดูแลในฮ่องกงจะค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ตลาดหุ้นยังคงเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายพิเศษหลายประการ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่าง HKD และ USD นักลงทุนต่างชาติอาจเผชิญกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความผันผวนของนโยบายและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นฮ่องกงด้วย
โครงสร้างต้นทุนและภาษีเมื่อลงทุนในหุ้นฮ่องกง
ต้นทุนการซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมหุ้น ค่าอากรแสตมป์ ค่าธรรมเนียมการชำระบัญชี ฯลฯ สำหรับนักลงทุนต่างชาติอาจมีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินเพิ่มเติมเป็นดอลลาร์ฮ่องกงและภาษีอื่น ๆ ตามข้อบังคับท้องถิ่น
การวิเคราะห์อุตสาหกรรมฮ่องกง:อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็น
อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็นของฮ่องกง ได้แก่ รถยนต์ การศึกษา การท่องเที่ยว การจัดเลี้ยง เครื่องแต่งกาย และภาคส่วนอื่นๆ อีกมากมาย จากบริษัทจดทะเบียน 643 แห่งนั้น 35% เป็นบริษัทในจีนแผ่นดินใหญ่และคิดเป็น 65% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด ดังนั้นอุตสาหกรรมนี้จึงได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากเศรษฐกิจจีน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด
ไม่มีข้อมูล
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม
สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
นิวยอร์ค--2 ส.ค.--รอยเตอร์
ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับลงในวันอังคาร ในขณะที่นักลงทุนรอดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานออกมาในวันศุกร์ และรอดูผลประกอบการที่บริษัทสำคัญจะรายงานออกมาในช่วงต่อไปในสัปดาห์นี้ โดยก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นเพิ่งพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเดือนก.ค. โดยได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการภาคเอกชนที่ดีเกินคาด และจากความคาดหวังที่ว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจจะชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงมาด้วย ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้นในวันอังคาร โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นแคเทอร์พิลลาร์ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ก่อสร้างที่พุ่งขึ้น 8.9% หลังจากแคเทอร์พิลลาร์รายงานว่า ผลกำไรปรับขึ้นในไตรมาสสอง แต่แคเทอร์พิลลาร์เตือนว่าอัตราผลกำไรและยอดขายอาจปรับลดลงในไตรมาสปัจจุบัน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.2% สู่ 35,630.68, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.27% สู่ 4,576.73 ในวันอังคาร หลังจากเพิ่งพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 16 เดือนในวันจันทร์ และอยู่ห่างจากสถิติระดับปิดสูงสุดที่ 4,796.56 ที่เคยทำไว้ในวันที่ 3 ม.ค. 2022 ในระดับไม่ถึง 5% ทางด้านดัชนี Nasdaq ปิดปรับลง 0.43% สู่ 14,283.91 ในวันอังคาร ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ในตอนนี้ว่า ผลกำไรของบริษัทสหรัฐอาจปรับลดลงเพียง 5.9% ในไตรมาสสองเมื่อเทียบรายปี หลังจากที่เคยคาดการณ์เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนว่า ผลกำไรอาจดิ่งลง 7.9% ในไตรมาสสอง
หุ้นบริษัทขนาดยักษ์ในกลุ่มเติบโตดิ่งลงในวันอังคาร ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีปรับขึ้นจาก 3.957% ในวันจันทร์ สู่ 4.047% ในช่วงท้ายวันอังคาร โดยหุ้นบริษัทขนาดยักษ์เหล่านี้มักจะมีมูลค่าลดลงเมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับสูงขึ้น โดยหุ้นเทสลาซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าดิ่งลง 2.38% ในวันอังคาร ส่วนหุ้นอะเมซอนดอทคอมรูดลง 1.49%
หุ้นอูเบอร์ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการเรียกรถดิ่งลง 5.7% หลังจากอูเบอร์เปิดเผยรายได้ไตรมาสสองที่ต่ำเกินคาด ส่วนหุ้นไฟเซอร์ดิ่งลง 1.25% หลังจากไฟเซอร์รายงานว่ารายได้รายไตรมาสอยู่ต่ำเกินคาด โดยเป็นผลจากการดิ่งลงของยอดขายสินค้าเกี่ยวกับโรคโควิด-19
สถาบันจัดการอุปทานของสหรัฐ (ISM) รายงานในวันอังคารว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐปรับขึ้นสู่ 46.4 ในเดือนก.ค. จาก 46.0 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2020 โดยรายงานนี้บ่งชี้ว่า ภาคโรงงานของสหรัฐอาจเข้าสู่เสถียรภาพที่ระดับต่ำ ในขณะที่ยอดสั่งซื้อใหม่ปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยดัชนียอดสั่งซื้อใหม่ในภาคการผลิตสหรัฐพุ่งขึ้นจาก 45.6 ในเดือนมิ.ย. สู่ 47.3 ในเดือนก.ค. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2022 อย่างไรก็ดี ดัชนีการจ้างงานในภาคโรงงานสหรัฐดิ่งลงจาก 48.1 ในเดือนมิ.ย. สู่ 44.4 ในเดือนก.ค. ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2020 หรือจุดต่ำสุดรอบ 3 ปี และสิ่งนี้บ่งชี้ว่าการปลดคนงานออกกำลังทวีความเร็วขึ้น--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--27 มิ.ย.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนหลีกเลี่ยงสินทรัพย์เสี่ยง หลังจากเกิดเหตุการณ์กลุ่มทหารรับจ้างแวกเนอร์ที่ติดอาวุธหนักและนำโดยนายเยฟเกนี พรีโกซิน พยายามจะก่อกบฏในรัสเซียในช่วงสุดสัปดาห์ ก่อนจะยกเลิกปฏิบัติการดังกล่าวภายใต้ข้อตกลง โดยเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนตั้งคำถามต่ออนาคตของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซีย และนักลงทุนต้องการจะรอดูผลลัพธ์จากเหตุการณ์ดังกล่าวในช่วงนี้ ทางด้านปธน.ปูตินได้กล่าวในวันจันทร์ว่า เขาขอบคุณผู้บัญชาการทหารรับจ้างและกลุ่มทหารรับจ้างที่ล้มเลิกการก่อกบฏเพื่อจะได้หลีกเลี่ยงการนองเลือด ในขณะที่กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐระบุว่า สถานการณ์ในรัสเซียยังคงไม่หยุดนิ่ง ทั้งนี้ นายพรีโกซินกล่าวในวันจันทร์ว่า เขาไม่เคยตั้งใจที่จะโค่นล้มรัฐบาลรัสเซีย แต่เขาไม่ได้เปิดเผยสถานที่อยู่ของเขาในปัจจุบัน และไม่ได้เปิดเผยข้อตกลงในการยกเลิกการก่อกบฏ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดขยับลง 0.04% สู่ 33,714.71, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.45% สู่ 4,328.82 และดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 1.16% สู่ 13,335.78 ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 2.2% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุดในวันจันทร์ ในขณะที่ราคาน้ำมันปรับขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากความกังวลที่ว่า ภาวะไร้เสถียรภาพทางการเมืองในรัสเซียอาจจะส่งผลให้เกิดการขาดตอนของอุปทานน้ำมัน ทางด้านหุ้นเติบโตดิ่งลงในวันจันทร์ โดยหุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊กดิ่งลง 3.6%, หุ้นแอลฟาเบทรูดลง 3.3% หลังจากธนาคารยูบีเอสปรับลดอันดับความน่าลงทุนของหุ้นแอลฟาเบทลงสู่ "neutral" และหุ้นเทสลาดิ่งลง 6.1% หลังจากโกลด์แมน แซคส์ปรับลดอันดับความน่าลงทุนของหุ้นเทสลาลงสู่ "neutral"
ตลาดหุ้นได้รับผลกระทบจากการเทขายทำกำไรหุ้นเติบโตในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของไตรมาสสอง หลังจากหุ้นเติบโตพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงต้นปีนี้ โดยนายคริส แซคคาเรลลี หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัทอินดิเพนเดนท์ แอดไวเซอร์ อัลไลอันซ์กล่าวว่า นักลงทุนหันมาสำรวจหุ้นที่เคยปรับตัวอ่อนแอในช่วงต้นปีนี้ ซึ่งรวมถึงหุ้นคุณค่าและหุ้นบริษัทขนาดเล็ก ทั้งนี้ นักลงทุนรอดูตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวในสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของมหาวิทยาลัยมิชิแกน และดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งถือเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) นิยมใช้ และนักลงทุนรอฟังถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดในสัปดาห์นี้ด้วย หลังจากเขาส่งสัญญาณในสัปดาห์ที่แล้วว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป และถ้อยแถลงของเขามีส่วนกดดันตลาดหุ้นสหรัฐให้ร่วงลงในสัปดาห์ที่แล้ว
เทรดเดอร์คาดการณ์ในตอนนี้ว่า มีโอกาส 26.1% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. และมีโอกาส 73.9% ที่เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. โดยเทรดเดอร์คาดการณ์อีกด้วยว่า เฟดจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปอีกในช่วงหลังจากนั้น ถึงแม้ผู้กำหนดนโยบายส่วนใหญ่ของเฟดคาดว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับอย่างน้อย 5.50-5.75% ก่อนสิ้นปีนี้
หุ้นไฟเซอร์ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตยาดิ่งลง 3.7% หลังจากไฟเซอร์ประกาศยุติการพัฒนายารักษาโรคเบาหวานและโรคอ้วนตัวหนึ่ง ทั้งนี้ หุ้นลูซิด กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทะยานขึ้น 1.5% หลังจากลูซิดทำข้อตกลงกับบริษัทแอสตัน มาร์ตินของอังกฤษ ซึ่งจะส่งผลให้ลูซิดได้ถือหุ้น 3.7% ในแอสตัน มาร์ติน--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--14 มี.ค.--รอยเตอร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์และดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับลงในวันจันทร์ตามหุ้นกลุ่มธนาคาร ในขณะที่นักลงทุนกังวลกับการปิดกิจการธนาคารซิลิคอน แวลลีย์ (SVB) ในวันศุกร์ที่ผ่านมา หลังจาก SVB ประสบความล้มเหลวในการเพิ่มทุน โดยนักลงทุนกังวลว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาอาจจะส่งผลกระทบต่อธนาคารแห่งอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดี บรรยากาศการซื้อขายมีความผันผวน และดัชนี Nasdaq ปิดบวกขึ้นในวันจันทร์ เนื่องจากหุ้นบางกลุ่มได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังที่ว่า เฟดอาจจะชะลอความเร็วในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 2 ปีก็ดิ่งลงจาก 4.588% ในช่วงท้ายวันศุกร์ สู่ 4.030% ในช่วงท้ายวันจันทร์ ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงรายวันครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ตลาดหุ้นสหรัฐทรุดตัวครั้งใหญ่ในวัน Black Monday ในปี 1987
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับลง 0.28% สู่ 31,819.14, ดัชนี S&P 500 ปิดขยับลง 0.15% สู่ 3,855.76 และดัชนี Nasdaq ปิดบวกขึ้น 0.45% สู่ 11,188.84 ทางด้านดัชนีความผันผวน CBOE หรือดัชนี VIX ที่ใช้วัดระดับความกังวลของตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้น 1.72 จุด สู่ 26.52 หลังจากทะยานขึ้นแตะ 30.81 ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปลายเดือนต.ค. ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค ซึ่งถือเป็นหุ้นกลุ่มปลอดภัยพุ่งขึ้น 1.54% ในขณะที่หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นสองกลุ่มหลังนี้มักจะได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ย
ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐกล่าวว่า มาตรการของรัฐบาลสหรัฐในการรับประกันว่า ผู้ฝากเงินจะสามารถเข้าถึงเงินฝากของตนเองใน SVB และในธนาคารซิกเนเจอร์ น่าจะช่วยให้ชาวสหรัฐมีความเชื่อมั่นว่า ระบบธนาคารสหรัฐมีความปลอดภัย และเขาให้สัญญาว่าจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อรับมือกับภัยคุกคามต่อระบบธนาคาร อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐดิ่งลง 7% ในวันจันทร์ ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย. 2020 ในขณะที่หุ้นธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิกรูดลง 61.83%, หุ้นธนาคารเวสเทิร์น อัลไลอันซ์ แบงคอร์ปดิ่งลง 47.06% และหุ้นธนาคารแพคเวสท์ แบงคอร์ปรูดลง 21.05% นอกจากนี้ หุ้นชาร์ลส์ ชวอบ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการทางการเงินก็ดิ่งลง 11.56% หลังจากทางบริษัทรายงานว่า จำนวนเงินที่ลูกค้ากู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์โดยเฉลี่ยดิ่งลง 28% และสินทรัพย์ของลูกค้าโดยรวมลดลง 4% ในเดือนก.พ. ทั้งนี้ หุ้นธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐดิ่งลงด้วยเช่นกัน ซึ่งรวมถึงหุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค, ซิตี้กรุ๊ป และเวลส์ ฟาร์โก
นักลงทุนรอดูดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนก.พ.ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันอังคารนี้ และรอดูดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันพุธ ทั้งนี้ นักลงทุนในตลาดสัญญาล่วงหน้าคาดการณ์ในตอนนี้ว่า มีโอกาส 31.4% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.50-4.75% ในการประชุมวันที่ 21-22 มี.ค. และมีโอกาส 68.6% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 4.75-5.00% ในการประชุมวันที่ 21-22 มี.ค.
หุ้นไฟเซอร์ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตยาพุ่งขึ้น 1.19% หลังจากไฟเซอร์ประกาศว่า ไฟเซอร์จะเข้าซื้อบริษัทซีเกนในวงเงินเกือบ 4.3 หมื่นล้านดอลลาร์--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--28 ก.พ.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกขึ้นเล็กน้อยในวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไรหุ้นสหรัฐ หลังจากตลาดหุ้นดิ่งลงอย่างรุนแรงในสัปดาห์ที่แล้ว แต่ตลาดหุ้นยังคงได้รับแรงกดดันจากความกังวลที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปเพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อ ทั้งนี้ ดัชนีสำคัญทั้ง 3 ดัชนีของตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นกว่า 1% ในเวลาไม่นานหลังจากเปิดตลาดในวันจันทร์ ในขณะที่ตลาดหุ้นได้รับแรงหนุนจากการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ แต่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดช่วงติดลบกลับขึ้นมาได้บ้างในเวลาต่อมา และส่งผลให้ตลาดหุ้นลดช่วงบวกลง โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีอยู่ที่ 3.922% ในช่วงท้ายวันจันทร์ โดยปรับลงจาก 3.949% ในช่วงท้ายวันศุกร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.22% สู่ 32,889.09, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับขึ้น 0.31% สู่ 3,982.24 และดัชนี Nasdaq ปิดบวกขึ้น 0.63% สู่ 11,466.98 ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์เพิ่งปิดตลาดสัปดาห์ที่แล้วด้วยการรูดลง 2.99% จากสัปดาห์ก่อนหน้านั้น ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. หรือครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 5 เดือน ทางด้านดัชนี S&P ปิดตลาดสัปดาห์ที่แล้วด้วยการรูดลง 2.66% จากสัปดาห์ก่อนหน้านั้น และดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 3.33% ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.ทั้งสำหรับดัชนี S&P และ Nasdaq โดยตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันในสัปดาห์ที่แล้วจากตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และจากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดที่บ่งชี้ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป
นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารบาร์เคลย์สและธนาคารแนทเวสต์ของอังกฤษคาดว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 21-22 มี.ค. ส่วนธนาคารมอร์แกน สแตนเลย์คาดว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนมี.ค. 2024 โดยปรับเปลี่ยนจากเดิมที่เคยคาดว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนธ.ค. 2023 นอกจากนี้ มอร์แกน สแตนเลย์ยังคาดการณ์อีกด้วยว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างเชื่องช้า โดยปรับลดลงเพียง 0.25% ต่อไตรมาส และอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 4.25% ในช่วงสิ้นปี 2024 ทั้งนี้ เทรดเดอร์ในตลาดสัญญาล่วงหน้าคาดการณ์ในตอนนี้ว่า อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอาจจะขึ้นไปแตะจุดสูงสุดของวัฏจักรที่ระดับราว 5.408% ในเดือนก.ย.
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันจันทร์ว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าทุนที่ไม่รวมอาวุธและเครื่องบิน หรือยอดสั่งซื้อสินค้าทุนพื้นฐานของสหรัฐ พุ่งขึ้น 0.8% ในเดือนม.ค.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ +0.1% หลังจากร่วงลง 0.3% ในเดือนธ.ค. ทางด้านยอดขนส่งสินค้าทุนพื้นฐานดีดขึ้น 1.1% ในเดือนม.ค. หลังจากร่วงลง 0.6% ในเดือนธ.ค. และสิ่งนี้บ่งชี้ว่ารายจ่ายด้านอุปกรณ์ในภาคธุรกิจปรับสูงขึ้น
การร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) มีส่วนช่วยหนุนดัชนีหุ้นเติบโตของสหรัฐให้ดีดขึ้น 0.63% ในวันจันทร์ ในขณะที่หุ้นบริษัทเทสลาซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพุ่งขึ้น 5.46% หลังจากเทสลารายงานว่า โรงงานของเทสลาในเมืองแบรนเดนเบิร์กของเยอรมนีผลิตรถยนต์ได้ 4,000 คันต่อสัปดาห์ ซึ่งถือว่าเร็วกกว่ากำหนดถึง 3 สัปดาห์--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--13 ก.พ.--รอยเตอร์
ดัชนี Nasdaq ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันศุกร์ตามหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มเติบโต ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดในรอบกว่า 1 เดือนที่ 3.751% ในวันศุกร์ หลังจากสหรัฐเปิดประมูลพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปีในวันพฤหัสบดี และพบว่าอุปสงค์อยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้ ดัชนี Nasdaq ยังได้รับแรงกดดันจากหุ้นบริษัทลิฟท์ อิงค์ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการเรียกรถที่ดิ่งลง 36.44% ในวันศุกร์ หลังจากลิฟท์ปรับลดค่าบริการลง ในขณะที่หุ้นอูเบอร์ เทคโนโลยีส์ ซึ่งเป็นคู่แข่งของลิฟท์รูดลง 4.43%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.5% สู่ 33,869.27, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับขึ้น 0.22% สู่ 4,090.46 และดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลง 0.61% สู่ 11,718.12 โดยดัชนีดาวโจนส์และ S&P 500 ได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน ในขณะที่แผนการของรัสเซียในการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันดิบช่วยหนุนราคาน้ำมันดิบให้พุ่งสูงขึ้น ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการปรับลง 0.17% จากสัปดาห์ที่แล้ว, ดัชนี S&P 500 ดิ่งลง 1.11% ในสัปดาห์นี้ และดัชนี Nasdaq รูดลง 2.41% ในสัปดาห์นี้ ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนลบเป็นครั้งแรกของปีนี้สำหรับ Nasdaq โดยตลาดหุ้นสหรัฐได้รับแรงกดดันในสัปดาห์นี้จากการที่เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลายคนแสดงความเห็นแบบสายเหยี่ยว และจากการรายงานผลประกอบการของบริษัทจำนวนมากในสหรัฐ
ดัชนี Russell 1000 สำหรับหุ้นเติบโตของสหรัฐ ซึ่งครอบคลุมหุ้นบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่ง ร่วงลง 0.38% ในวันศุกร์ ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานของสหรัฐพุ่งขึ้น 3.92% ในวันศุกร์ แต่ดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยดิ่งลง 1.22%
บริษัทกว่าครึ่งหนึ่งในดัชนี S&P 500 เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 4/2022 ออกมาแล้ว โดยบริษัท 69% ในกลุ่มนี้เปิดเผยผลกำไรที่ดีเกินคาด
มหาวิทยาลัยมิชิแกนรายงานในวันศุกร์ว่า ดัชนีการคาดการณ์เงินเฟ้อของสหรัฐสำหรับช่วง 1 ปีข้างหน้า ปรับขึ้นสู่ 4.2% ในเดือนก.พ. จาก 3.9% ในเดือนม.ค. และรายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐปรับขึ้นสู่ 66.4 ในเดือนก.พ. จาก 64.9 ในเดือนม.ค. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 65.0 สำหรับเดือนม.ค. ทั้งนี้ โพลล์รอยเตอร์คาดว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทั่วไปของสหรัฐอาจปรับขึ้น 0.4% ในเดือนม.ค.เมื่อเทียบรายเดือน และดัชนี CPI พื้นฐานของสหรัฐอาจปรับขึ้น 0.4% ในเดือนม.ค.เช่นกัน โดยรัฐบาลสหรัฐจะรายงานดัชนี CPI เดือนม.ค.ออกมาในวันที่ 14 ก.พ.--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--9 ม.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันศุกร์ หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตรในสหรัฐปรับเพิ่มขึ้นสูงเกินคาด แต่ค่าแรงชะลอการปรับขึ้น และมีรายงานระบุว่าภาคบริการของสหรัฐหดตัวลง โดยรายงานตัวเลขเหล่านี้ช่วยลดความกังวลของนักลงทุนที่มีต่อแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า การจ้างงานในสหรัฐเพิ่มขึ้น 223,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่ 200,000 ตำแหน่ง แต่ค่าแรงเพิ่มขึ้นเพียง 0.3% ในเดือนธ.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนพ.ย. และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 0.4% สำหรับเดือนธ.ค. ส่วนค่าแรงแบบเทียบรายปีปรับขึ้นเพียง 4.6% ในเดือนธ.ค. ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2021 หลังจากเพิ่มขึ้น 4.8% ในเดือนพ.ย.เมื่อเทียบรายปี ทางด้านอัตราการว่างงานร่วงลงสู่ 3.5% ในเดือนธ.ค. จาก 3.6% ในเดือนพ.ย. ในขณะที่อัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงานสหรัฐปรับขึ้นสู่ 62.3% ในดือนธ.ค. จาก 62.2 ในเดือนพ.ย.
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 2.13% สู่ 33,630.61, ดัชนี S&P 500 ปิดทะยานขึ้น 2.28% สู่ 3,895.08 และดัชนี Nasdaq ปิดพุ่งขึ้น 2.56% สู่ 10,569.29 โดยดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการทะยานขึ้น 1.46% จากสัปดาห์ที่แล้ว, ดัชนี S&P ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้น 1.45% จากสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนลบมานาน 4 สัปดาห์ติดต่อกัน และดัชนี Nasdaq ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการบวกขึ้น 0.98% จากสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนลบมานาน 4 สัปดาห์ติดต่อกัน ทั้งนี้ หุ้นทั้ง 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดในแดนบวกในวันศุกร์ โดยหุ้นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุดคือหุ้นกลุ่มวัสดุที่ทะยานขึ้น 3.44% ส่วนหุ้นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากเป็นอันดับสองคือหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ทะยานขึ้น 2.99% ทางด้านหุ้นกลุ่มที่ปรับขึ้นน้อยที่สุดคือหุ้นกลุ่มการแพทย์ที่ปรับขึ้นเพียง 0.89% และหุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับขึ้น 1.68%
สถาบันจัดการอุปทานของสหรัฐ (ISM) รายงานในวันศุกร์ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของสหรัฐดิ่งลงจาก 56.5 ในเดือนพ.ย. สู่ 49.6 ในเดือนธ.ค. ซึ่งถือเป็นการรูดผ่านระดับ 50 ลงมาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2020 และดัชนีที่ระดับต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าภาคบริการหดตัวลง โดยดัชนีนี้แสดงให้เห็นว่าภาคบริการซึ่งครองสัดส่วนสูงกว่า 2 ใน 3 ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในสหรัฐหดตัวลงในเดือนธ.ค.เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปีครึ่ง นอกจากนี้ ISM ยังรายงานอีกด้วยว่า ดัชนีราคาจ่ายในภาคบริการปรับลงจาก 70.0 ในเดือนพ.ย. สู่ 67.6 ในเดือนธ.ค. ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2021 และถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง ทั้งนี้ นางเมแกน ฮอร์นแมน หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัทเวอร์เดนซ์ แคปิตัล แมเนจเมนท์กล่าวว่า รายงานตัวเลขการจ้างงานและตัวเลขภาคบริการที่ออกมาในวันศุกร์ "ทำให้นักลงทุนคาดว่า วัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวของเฟดใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว และปัจจัยนี้ก็หนุนตลาดหุ้นให้พุ่งขึ้น" ทางด้านนายจอห์น ออกุสติน หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของธนาคารฮันทิงทัน เนชันแนล แบงก์ระบุว่า นักลงทุนปรับลดความกังวลที่ว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนถึงระดับที่ส่งผลให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย และเขากล่าวเสริมว่า "รายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาในวันศุกร์อาจจะช่วยลดแรงกดดันสำหรับเฟดในการทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยเฟดอาจจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงมามากพอแล้ว และเฟดอาจจะต้องรอเพียงแค่การยืนยันเรื่องนี้จากรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ" โดยรัฐบาลสหรัฐจะรายงานตัวเลขอัตราเงินเฟ้อประจำเดือนธ.ค.ออกมาในวันพฤหัสบดีที่ 12 ม.ค. และถ้าหากอัตราเงินเฟ้อในเดือนธ.ค.ยังคงชะลอตัวลงต่อไป เฟดก็จะสามารถตัดสินใจได้ว่า เฟดจะชะลอความเร็วในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่
นายราฟาเอล บอสติก ประธานเฟดสาขาแอตแลนตากล่าวในวันศุกร์ว่า รายงานการจ้างงานครั้งล่าสุดของสหรัฐถือเป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐกำลังชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป และถ้าหากเศรษฐกิจยังคงชะลอตัวลงแบบนี้ต่อไป เฟดก็จะสามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25% ในการประชุมกำหนดนโยบายครั้งถัดไปในวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ. ทั้งนี้ นักลงทุนรอดูฤดูการรายงานผลประกอบการไตรมาส 4 ที่จะเริ่มต้นขึ้นในวันศุกร์ที่ 13 ม.ค.เมื่อธนาคารเจพีมอร์แกนและธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกาเปิดเผยผลประกอบการออกมา
ดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นพุ่งขึ้นในวันศุกร์ โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นคอสต์โค โฮลเซล คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกที่พุ่งขึ้น 7% หลังจากทางบริษัทรายงานว่ายอดขายในเดือนธ.ค.พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ทั้งนี้ หุ้นไฟเซอร์ทะยานขึ้น 2.5% หลังจากมีรายงานข่าวระบุว่า ไฟเซอร์เจรจากับจีนในเรื่องการออกใบอนุญาตให้บริษัทผู้ผลิตยาในจีนสามารถผลิตและจัดจำหน่ายยาชื่อสามัญของยา Paxlovid ของไฟเซอร์เพื่อใช้ในการรักษาโรคโควิด-19 ในจีน--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
วอชิงตัน--6 ม.ค.--รอยเตอร์
นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เคยให้สัญญาครั้งสำคัญในปี 2020 ว่า เขาจะทำให้เป้าหมายของเฟดในการทำให้การจ้างงานเพิ่มขึ้น "ในวงกว้างและอย่างครอบคลุม" ถือเป็นเป้าหมายที่มีความสำคัญในระดับเท่ากับหรือมากกว่าคำสัญญาของเฟดที่จะควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำ โดยการให้สัญญาของเขาในครั้งนั้นมีจุดประสงค์เพื่อสานต่อความก้าวหน้าในตลาดแรงงานสหรัฐในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่การจ้างงานเพิ่มขึ้นในวงกว้างและครอบคลุมชนกลุ่มน้อยในสหรัฐ ทั้งนี้ ภาระผูกพันดังกล่าวของเฟดเผชิญกับอุปสรรคในช่วงที่ผ่านมา ในขณะที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว 4.25% ในปี 2022 สู่ 4.25-4.50% ในปัจจุบัน เพื่อรับมือกับอัตราเงินเฟ้อที่ทะยานขึ้นแตะจุดสูงสุดในรอบราว 40 ปี โดยเจ้าหน้าที่เฟดระบุในการประชุมกำหนดนโยบายประจำวันที่ 13-14 ธ.ค.ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจำเป็นจะต้องชะลอตัวลงเพื่อที่เฟดจะได้ควบคุมภาวะเงินเฟ้อ และสิ่งนี้หมายความว่า "อัตราการว่างงานในประชากรบางกลุ่ม โดยเฉพาะประชากรเชื้อสายแอฟริกัน-อเมริกันและเชื้อสายฮิสปานิก มีแนวโน้มที่จะพุ่งขึ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประชากรทั้งประเทศ"
การที่เจ้าหน้าที่เฟดยอมรับในเรื่องนี้ตอกย้ำให้เห็นถึงทางเลือกที่ยากลำบากที่เฟดต้องเผชิญ ในขณะที่เฟดพยายามรับมือกับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 1980 และพยายามจะบรรลุเป้าหมายในการทำให้เกิดภาวะการจ้างงานเต็มที่ทั่วทั้งสังคมสหรัฐในเวลาเดียวกัน ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนธ.ค.ในช่วงต่อไปในวันนี้ และนักเศรษฐศาสตร์ก็คาดว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตรในสหรัฐอาจพุ่งขึ้น 200,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. ซึ่งสูงราว 2 เท่าของระดับที่เฟดมองว่ายั่งยืน ในขณะที่ค่าแรงพุ่งสูงขึ้น และอัตราการว่างงานของประชากรผิวดำกับประชากรเชื้อสายฮิสปานิกเคลื่อนตัวอยู่ใกล้สถิติต่ำสุุด ซึ่งถ้าหากตลาดการจ้างงานยังคงอยู่ในภาวะแข็งแกร่งแบบนี้ต่อไป ก็มีแนวโน้มมากยิ่งขึ้นที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปเพื่อพยายามทำลายภาวะดังกล่าว
นายทิม ดุย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์สหรัฐของบริษัทเอสจีเอช แมคโคร แอดไวเซอร์สระบุว่า "ทั้งเจ้าหน้าที่สายเหยี่ยวและสายพิราบในเฟดต่างก็มีความเห็นตรงกันว่า ตลาดแรงงานสหรัฐยังคงอยู่ในภาวะตึงตัวมากเกินไป" และเขามองว่า รายงานการประชุมกำหนดนโยบายประจำวันที่ 13-14 ธ.ค.ที่เฟดเปิดเผยออกมาในวันพุธ แสดงให้เห็นว่าเฟด "เต็มใจที่จะแบกรับความเสียหาย" ที่เกิดจากการบีบให้อัตราการว่างงานพุ่งสูงขึ้น นอกจากนี้ เขายังระบุอีกด้วยว่า "ถ้าหากตลาดแรงงานยังไม่ชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด เฟดก็จะมีความจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย" สู่ระดับสูงกว่า 5.00-5.25% ถึงแม้เจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่คาดว่าระดับดังกล่าวจะถือเป็นจุดสูงสุดของวัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ ทั้งนี้ รายงานการประชุมเฟดประจำวันที่ 13-14 ธ.ค.แสดงให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่เฟดบางคนมองว่า อุปทานแรงงาน "ดูเหมือนจะเผชิญกับขีดจำกัด" ในขณะที่อัตราการมีส่วนร่วมในตลาดแรงงานเคลื่อนตัวอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤติโรคระบาด นอกจากนี้ ความต้องการจ้างงานก็ยังคงอยู่ในระดับแข็งแกร่ง โดยสัดส่วนตำแหน่งงานว่างต่อคนว่างงานในสหรัฐอยู่ที่ 1.74 ตำแหน่งต่อคนว่างงานหนึ่งคนในเดือนพ.ย.
เฟดมองว่าการปรับขึ้นค่าแรงอาจจะเป็นปัจจัยกระตุ้นภาวะเงินเฟ้อในอนาคต แต่นักเศรษฐศาสตร์และผู้กำหนดนโยบายบางคนโต้แย้งว่า ต้นเหตุของเงินเฟ้อเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ และเฟดไม่ควรแก้ไขภาวะเงินเฟ้อด้วยการทำให้อัตราการว่างงานพุ่งขึ้นมากนัก โดยนางลาเอล เบรนาร์ด รองประธานกรรมการเฟดระบุว่า ต้นเหตุของเงินเฟ้อเกิดจากอัตราผลกำไรในภาคเอกชนที่ยังคงอยู่ในระดับสูงมาก ส่วนนายนีล แคชคารี ประธานเฟดสาขามินนิอาโปลิสระบุว่า สถานการณ์ในช่วงนี้มีความคล้ายคลึงกับการกำหนดราคาตามความต้องการของตลาด โดยราคาจะพุ่งสูงขึ้นเมื่อใดก็ตามที่อุปสงค์อยู่ในระดับสูงแต่อุปทานทรงตัวเท่าเดิม โดยบริษัทอย่างเช่นอูเบอร์ เทคโนโลยีส์มักใช้กลไกกำหนดราคาแบบนี้ ทั้งนี้ นักวิเคราะห์บางรายระบุว่า การจะทำให้อัตราเงินเฟ้อกลับคืนสู่ระดับ 2% อาจจะเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมากเกินคาด และจะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจและการจ้างงานเป็นอย่างมาก
เฟดคาดว่าอัตราการว่างงานจะพุ่งขึ้นจาก 3.7% ในช่วงสิ้นปี 2022 สู่ 4.6% ในช่วงสิ้นปี 2023 ซึ่งเท่ากับว่าอัตราการว่างงานจะพุ่งขึ้นราว 0.9% ซึ่งสูงกว่าขนาดการพุ่งขึ้นที่มักจะเกิดขึ้นในช่วงที่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทั้งนี้ ปัจจัยหนุนเงินเฟ้อที่แก้ไขได้ยากมากที่สุดในช่วงนี้อยู่ในภาคบริการซึ่งใช้แรงงานสูง โดยเฟดระบุในรายงานการประชุมว่า เนื่องจากค่าบริการมักจะปรับตัวตามรายได้ของคนงาน "ดังนั้นค่าบริการจึงมีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป ถ้าหากตลาดแรงงานยังคงอยู่ในภาวะตึงตัวเป็นอย่างมาก" และระบุเสริมว่า "ถึงแม้แทบไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่า ค่าจ้างและราคาชะลอตัวลงตามกันในตอนนี้ ผู้กำหนดนโยบายก็ประเมินว่า ในการที่จะทำให้องค์ประกอบนี้ของภาวะเงินเฟ้อชะลอตัวลงสู่ระดับที่สอดคล้องกับเป้าหมายได้นั้น อุปสงค์ในแรงงานก็จะต้องชะลอการเติบโตลงในระดับหนึ่งด้วย"--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน