ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
เพื่อเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็วและติดตามตลาดโฟกัสใน 15 นาที
ในโลกของมนุษยชาติ จะไม่มีคำกล่าวใด ๆ ที่ไม่มีจุดยืนใด ๆ หรือคำพูดใด ๆ ที่ไม่มีจุดประสงค์ใด ๆ
อัตราเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน และเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจเชิงนโยบายของธนาคารกลาง ทัศนคติและคำพูดของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยังมีอิทธิพลต่อการกระทำของเทรดเดอร์ในตลาดอีกด้วย
เงินทำให้โลกหมุนไป และสกุลเงินเป็นสินค้าถาวร ตลาดฟอเร็กซ์เต็มไปด้วยความประหลาดใจและความคาดหวัง
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
เพลิดเพลินกับกิจกรรมที่น่าตื่นเต้น ที่นี่ที่ FastBull
ข่าวด่วนล่าสุดและเหตุการณ์ทางการเงินทั่วโลก
ฉันมีประสบการณ์ 5 ปีในการวิเคราะห์ทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนามหภาคและการตัดสินแนวโน้มระยะกลางและระยะยาว ความสนใจของฉันอยู่ที่การพัฒนาของตะวันออกกลาง ตลาดเกิดใหม่ ถ่านหิน ข้าวสาลี และสินค้าเกษตรอื่นๆ
7 ปีของตลาดหุ้น การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โลหะมีค่า และประสบการณ์การซื้อขายและการวิเคราะห์อื่น ๆ โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐาน การสนับสนุนทางเทคนิค มีอคติต่อตรรกะธุรกรรมจากบนลงล่าง โดยเน้นที่วัฏจักรมหภาคและการควบคุมความเสี่ยง การคาดการณ์เชิงทฤษฎีอุปสงค์และอุปทานอเนกประสงค์ การเปลี่ยนแปลงของราคา สร้างสมดุลระหว่างผลกระทบของธุรกรรม การกระจายชิปและอารมณ์ตลาด และคงที่
อัปเดตล่าสุด
สร้างทัศนคติการลงทุนที่ดี
วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ปรัชญาการลงทุนของเขาประกอบด้วยการสร้างกรอบความคิดระยะยาว ขจัดญาณรบกวนของตลาด ไม่เก็งกำไร และเน้นย้ำว่าการลงทุนต้องมีมีจิตใจที่มั่นคงและเป้าหมายที่ชัดเจน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง
แม้ว่าระบบกฎหมายและกรอบการกำกับดูแลในฮ่องกงจะค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ตลาดหุ้นยังคงเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายพิเศษหลายประการ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่าง HKD และ USD นักลงทุนต่างชาติอาจเผชิญกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความผันผวนของนโยบายและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นฮ่องกงด้วย
โครงสร้างต้นทุนและภาษีเมื่อลงทุนในหุ้นฮ่องกง
ต้นทุนการซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมหุ้น ค่าอากรแสตมป์ ค่าธรรมเนียมการชำระบัญชี ฯลฯ สำหรับนักลงทุนต่างชาติอาจมีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินเพิ่มเติมเป็นดอลลาร์ฮ่องกงและภาษีอื่น ๆ ตามข้อบังคับท้องถิ่น
การวิเคราะห์อุตสาหกรรมฮ่องกง:อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็น
อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็นของฮ่องกง ได้แก่ รถยนต์ การศึกษา การท่องเที่ยว การจัดเลี้ยง เครื่องแต่งกาย และภาคส่วนอื่นๆ อีกมากมาย จากบริษัทจดทะเบียน 643 แห่งนั้น 35% เป็นบริษัทในจีนแผ่นดินใหญ่และคิดเป็น 65% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด ดังนั้นอุตสาหกรรมนี้จึงได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากเศรษฐกิจจีน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด
ไม่มีข้อมูล
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม
สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
นิวยอร์ค--3 ก.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันศุกร์ ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐส่งสัญญาณชะลอตัวลง และหุ้นบริษัทแอปเปิล อิงค์ทะยานขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ที่ 194.48 ดอลลาร์ได้ในระหว่างวัน และปิดพุ่งขึ้น 2.3% สู่ 193.97 ดอลลาร์ ซึ่งส่งผลให้มูลค่าของบริษัทแอปเปิลทะยานขึ้นเหนือระดับ 3 ล้านล้านดอลลาร์ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2022 โดยหุ้นแอปเปิลได้รับแรงหนุนจากความต้องการซื้อหุ้นเติบโต และจากการคาดการณ์ที่ว่า แอปเปิลจะประสบความสำเร็จในตลาดใหม่ ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า ปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคสหรัฐขยับขึ้น 0.1% ในเดือนพ.ค. หลังจากปรับขึ้น 0.6% ในเดือนเม.ย. ในขณะที่ดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) นิยมใช้ ขยับขึ้น 0.1% ในเดือนพ.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากปรับขึ้น 0.4% ในเดือนเม.ย. และปรับขึ้น 3.8% ในเดือนพ.ค.เมื่อเทียบรายปี ซึ่งถือเป็นอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2021 โดยชะลอตัวลงจาก 4.3% ในเดือนเม.ย.เมื่อเทียบรายปี ทางด้านดัชนี PCE พื้นฐานที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงานปรับขึ้น 0.3% ในเดือนพ.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากปรับขึ้น 0.4% ในเดือนเม.ย. ส่วนดัชนี PCE พื้นฐานแบบเทียบรายปีปรับขึ้น 4.6% ในเดือนพ.ค. หลังจากปรับขึ้น 4.7% ในเดือนเม.ย.เมื่อเทียบรายปี
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.84% สู่ 34,407.6, ดัชนี S&P 500 ปิดพุ่งขึ้น 1.23% สู่ 4,450.38 และดัชนี Nasdaq ปิดทะยานขึ้น 1.45% สู่ 13,787.92 โดยดัชนี Nasdaq ปิดตลาดช่วงครึ่งแรกของปีนี้ด้วยการพุ่งขึ้นกว่า 31% จากช่วงสิ้นปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่สุดในรอบ 40 ปีสำหรับช่วงครึ่งปีแรก ในขณะที่ดัชนี Nasdaq 100 สำหรับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีชั้นนำทะยานขึ้นราว 39% ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่เป็นประวัติการณ์สำหรับช่วงครึ่งปีแรก ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้น 2.02% จากสัปดาห์ที่แล้ว, ดัชนี S&P 500 ทะยานขึ้น 2.35% ในสัปดาห์นี้ และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 2.20% ในสัปดาห์นี้ นอกจากนี้ ดัชนีดาวโจนส์ก็ปิดตลาดไตรมาสสองด้วยการทะยานขึ้น 3.4% จากไตรมาสแรก, ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 8.3% ในไตรมาสสอง และดัชนี Nasdaq ทะยานขึ้น 12.8% ในไตรมาสสอง
รายงานตัวเลขของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐช่วยกระตุ้นการคาดการณ์ที่ว่า วัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีปรับลงจาก 3.854% ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี สู่ 3.819% ในช่วงท้ายวันศุกร์ ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า มีโอกาส 15.9% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. และมีโอกาส 84.1% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. โดยโอกาสดังกล่าวปรับลดลงจาก 89.3% ที่เคยคาดไว้ในวันพฤหัสบดี
หุ้นทั้ง 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดวันศุกร์ในแดนบวก โดยดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้น 1.8% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ปรับขึ้น 0.5% และถือเป็นกลุ่มที่ปรับขึ้นน้อยที่สุด ทางด้านดัชนีหุ้นเติบโตของสหรัฐทะยานขึ้น 1.4% ในวันศุกร์ ในขณะที่หุ้นบริษัทไมโครซอฟท์, อะเมซอน, เอ็นวิเดีย และเมตา แพลตฟอร์มส์พุ่งขึ้น 1.6-3.6% โดยหุ้นเหล่านี้ได้รับแรงหนุนในช่วงที่ผ่านมาจากผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และจากกระแสความนิยมในปัญญาประดิษฐ์ (AI)
ดัชนี Russell 2000 สำหรับหุ้นบริษัทขนาดเล็กของสหรัฐปรับขึ้น 0.4% ในวันศุกร์ ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดในแดนบวกได้เป็นวันที่ 5 ติดต่อกัน ทั้งนี้ หุ้นไนกี้ซึ่งเป็นผู้ผลิตชุดกีฬาดิ่งลง 2.6% หลังจากไนกี้คาดการณ์รายได้ไตรมาสแรกที่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ในย่านวอลล์สตรีท--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--30 มิ.ย.--รอยเตอร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์และดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกขึ้นในวันพฤหัสบดี ในขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้น หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้เปิดเผยผลการทดสอบภาวะวิกฤติประจำปีนี้ในวันพุธ ซึ่งเป็นการทดสอบธนาคาร 23 แห่งในสหรัฐที่แต่ละแห่งมีสินทรัพย์ไม่ต่ำกว่า 1.00 แสนล้านดอลลาร์ โดยผลการทดสอบพบว่า ธนาคารขนาดใหญ่เหล่านี้สามารถผ่านการทดสอบ ถึงแม้ว่าภาคธนาคารสหรัฐเพิ่งเผชิญกับภาวะปั่นป่วนวุ่นวายในช่วงต้นปี และเผชิญกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนในอนาคต ทั้งนี้ ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่า ธนาคารกลุ่มนี้มีเงินกองทุนมากพอที่จะสามารถรับมือกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง และปัจจัยนี้ก็ส่งผลให้ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐปิดพุ่งขึ้น 2.6% ในวันพฤหัสบดี และส่งผลให้ดัชนี KBW สำหรับหุ้นธนาคารระดับภูมิภาคของสหรัฐปิดทะยานขึ้น 1.8%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.8% สู่ 34,122.42, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับขึ้น 0.45% สู่ 4,396.44 และดัชนี Nasdaq ปิดขยับลง 0.42 จุด หรือ 0% สู่ 13,591.33 ในวันพฤหัสบดี อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq มีแนวโน้มว่าอาจจะปิดตลาดช่วงครึ่งปีแรกด้วยการพุ่งขึ้นกว่า 29% จากช่วงสิ้นปีที่แล้ว ซึ่งจะถือเป็นอัตราการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 40 ปีสำหรับช่วงครึ่งปีแรก ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินพุ่งขึ้น 1.7% ในวันพฤหัสบดี และถือเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มใหญ่ที่พุ่งขึ้นมากที่สุดในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐ ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มวัสดุทะยานขึ้น 1.3% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากเป็นอันดับสอง โดยหุ้นกลุ่มวัสดุถือเป็นส่วนหนึ่งของหุ้นกลุ่มวัฏจักรเศรษฐกิจ ทางด้านดัชนี Russell 2000 สำหรับหุ้นบริษัทขนาดเล็กของสหรัฐทะยานขึ้น 1.2% ในวันพฤหัสบดี โดยหุ้นบริษัทขนาดเล็กมักจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน
สหรัฐเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในวันพฤหัสบดี และรายงานตัวเลขดังกล่าวช่วยกระตุ้นการคาดการณ์ที่ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย และปัจจัยนี้ก็ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มวัฏจักรเศรษฐกิจและหุ้นคุณค่า อย่างไรก็ดี ตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งช่วยกระตุ้นการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป และส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีปรับขึ้นจาก 3.712% ในช่วงท้ายวันพุธ สู่ 3.854% ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี และปัจจัยนี้ก็ส่งผลลบต่อหุ้นเติบโตและหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งเป็นกลุ่มที่มักได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสหรัฐดิ่งลง 26,000 ราย สู่ 239,000 รายในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 24 มิ.ย. ซึ่งอยู่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 265,000 ราย และการดิ่งลงในครั้งนี้ถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2021 หรือครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 20 เดือน ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐเติบโตขึ้น 2.0% ในไตรมาสแรก โดยปรับทบทวนขึ้นจากอัตราการเติบโตที่ 1.3% ที่เคยรายงานไว้ในเดือนพ.ค.
นักลงทุนคาดการณ์ในตอนนี้ว่า มีโอกาสราว 10.7% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. และมีโอกาสราว 89.3% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. โดยโอกาสดังกล่าวปรับขึ้นจาก 81.8% ที่เคยคาดไว้เมื่อหนึ่งวันก่อน นอกจากนี้ นักลงทุนยังคาดการณ์อีกด้วยว่า เฟดจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีนี้ ทั้งนี้ นักลงทุนรอดูดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ประจำเดือนพ.ค.ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันศุกร์นี้ เพราะเฟดมักใช้ดัชนี PCE เป็นมาตรวัดภาวะเงินเฟ้อ ทางด้านนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์คาดว่า อัตราเงินเฟ้อของดัชนี PCE พื้นฐานอาจทรงตัวที่ 4.7% ในเดือนพ.ค.
ดัชนี Nasdaq ได้รับแรงกดดันในวันพฤหัสบดีจากการดิ่งลงของหุ้นบริษัทขนาดยักษ์ ซึ่งรวมถึงหุ้นอะเมซอนที่ปรับลง 0.9%, หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ที่ดิ่งลง 1.3%, หุ้นเอ็นวิเดียที่ร่วงลง 0.7% และหุ้นไมโครซอฟท์ที่ปรับลง 0.2%--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--22 พ.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับลงในวันศุกร์ หลังจากการเจรจาต่อรองเรื่องการปรับขึ้นเพดานหนี้ของรัฐบาลกลางสหรัฐจากระดับ 31.4 ล้านล้านดอลลาร์หยุดชะงักลงชั่วคราว และปัจจัยดังกล่าวทำให้นักลงทุนปรับลดการคาดการณ์ในทางบวกที่ว่า อาจจะมีการบรรลุข้อตกลงเรื่องเพดานหนี้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทั้งนี้ นายแกร์เรท เกรฟส์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำการเจรจาต่อรองได้เดินออกจากการเจรจาในวันศุกร์ และเขากล่าวต่อผู้สื่อข่าวว่า "จนกว่าพวกเขาจะเต็มใจที่จะหารือกันอย่างยากลำบากเรื่องวิธีการเดินหน้าและทำในสิ่งที่ถูกต้อง เราก็จะไม่มานั่งเจรจากัน" อย่างไรก็ดี ทำเนียบขาวระบุว่า ยังคงมีความเป็นไปได้ที่จะมีการบรรลุข้อตกลงกัน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับลง 0.33% สู่ 33,426.63, ดัชนี S&P 500 ปิดขยับลง 0.14% สู่ 4,191.98 หลังจากดัชนีเพิ่งพุ่งขึ้นกว่า 2% ในวันพุธและวันพฤหัสบดี และดัชนี Nasdaq ปิดปรับลง 0.24% สู่ 12,657.90 ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับระดับปิดสัปดาห์ที่แล้ว ดัชนีดาวโจนส์ก็ปิดตลาดสัปดาห์นี้บวกขึ้น 0.38%, ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดสัปดาห์นี้ทะยานขึ้น 1.65% และดัชนี Nasdaq ปิดตลาดสัปดาห์นี้พุ่งขึ้น 3.04% โดยทั้งดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ต่างก็พุ่งขึ้นในสัปดาห์นี้ในอัตราที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่สัปดาห์สุดท้ายของเดือนมี.ค.
นักลงทุนยังคงไม่แน่ใจในแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ ในขณะที่นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แสดงจุดยืนแบบสายพิราบปานกลาง โดยเขากล่าวในวันศุกร์ว่า ภาวะสินเชื่อที่ตึงตัวมากยิ่งขึ้นส่งผลให้ "เฟดอาจจะไม่มีความจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับที่มากเท่ากับในกรณีที่ไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เพื่อจะได้บรรลุเป้าหมายของเรา" และเขากล่าวย้ำว่า ในตอนนี้เฟดจะตัดสินใจกำหนดนโยบายในการประชุมแต่ละครั้งไป และเขากล่าวเสริมว่า หลังจากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่เฟดก็สามารถประเมินอย่างระมัดระวังได้ว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยส่งผลกระทบอย่างไรบ้างต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ
ตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากข่าวของ CNN ที่ระบุว่า เจเน็ต เยลเลน รมว.คลังสหรัฐได้กล่าวต่อซีอีโอของธนาคารต่าง ๆ ในวันพฤหัสบดีว่า อาจจะมีความจำเป็นที่ธนาคารจะต้องควบรวมกิจการกันมากยิ่งขึ้น หลังจากธนาคารหลายแห่งล้มลงในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ ดัชนี KBW สำหรับหุ้นธนาคารระดับภูมิภาคของสหรัฐดิ่งลง 2.17% ในวันศุกร์ แต่ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้น 6.2% จากสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนลบมานาน 3 สัปดาห์ติดต่อกัน โดยดัชนี KBW ได้รับแรงหนุนในสัปดาห์นี้จากการที่นักลงทุนมองว่า ปัญหาในภาคธนาคารระดับภูมิภาคอยู่ภายใต้การควบคุมเป็นส่วนใหญ่ ทางด้านหุ้นธนาคารมอร์แกน สแตนเลย์ดิ่งลง 2.66% ในวันศุกร์ หลังจากนายเจมส์ กอร์แมน ซีอีโอของมอร์แกน สแตนเลย์ประกาศว่า เขาจะลงจากตำแหน่งในเวลา 12 เดือนข้างหน้า
หุ้นฟูต ล็อกเกอร์ ซึ่งเป็นผู้ค้าปลีกรองเท้าดิ่งลง 27.24% ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงรายวันครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 25 ก.พ. 2022 หลังจากฟูต ล็อกเกอร์ปรับลดคาดการณ์ผลกำไรและยอดขายประจำปี โดยประกาศเตือนของฟูต ล็อกเกอร์มีส่วนกดดันหุ้นอันเดอร์ อาร์เมอร์ให้รูดลง 4.20% และกดดันหุ้นไนกี้ให้ดิ่งลง 3.46% ด้วย โดยไนกี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของดัชนีดาวโจนส์--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ดัชนีหุ้นหลักทั้งสามตัวในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปิดพุ่งขึ้นในวันพุธ ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นมากที่สุดในวันเดียวในเดือนนี้โดยได้แรงหนุนจากผลประกอบการรายไตรมาสที่สดใสจากไนกี้และเฟดเอกซ์ รวมทั้งข้อมูลความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ดีขึ้น และการคาดการณ์เงินเฟ้อที่ลดลงจากนักลงทุน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 526.74 จุด หรือ 1.6% ที่ 33,376.48, ดัชนี S&P 500 ปิดพุ่งขึ้น 56.82 จุด หรือ 1.49% สู่ระดับ 3,878.44 และดัชนี Nasdaq ปิดพุ่งขึ้น 162.66 จุด หรือ 1.54% สู่ 10,709.37
หุ้นไนกี้ทะยานขึ้น 12% หลังจากบริษัทได้แถลงผลกำไรสำหรับไตรมาส 2 ที่ดีเกินคาดจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งในช่วงวันหยุดจากผู้บริโภคในอเมริกาเหนือ ส่วนหุ้นเฟดเอกซ์พุ่งขึ้น 3.4% หลังจากแถลงการคาดการณ์ทางการเงิน และแผนการลดต้นทุน 1 พันล้านดอลลาร์ และหุ้นคาร์นิวัล คอร์ปพุ่งขึ้น 4.7% หลังจากแถลงผลขาดทุนที่ต่ำกว่าคาด
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือนในเดือนธ.ค. ขณะที่อัตราเงินเฟ้อลดลง และตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง ส่วนตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อระยะ 12 เดือนลดลงสู่ระดับ 6.7% ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดตั้งแต่เดือนก.ย.2021 แต่ยอดขายบ้านมือสองร่วงลง 7.7% สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปีครึ่งในเดือนพ.ย. ขณะที่ตลาดบ้านได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อจำนองที่สูงขึ้น แต่ข้อมูลนี้ก็อาจจะทำให้นักลงทุนมีความหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะผ่อนคลายนโยบายคุมเข้มทางการเงิน
นายไบรอัน ไพรซ์ ผู้อำนวยการฝ่ายจัดการการลงทุนจากคอมมอนเวลธ์ ไฟแนนเชียล เน็ตเวิร์คกล่าวว่า "ในระดับมหภาค คุณยังมีภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่ในระดับจุลภาค คุณมีบริษัทที่ปรับตัวรับ และให้การคาดการณ์เชิงบวกจากมุมมองผลกำไร ส่วนผสมนี้กำลังจะเป็นปัจจัยบวก" ขณะที่นายเอ็ดเวิร์ด โจนส์ คูร์คาฟาส กล่าวว่า "ยังมีความไม่แน่นอนอยู่มากมาย และเราอาจจะเห็นความผันผวนมากในช่วงต้นปี ขณะที่เราอาจจะอยู่ในภาวะถดถอยเล็กน้อย" แต่เขาก็เชื่อว่า ตลาดได้ปรับตัวรับภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงแล้ว--จบ--
(รอยเตอร์ โดย เสาวณีย์ เอกปัญญาชัย แปลและเรียบเรียง)
นิวยอร์ค--3 ต.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดดิ่งลงในวันศุกร์ และดัชนี S&P 500 ปิดตลาดเดือนก.ย.ด้วยการดิ่งลงอย่างรุนแรงจากเดือนส.ค. โดยอัตราการดิ่งลงในเดือนก.ย.ปีนี้ถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุด เมื่อเทียบกับเดือนก.ย.ในปีก่อน ๆ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันในไตรมาสสามจากอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงมาก, จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าว และจากความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า ดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) นิยมใช้ ปรับขึ้น 6.2% ในเดือนส.ค.เมื่อเทียบรายปี หลังจากปรับขึ้น 6.4% ในเดือนก.ค.เมื่อเทียบรายปี ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน ซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน ปรับขึ้น 4.9% ในเดือนส.ค.เมื่อเทียบรายปี หลังจากปรับขึ้น 4.7% ในเดือนก.ค. โดยรายงานตัวเลขนี้บ่งชี้ว่า เฟดอาจจะไม่ชะลอความเร็วในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงนี้ และเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวต่อไปเป็นเวลานานเกินคาด ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ห่างจากระดับเป้าหมายที่เฟดตั้งไว้ที่ 2%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดดิ่งลง 1.71% สู่ 28,725.51, ดัชนี S&P 500 ปิดรูดลง 1.51% สู่ 3,585.62; และดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 1.51% สู่ 10,575.62 ในวันศุกร์ หลังจากดัชนีทั้งสามเพิ่งพุ่งขึ้นเป็นเวลาสั้น ๆ ในช่วงเช้าวันศุกร์ ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์และ S&P ปิดตลาดสัปดาห์นี้ในแดนลบเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน และทั้งสามดัชนีต่างก็ปิดตลาดเดือนก.ย.ในแดนลบเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐก็ปิดตลาดไตรมาสสามในแดนลบเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกันด้วย ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดรายไตรมาสในแดนลบติดต่อกันยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2008 สำหรับดัชนี S&P และ Nasdaq และถือการปิดตลาดรายไตรมาสในแดนลบติดต่อกันยาวนานที่สุดในรอบ 7 ปีสำหรับดัชนีดาวโจนส์
นักลงทุนกังวลกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังจากบริษัทไนกี้ซึ่งเป็นผู้ผลิตชุดกีฬาและบริษัทคาร์นิวาล ซึ่งเป็นผู้ประกอบการเรือสำราญออกประกาศเตือนว่า อัตราผลกำไรได้รับแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ โดยหุ้นไนกี้ดิ่งลง 12.8% ในวันศุกร์ ส่วนหุ้นคาร์นิวาลรูดลง 23.3% ทั้งนี้ หุ้นแอปเปิล, ไมโครซอฟท์, อะเมซอนดอทคอม และไนกี้ถือเป็นหุ้นที่ถ่วงดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐลงมากที่สุดในวันศุกร์
ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นหุ้นกลุ่มเดียวที่ปิดตลาดในแดนบวกในวันศุกร์ ในขณะที่หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคและหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีถือเป็นหุ้น 2 กลุ่มที่รูดลงมากที่สุดในวันศุกร์
นักลงทุนรอดูผลประกอบการภาคเอกชนประจำไตรมาส 3 ที่จะได้รับการรายงานออกมาในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยขณะนี้นักวิเคราะห์คาดว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจปรับขึ้น 4.5% ในไตรมาสสามเมื่อเทียบรายปี โดยปรับลดลงจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ +11.1% ที่เคยคาดไว้ในช่วงต้นไตรมาสสาม--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--9 พ.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันศุกร์ ในขณะที่นักลงทุนกังวลว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวเกินคาดเพื่อรับมือกับภาวะเงินเฟ้อ โดยเทรดเดอร์ส่วนใหญ่คาดการณ์กันว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมวันที่ 14-15 มิ.ย. ถึงแม้นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดส่งสัญญาณว่าเฟดจะไม่ทำเช่นนั้น ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตรในสหรัฐพุ่งขึ้น 428,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 391,000 ตำแหน่ง และรายงานตัวเลขนี้ตอกย้ำให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ถึงแม้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐหดตัวลงในไตรมาสแรก ทางด้านอัตราการว่างงานในสหรัฐทรงตัวที่ 3.6% ในเดือนเม.ย. ส่วนรายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงของคนงานสหรัฐปรับขึ้น 0.3% ในเดือนเม.ย.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ +0.4%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.3% สู่ 32,899.37, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.57% สู่ 4,123.34 และดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 1.4% สู่ 12,144.66 ซึ่งถือเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2020 โดยดัชนี Nasdaq ปิดตลาดสัปดาห์นี้ในแดนลบเป็นสัปดาห์ที่ 5 ติดต่อกัน ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนลบติดต่อกันยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4/2012 ทางด้านดัชนี S&P 500 ปิดตลาดสัปดาห์นี้ในแดนลบเป็นสัปดาห์ที่ 5 ติดต่อกันเช่นกัน ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนลบติดต่อกันยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 2/2011 ทั้งนี้ หุ้น 9 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดวันศุกร์ในแดนลบ แต่ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 2.9% เนื่องจากราคาน้ำมันทะยานขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากความกังวลเรื่องอุปทานน้ำมัน
หุ้นบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มเติบโตดิ่งลงเป็นส่วนใหญ่ในวันศุกร์ แต่หุ้นแอปเปิลปิดบวกขึ้น 0.5% ทางด้านหุ้นกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ร่วงลงด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะหุ้นเวลส์ ฟาร์โก แอนด์ โคที่ปรับลง 0.5%
นักลงทุนรอดูดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพุธที่ 11 พ.ค. ในขณะที่นักลงทุนรอดูว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐใกล้จะแตะจุดสูงสุดแล้วหรือไม่
หุ้นอันเดอร์ อาร์เมอร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตชุดกีฬาดิ่งลง 23.8% หลังจากทางบริษัทคาดการณ์ผลกำไรที่อ่อนแอสำหรับปีงบดุลบัญชี 2023 ส่วนหุ้นไนกี้ซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่งปิดรูดลง 3.49% ทั้งนี้ หุ้นคอยน์เบส โกลบัล ซึ่งเป็นบริษัทตลาดสกุลเงินคริปโตดิ่งลง 9% ในวันศุกร์ จนมาปิดตลาดที่ระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่หุ้นตัวนี้เริ่มเปิดซื้อขายในตลาดในปี 2021 เป็นต้นมา--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--22 มี.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันจันทร์ หลังจากนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าเฟดอาจจะคุมเข้มนโยบายการเงินอย่างแข็งกร้าวเกินคาด และตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนในสงครามยูเครนด้วย ทั้งนี้ นายพาวเวลล์กล่าวในงานประชุมของสมาคมเศรษฐศาสตร์ธุรกิจแห่งชาติว่า เฟดจำเป็นต้องปรับนโยบาย "อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ" เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงเกินไป และเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระดับที่มากกว่าปกติถ้าหากมีความจำเป็น โดยถ้อยแถลงของเขาส่งผลให้นักลงทุนในตลาดสัญญาล่วงหน้า Fed funds คาดการณ์ในตอนนี้ว่า มีโอกาส 60.7% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 3-4 พ.ค. โดยปรับขึ้นจากโอกาส 52% ที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนนายพาวเวลล์จะแสดงความเห็นดังกล่าว
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.58% สู่ 34,552.99, ดัชนี S&P 500 ปิดขยับลง 0.04% สู่ 4,461.18 และดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลง 0.4% สู่ 13,838.46 โดยก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นสหรัฐเพิ่งปิดตลาดในแดนบวกนานติดต่อกัน 4 วัน และดัชนี S&P 500 เพิ่งทะยานขึ้น 6.2% ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ย. 2020 ทั้งนี้ หุ้น 6 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดวันจันทร์ในแดนลบ โดยหุ้นกลุ่มบริการการสื่อสารถือเป็นกลุ่มที่ดิ่งลงมากที่สุด แต่หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 3.8% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด
การสู้รบในยูเครนยังคงดำเนินต่อไป ในขณะที่ความพยายามในการเจรจาต่อรองเพื่อยุติสงครามยูเครนยังแทบไม่มีความคืบหน้า ทางด้านราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปิดตลาดพุ่งขึ้น 7.69 ดอลลาร์ หรือ 7.12% สู่ 115.62 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันจันทร์ เนื่องจากสหภาพยุโรป (อียู) กำลังพิจารณาเรื่องการร่วมมือกับสหรัฐในการห้ามนำเข้าน้ำมันรัสเซีย โดยปัจจัยนี้ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานให้พุ่งขึ้น ทั้งนี้ สงครามยูเครนส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มอาวุธ โดยดัชนีหุ้นกลุ่มการบินและอาวุธของสหรัฐปิดตลาดพุ่งขึ้น 1.5% ในขณะที่หุ้นบริษัทล็อกฮีด มาร์ติน, เรย์ธีออน, นอร์ทธรอป กรุมแมน และเจเนอรัล ไดนามิกส์ปิดทะยานขึ้น 2.5-4.6%
หุ้นบริษัทโบอิ้งซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องบินดิ่งลง 3.6% หลังจากเครื่องบินรุ่น 737-800 ของโบอิ้งเครื่องหนึ่งในสายการบินไชน่า อีสเทิร์น แอร์ไลน์ตกลงในภาคใต้ของจีน และยังไม่มีการพบผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์นี้ โดยเครื่องบินลำนี้บรรทุกผู้โดยสารและลูกเรือเป็นจำนวนรวมกัน 132 คน
หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊กดิ่งลง 2.3% หลังจากศาลแห่งหนึ่งในกรุงมอสโคว์ตัดสินว่าเมตาเป็น "องค์การหัวรุนแรง" และยืนยันคำตัดสินที่ให้แบนเฟซบุ๊กในรัสเซีย--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน