ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
--
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
เพื่อเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็วและติดตามตลาดโฟกัสใน 15 นาที
ในโลกของมนุษยชาติ จะไม่มีคำกล่าวใด ๆ ที่ไม่มีจุดยืนใด ๆ หรือคำพูดใด ๆ ที่ไม่มีจุดประสงค์ใด ๆ
อัตราเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน และเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจเชิงนโยบายของธนาคารกลาง ทัศนคติและคำพูดของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยังมีอิทธิพลต่อการกระทำของเทรดเดอร์ในตลาดอีกด้วย
เงินทำให้โลกหมุนไป และสกุลเงินเป็นสินค้าถาวร ตลาดฟอเร็กซ์เต็มไปด้วยความประหลาดใจและความคาดหวัง
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
เพลิดเพลินกับกิจกรรมที่น่าตื่นเต้น ที่นี่ที่ FastBull
ข่าวด่วนล่าสุดและเหตุการณ์ทางการเงินทั่วโลก
ฉันมีประสบการณ์ 5 ปีในการวิเคราะห์ทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนามหภาคและการตัดสินแนวโน้มระยะกลางและระยะยาว ความสนใจของฉันอยู่ที่การพัฒนาของตะวันออกกลาง ตลาดเกิดใหม่ ถ่านหิน ข้าวสาลี และสินค้าเกษตรอื่นๆ
7 ปีของตลาดหุ้น การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โลหะมีค่า และประสบการณ์การซื้อขายและการวิเคราะห์อื่น ๆ โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐาน การสนับสนุนทางเทคนิค มีอคติต่อตรรกะธุรกรรมจากบนลงล่าง โดยเน้นที่วัฏจักรมหภาคและการควบคุมความเสี่ยง การคาดการณ์เชิงทฤษฎีอุปสงค์และอุปทานอเนกประสงค์ การเปลี่ยนแปลงของราคา สร้างสมดุลระหว่างผลกระทบของธุรกรรม การกระจายชิปและอารมณ์ตลาด และคงที่
อัปเดตล่าสุด
สร้างทัศนคติการลงทุนที่ดี
วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ปรัชญาการลงทุนของเขาประกอบด้วยการสร้างกรอบความคิดระยะยาว ขจัดญาณรบกวนของตลาด ไม่เก็งกำไร และเน้นย้ำว่าการลงทุนต้องมีมีจิตใจที่มั่นคงและเป้าหมายที่ชัดเจน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง
แม้ว่าระบบกฎหมายและกรอบการกำกับดูแลในฮ่องกงจะค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ตลาดหุ้นยังคงเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายพิเศษหลายประการ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่าง HKD และ USD นักลงทุนต่างชาติอาจเผชิญกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความผันผวนของนโยบายและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นฮ่องกงด้วย
โครงสร้างต้นทุนและภาษีเมื่อลงทุนในหุ้นฮ่องกง
ต้นทุนการซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมหุ้น ค่าอากรแสตมป์ ค่าธรรมเนียมการชำระบัญชี ฯลฯ สำหรับนักลงทุนต่างชาติอาจมีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินเพิ่มเติมเป็นดอลลาร์ฮ่องกงและภาษีอื่น ๆ ตามข้อบังคับท้องถิ่น
การวิเคราะห์อุตสาหกรรมฮ่องกง:อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็น
อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็นของฮ่องกง ได้แก่ รถยนต์ การศึกษา การท่องเที่ยว การจัดเลี้ยง เครื่องแต่งกาย และภาคส่วนอื่นๆ อีกมากมาย จากบริษัทจดทะเบียน 643 แห่งนั้น 35% เป็นบริษัทในจีนแผ่นดินใหญ่และคิดเป็น 65% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด ดังนั้นอุตสาหกรรมนี้จึงได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากเศรษฐกิจจีน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด
ไม่มีข้อมูล
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม
สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
กรุงเทพฯ--28 พ.ย.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอ่อนค่าลงในวันจันทร์ โดยได้รับแรงกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า วัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สิ้นสุดลงแล้ว และเฟดอาจจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า โดยในตอนนี้นักลงทุนในตลาดสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐคาดว่า มีโอกาสราว 23% ที่เฟดจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค.ปีหน้า และมีโอกาสราว 50% ที่เฟดจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนพ.ค.ปีหน้า ทั้งนี้ นักลงทุนรอดูตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวที่จะได้รับการรายงานออกมาในสัปดาห์นี้ เพื่อใช้ในการประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอนาคต โดยตัวเลขที่นักลงทุนรอดูรวมถึงดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐานของสหรัฐ ซึ่งถือเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐนิยมใช้, ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของยูโรโซน, อัตราเงินเฟ้อของออสเตรเลีย และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PM) ของจีน นอกจากนี้ นักลงทุนก็จะจับตาดูผลการประชุมกำหนดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ในวันพุธ และการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร (โอเปกพลัส) ในวันพฤหัสบดีที่ 30 พ.ย.ด้วย Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 103.14 ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยอ่อนค่าลง จาก 103.41 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ และมีแนวโน้มว่าอาจจะปิดตลาดเดือนพ.ย.ด้วยการดิ่งลงกว่า 3% จากเดือนต.ค. ซึ่งจะถือเป็นการดิ่งลงรายเดือนครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2022
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 148.67 เยนในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยร่วงลงจากระดับปิดตลาดวันศุกร์ที่ 149.44 เยน โดยดอลลาร์/เยนดิ่งลงมาแล้วราว 2% จากช่วงต้นเดือนพ.ย. และอาจจะปิดตลาดเดือนพ.ย.ด้วยการรูดลงรายเดือนครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0953 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันจันทร์ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 1.0939 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันศุกร์ โดยยูโรพุ่งขึ้นมาแล้วราว 3.6% จากช่วงต้นเดือนพ.ย. และอาจจะปิดตลาดเดือนพ.ย.ด้วยการพุ่งขึ้นรายเดือนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 1 ปี
ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลงเล็กน้อยในวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนชะลอการลงทุนหลังวันขอบคุณพระเจ้า และฤดูการช้อปปิ้งในสหรัฐเริ่มต้นขึ้น โดยบริษัทอะโดบี อะนาลิทิกส์คาดการณ์ว่า ยอดขายสินค้าออนไลน์ในสหรัฐในวัน Cyber Monday หรือวันจันทร์หลังวันขอบคุณพระเจ้า อาจจะพุ่งขึ้นสู่สถิติสูงสุดใหม่ที่ 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ จาก 1.13 หมื่นล้านดอลลาร์ในวัน Cyber Monday ของปี 2022 อย่างไรก็ดี ความแข็งแกร่งของผู้บริโภคสหรัฐและภาวะตึงตัวในตลาดแรงงานทำให้นักลงทุนหลายรายกังวลว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงต่อไปเป็นเวลานาน ทั้งนี้ ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น หุ้นกลุ่มการแพทย์และหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมถือเป็นหุ้น 2 กลุ่มที่ดิ่งลงอย่างรุนแรงที่สุดในวันจันทร์ ส่วนหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยถือเป็นหุ้น 2 กลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด ทางด้านหุ้นบริษัทแอฟเฟิร์ม โฮลดิงส์ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการชำระเงินแบบ "ซื้อก่อน, จ่ายทีหลัง" ปิดพุ่งขึ้น 12.0% ในวันจันทร์ และขึ้นไปแตะสถิติสูงสุดใหม่ในระหว่างวัน Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดขยับลง 0.16% สู่ 35,333.47
ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.20% สู่ 4,550.43
ดัชนี Nasdaq ปิดขยับลง 0.07% สู่ 14,241.02
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ร่วงลงในวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนรอดูการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร (โอเปกพลัส) ในวันที่ 30 พ.ย. และคาดการณ์ว่ากลุ่มโอเปกพลัสอาจจะดำเนินมาตรการจำกัดการผลิตน้ำมันต่อไปในปี 2024 ทางด้านแหล่งข่าวกล่าวต่อรอยเตอร์ในวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า กลุ่มโอเปกพลัสใกล้ที่จะประนีประนอมกับประเทศผู้ผลิตน้ำมันในทวีปแอฟริกาในเรื่องปริมาณการผลิตน้ำมันสำหรับปี 2024 หลังจากทั้งสองฝ่ายมีความเห็นขัดแย้งกันในเรื่องเป้าหมายปริมาณการผลิตน้ำมัน และความขัดแย้งดังกล่าวส่งผลให้กลุ่มโอเปกพลัสเลื่อนกำหนดการจัดประชุมออกไปสู่วันที่ 30 พ.ย. จากเดิมที่เคยกำหนดไว้ในวันที่ 26 พ.ย. ทั้งนี้ แหล่งข่าวกล่าวในวันจันทร์ว่า กลุ่มโอเปกพลัสกำลังพิจารณาเรื่องการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันลงอย่างรุนแรงกว่าเดิม ในขณะที่นักวิเคราะห์ของบริษัท ING คาดว่า ซาอุดิอาระเบียจะต่ออายุมาตรการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจในอัตรา 1 ล้านบาร์เรลต่อวันออกไปในปีหน้า และคาดว่ารัสเซียจะต่ออายุมาตรการปรับลดอุปทานน้ำมันของตนเองเช่นกัน ทางด้านนักวิเคราะห์ของธนาคารโกลด์แมน แซคส์ระบุว่า ยอดส่งออกน้ำมันของกลุ่มโอเปกปรับลดลงมาแล้ว 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวันเมื่อเทียบกับระดับในเดือนเม.ย. ซึ่งตรงตามเป้าหมายที่กลุ่มโอเปกกำหนดไว้ Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนม.ค.ปรับลดลง 68 เซนต์ หรือ 0.9% มาปิดตลาดที่ 74.86 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนม.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนปรับลดลง 60 เซนต์ หรือ 0.7% มาปิดตลาดที่ 79.98 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 11.67 ดอลลาร์ สู่ 2,013.64 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 2,017.82 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 16 พ.ค. หรือจุดสูงสุดรอบ 6 เดือน ในขณะที่การอ่อนค่าของดอลลาร์และการคาดการณ์ที่ว่า วัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้สิ้นสุดลงแล้ว ถือเป็นสองปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ราคาทองสร้างฐานเหนือระดับ 2,000 ดอลลาร์ ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 103.14 ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดในรอบเกือบ 3 เดือน และการอ่อนค่าของดอลลาร์ก็ช่วยให้ทองมีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ ทางด้านนายไคล์ ร็อดดา นักวิเคราะห์ตลาดการเงินของบริษัทแคปิตัลดอทคอมกล่าวว่า ตัวเลขจีดีพีสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพุธ และตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐที่จะออกมาในวันพฤหัสบดี จะเป็นปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวกำหนดว่า ราคาทองจะยังคงเคลื่อนตัวอยู่เหนือ 2,000 ดอลลาร์ได้ต่อไปหรือไม่ Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--10 มี.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดดิ่งลงในวันพฤหัสบดี โดยได้รับแรงกดดันจากการรูดลงของหุ้นกลุ่มธนาคาร และได้รับแรงกดดันจากความกังวลของนักลงทุนในเรื่องที่ว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานออกมาในวันศุกร์นี้ อาจจะกระตุ้นให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าว ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐปิดดิ่งลง 6.6% ในวันพฤหัสบดี หลังจากรูดลงแตะจุดต่ำสุดนับตั้งแต่กลางเดือนต.ค.ในระหว่างวัน และรูดลงมาแล้ว 4.7% จากช่วงต้นปี 2023 โดยหุ้นกลุ่มธนาคารได้รับแรงกดดัน หลังจากบริษัทเอสวีบี ไฟแนนเชียล กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทผู้ปล่อยกู้ให้แก่ภาคเทคโนโลยีปรับลดแนวโน้มของปี 2023 และเปิดการขายหุ้นเพื่อช่วยหนุนงบดุลของบริษัท เนื่องจากทางบริษัทได้รับเงินฝากน้อยลงจากวิสาหกิจเริ่มต้น (startups) โดยหุ้นเอสวีบีดิ่งลงในระหว่างวันจนแตะจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2016 และปิดตลาดรูดลง 60% สู่ 106.04 ดอลลาร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดดิ่งลง 1.66% สู่ 32,254.86, ดัชนี S&P 500 ปิดรูดลง 1.85% สู่ 3,918.32 และดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 2.05% สู่ 11,338.36 ทั้งนี้ หุ้นทั้ง 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดในแดนลบ โดยดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินปิดดิ่งลง 4% ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2020 ในขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) ของสหรัฐรูดลงอย่างรุนแรงด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดี ในบรรดาหุ้นที่ปรับลงน้อยที่สุดในวันพฤหัสบดีนั้น หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคปรับลงเพียง 0.8%, หุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นปรับลงเพียง 0.95% และหุ้นกลุ่มการแพทย์ปรับลงเพียง 1%
นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด กล่าวย้ำในวันพุธว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับที่สูงเกินคาด และอาจจะเร่งความเร็วในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยด้วย ทั้งนี้ เทรดเดอร์ในตลาดสัญญาล่วงหน้า fed funds คาดการณ์ในวันพฤหัสบดีว่า มีโอกาสราว 60% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 21-22 มี.ค. โดยปรับขึ้นจากโอกาสราว 22% ที่เคยคาดไว้ในช่วงเช้าวันอังคาร
นักลงทุนรอดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.พ.ที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานออกมาในวันศุกร์นี้ โดยรายงานตัวเลขดังกล่าวจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่เฟดนำมาใช้ในการตัดสินใจว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% หรือ 0.50% ในการประชุมวันที่ 21-22 มี.ค. ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์คาดว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตรอาจเพิ่มขึ้น 205,000 ตำแหน่งในเดือนก.พ. หลังจากพุ่งขึ้น 517,000 ตำแหน่งในเดือนม.ค. ในขณะที่ค่าแรงอาจเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนก.พ.เมื่อเทียบรายเดือน และปรับขึ้น 4.7% ในเดือนก.พ.เมื่อเทียบรายปี หลังจากปรับขึ้น 4.4% ในเดือนม.ค. นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันที่ 14 มี.ค. และรอดูรายงานยอดค้าปลีกประจำเดือนก.พ.ที่สหรัฐจะรายงานออกมาในวันที่ 15 มี.ค.ด้วย
หุ้นธนาคารซิกเนเจอร์ แบงก์ดิ่งลง 12% สู่ 90.76 ดอลลาร์ หลังจากธนาคารซิลเวอร์เกต แคปิตัล คอร์ปที่ทำธุรกิจคริปโตเปิดเผยแผนการที่จะปิดกิจการอย่างสมัครใจ โดยหุ้นซิลเวอร์เกตรูดลง 42% สู่ 2.84 ดอลลาร์ ทั้งนี้ หุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริค (GE) ปิดพุ่งขึ้น 5.3% หลังจาก GE ยืนยันการคาดการณ์ผลกำไรประจำปี 2023 โดย GE คาดว่าอุปสงค์ที่เฟื่องฟูในธุรกิจการบินจะช่วยชดเชยปัญหาในธุรกิจพลังงานทดแทนได้ของ GE--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
บริษัทสหรัฐนับตั้งแต่ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี อาทิ อัลฟาเบ็ท และไมโครซอฟท์ไปจนถึงจีอี และแมทเทลได้รายงานอัตราการขยายตัวที่ชะลอตัวลงมาก และเตือนว่า สถานการณ์จะเลวร้ายลง ซึ่งทำให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับภาวะถดถอย และทำให้หุ้นดิ่งลง
ผลประกอบการที่น่าผิดหวังดังกล่าบ่งชี้ถึงปัญหาต่างๆที่กำลังถาโถมใส่เศรษฐกิจสหรัฐ ขณะที่ดอลลาร์ที่แข็งค่าก็กระทบผลกำไรในต่างประเทศของบริษัทขนาดใหญ่ และอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นมากกระตุ้นให้มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ย และบริษัทต้องขึ้นราคาสินค้า แม้ผู้บริโภคถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องลดการใช้จ่ายก็ตาม
ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในสหรัฐลดลงในเดือนต.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2 เดือนติดต่อกันท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อมากขึ้น และความกังวลว่าอาจจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีหน้า
บริษัทไมโครซอฟท์ได้รายงานยอดขายที่ชะลอตัวที่สุดในรอบ 5 ปี และอัลฟาเบ็ทขยายตัวเพียง 6% ซึ่งเป็นอัตราต่ำสุดตั้งแต่เดือนก.ย.2013 ยกเว้นการลดลงเล็กน้อยในปี 2020 ส่วนกูเกิล ซึ่งหลายคนคาดว่าจะฟื้นตัวมากกว่าเนื่องจากการเป็นแพลตฟอร์มโฆษณาดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อดูจากส่วนแบ่งตลาด สร้างความประหลาดใจให้แก่ตลาดด้วยรายได้จากโฆษณาที่แย่กว่าที่คาดไว้ ขณะที่ผู้บริโภคในธุรกิจประกัน, สินเชื่อจำนอง และสกุลเงินคริปโต ได้ลดงบประมาณด้านโฆษณา
นายเจสส์ โคเฮน นักวิเคราะห์อาวุโสจากอินเวสติง.คอมกล่าวว่า "แม้จะถูกมองว่าเป็นหนึ่งในบริษัทที่ปลอดภัยที่สุดในวงการโฆษณาเมื่อเทียบกับบริษัทในกลุ่มเดียวกัน แต่ผลประกอบการที่ย่ำแย่ของกูเกิลก็เป็นสัญญาณล่าสุดที่แสดงว่า ปัจจัยพื้นฐานที่เลวร้ายลงและสภาวะเศรษฐกิจมหภาคที่ยากลำบากกำลังกระตุ้นให้บริษัทโฆษณาลดงบรายจ่ายลง"--จบ--
นิวยอร์ค--1 พ.ย.--รอยเตอร์
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ปิดปรับขึ้นในวันศุกร์หลังจากร่วงลงในช่วงแรก โดยราคาน้ำมันได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตรจะคงปริมาณการผลิตน้ำมันไว้ตามแผนเดิมต่อไป ทั้งนี้ กลุ่มโอเปกพลัสจะจัดการประชุมกันในวันที่ 4 พ.ย. ในขณะที่แอลจีเรียระบุในวันพฤหัสบดีที่ 28 ต.ค.ว่า กลุ่มโอเปกพลัสไม่ควรจะปรับเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในอัตราที่สูงกว่า 400,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนธ.ค. เพราะว่าตลาดยังคงเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ และความไม่แน่นอน
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนธ.ค.ปรับขึ้น 76 เซนต์ หรือ 0.9% มาปิดตลาดที่ 83.57 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันศุกร์ หลังจากเพิ่งพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดในรอบ 7 ปีที่ 85.41 ดอลลาร์ในวันจันทร์ที่ 25 ต.ค. ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนธ.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนขยับขึ้น 6 เซนต์ มาปิดตลาดที่ 84.38 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันศุกร์ หลังจากเพิ่งทะยานขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 3 ปีที่ 86.70 ดอลลาร์ในวันจันทร์ที่ 25 ต.ค. ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบสหรัฐปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการร่วงลง 11 เซนต์ จากระดับ 83.76 ดอลลาร์ในช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการดิ่งลง 1.15 ดอลลาร์จากระดับ 85.53 ดอลลาร์ในช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนลบเป็นครั้งแรกในรอบราว 2 เดือนสำหรับเบรนท์
นายจอห์น คิลดัฟ หุ้นส่วนของบริษัทอะเกน แคปิตัลกล่าวว่า "ถึงแม้ว่าอิหร่านอาจจะส่งออกน้ำมันได้มากยิ่งขึ้นในอนาคต กลุ่มโอเปกพลัสก็ไม่มีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มการผลิตน้ำมันในอัตราที่สูงกว่าเดิม และปัจจัยนี้ก็ช่วยหนุนราคาน้ำมันในวันศุกร์" ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบได้รับแรงกดดันนับตั้งแต่วันพุธที่ผ่านมา หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบในคลังสหรัฐพุ่งขึ้น 4.3 ล้านบาร์เรลในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 22 ต.ค. นอกจากนี้ อิหร่านก็ระบุว่า การเจรจาระหว่างอิหร่านกับชาติมหาอำนาจเพื่อฟื้นฟูข้อตกลงนิวเคลียร์จะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งก่อนสิ้นเดือนพ.ย. และสิ่งนี้อาจจะเปิดโอกาสให้อิหร่านส่งออกน้ำมันได้มากยิ่งขึ้นในอนาคต
บริษัทเบเกอร์ ฮิวจ์สรายงานในวันศุกร์ว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซในสหรัฐปรับขึ้น 2 แท่น สู่ 544 แท่นในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 29 ต.ค. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2020 เป็นต้นมา นอกจากนี้ จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซก็พุ่งขึ้นรวมกัน 23 แท่นสำหรับช่วงตลอดทั้งเดือนต.ค.ด้วย ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นรายเดือนเป็นเดือนที่ 15 ติดต่อกัน โดยได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบสหรัฐที่ทะยานขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 7 ปีในวันที่ 25 ต.ค. ทั้งนี้ บริษัทเอ็กซอนและบริษัทเชฟรอนระบุในวันศุกร์ว่า ทั้งสองบริษัทเตรียมที่จะปรับเพิ่มจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันในแอ่งเพอร์เมียน หลังจากที่เคยปรับลดจำนวนคนงานและปริมาณการผลิตน้ำมันในแอ่งดังกล่าวในปีที่แล้ว โดยเชฟรอนจะปรับเพิ่มจำนวนแท่นขุดเจาะขึ้น 2 แท่นในไตรมาสนี้
ราคาก๊าซธรรมชาติในอังกฤษและยุโรปยังคงดิ่งลงต่อไปในวันศุกร์ หลังจากประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซียกล่าวว่า รัสเซียอาจจะเริ่มต้นจัดส่งก๊าซธรรมชาติเข้าสู่คลังเก็บในยุโรป--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--27 ต.ค.--รอยเตอร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์และดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นมาปิดตลาดที่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ในวันอังคาร แต่ตลาดหุ้นปรับขึ้นได้ไม่มากนัก เนื่องจากหุ้นเฟซบุ๊กปิดตลาดดิ่งลง 3.92% สู่ 315.81 ดอลลาร์ หลังจากเฟซบุ๊กเปิดเผยผลกำไรรายไตรมาส ทั้งนี้ หุ้นเฟซบุ๊กถือเป็นหุ้นที่ถ่วงดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq มากที่สุดในวันอังคาร หลังจากเฟซบุ๊กประกาศเตือนว่า การที่บริษัทแอปเปิล อิงค์ปรับเปลี่ยนกฎระเบียบด้านความเป็นส่วนตัวจะส่งผลลบต่อธุรกิจดิจิทัลของเฟซบุ๊ก โดยหุ้นเฟซบุ๊กปิดตลาดที่ระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน ซึ่งอยู่ที่ 320.20 ดอลลาร์ในวันอังคาร และครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค.ที่หุ้นเฟซบุ๊กปิดตลาดต่ำกว่าค่าเฉลี่ยดังกล่าว และสิ่งนี้บ่งชี้ว่าหุ้นเฟซบุ๊กอาจจะดิ่งลงต่อไป
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดขยับขึ้น 0.04% สู่ 35,756.88, ดัชนี S&P 500 ปิดบวกขึ้น 0.18% สู่ 4,574.79 และดัชนี Nasdaq ปิดขยับขึ้น 0.06% สู่ 15,235.72 ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มปลอดภัยพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันอังคาร ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคและหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และสิ่งนี้บ่งชี้ว่านักลงทุนใช้ความระมัดระวังในการลงทุนในช่วงนี้
ดัชนี S&P พุ่งขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ในระหว่างวันที่ 4,598.53 โดยได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ ซึ่งรวมถึงหุ้นเอ็นวิเดีย คอร์ปที่พุ่งขึ้น 6.70% มาปิดตลาดที่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ที่ 247.17 ดอลลาร์, หุ้นอะเมซอนดอทคอมที่ทะยานขึ้น 1.68% และหุ้นแอปเปิลที่บวกขึ้น 0.46% นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยังได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการรายไตรมาสที่แข็งแกร่งด้วย โดยหุ้นยูไนเต็ด พาร์เซล เซอร์วิส (UPS) ซึ่งเป็นบริษัทขนส่งพัสดุพุ่งขึ้น 6.95% และหุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริค (GE) ทะยานขึ้น 2.03% หลังจากบริษัททั้งสองเปิดเผยผลประกอบการ
นักวิเคราะห์คาดว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจพุ่งขึ้น 35.6% ในไตรมาสสามเมื่อเทียบรายปี ทั้งนี้ บริษัทไมโครซอฟท์ คอร์ป และบริษัทแอลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ได้รายงานผลประกอบการออกมาหลังจากตลาดปิดทำการในวันอังคาร
สำนักงาน Conference Board รายงานในวันอังคารว่า ผู้บริโภคสหรัฐมีความเชื่อมั่นสูงเกินคาดต่อเศรษฐกิจสหรัฐ โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้นจาก 109.8 ในเดือนก.ย. สู่ 113.8 ในเดือนต.ค. โดยได้รับแรงหนุนจากแนวโน้มที่ดีขึ้นในตลาดแรงงาน และปัจจัยบวกนี้ช่วยชดเชยความกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่ระดับสูง ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันอังคารว่า ยอดขายบ้านเดี่ยวหลังใหม่ในสหรัฐพุ่งขึ้น 14.0% ในเดือนก.ย.--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--18 ต.ค.--รอยเตอร์
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX พุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดในรอบเกือบ 7 ปีในระหว่างช่วงการซื้อขายวันศุกร์ โดยได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า อาจจะเกิดภาวะขาดแคลนอุปทานน้ำมันในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ในขณะที่การผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเดินทางกระตุ้นให้อุปสงค์น้ำมันพุ่งขึ้น ทั้งนี้ ทำเนียบขาวระบุว่า ทำเนียบขาวจะยกเลิกมาตรการจำกัดการเดินทางสำหรับชาวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนโรคโควิด-19 ครบโดสแล้วตั้งแต่วันที่ 8 พ.ย.เป็นต้นไป และการยกเลิกมาตรการดังกล่าวน่าจะช่วยหนุนให้ความต้องการใช้น้ำมันอากาศยานพุ่งสูงขึ้น นอกจากนี้ อุปสงค์น้ำมันยังได้รับแรงหนุนในช่วงที่ผ่านมาจากการที่บริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าหันมาใช้น้ำมันแทนก๊าซธรรมชาติและถ่านหินที่มีราคาแพงด้วย
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนพ.ย.ทะยานขึ้น 97 เซนต์ หรือ 1.2% มาปิดตลาดที่ 82.28 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 82.66 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2014 โดยราคาน้ำมันดิบสหรัฐปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้น 3.5% จากสัปดาห์ที่แล้ว และถือเป็นการปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนบวกเป็นสัปดาห์ที่ 8 ติดต่อกัน ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนธ.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนพุ่งขึ้น 86 เซนต์ หรือ 1% มาปิดตลาดที่ 84.86 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันศุกร์ หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 85.10 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2018 หรือจุดสูงสุดรอบ 3 ปี โดยราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้น 3% จากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนบวกเป็นสัปดาห์ที่ 6 ติดต่อกัน
การดิ่งลงอย่างรุนแรงของตัวเลขสต็อกน้ำมันในคลังในสหรัฐและประเทศสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและพัฒนาเศรษฐกิจ (OECD) มีแนวโน้มที่จะส่งผลให้อุปทานน้ำมันในตลาดโลกอยู่ในภาวะตึงตัวต่อไป ทั้งนี้ นายเอ็ดเวิร์ด โมยา นักวิเคราะห์ตลาดของบริษัท OANDA กล่าวว่า "การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันในช่วงนี้จะหยุดชะงักลงได้ก็ต่อเมื่อเกิดเหตุการณ์ 3 อย่างดังต่อไปนี้ โดยเหตุการณ์แรกคือการที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร (โอเปกพลัส) ปรับเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันให้สูงขึ้นไปอีก, เหตุการณ์ที่สองคือการที่ซีกโลกเหนือเผชิญกับภาวะอากาศอบอุ่น และเหตุการณ์ที่สามคือการที่รัฐบาลสหรัฐปล่อยน้ำมันออกจากคลังสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ (SPR)"
บริษัทเบเกอร์ ฮิวจ์สรายงานว่า บริษัทพลังงานสหรัฐปรับเพิ่มจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในสัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่ 6 ติดต่อกัน ในขณะที่การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันดิบกระตุ้นให้บริษัทบางแห่งเปิดใช้แท่นขุดเจาะน้ำมันอีกครั้ง ทั้งนี้ จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ใช้งานในสหรัฐพุ่งขึ้น 10 แท่น สู่ 543 แท่นในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 15 ต.ค. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2020
องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุในวันพฤหัสบดีที่ 14 ต.ค.ว่า ภาวะขาดแคลนพลังงานทั่วโลกจะทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น 500,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งจะส่งผลให้กลุ่มโอเปกพลัสผลิตน้ำมันดิบต่ำกว่าความต้องการ 700,000 บาร์เรลต่อวันในไตรมาส 4 ปีนี้ จนกว่ากลุ่มโอเปกพลัสจะปรับเพิ่มปริมาณการผลิตในเดือนม.ค.ปีหน้า--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--11 ส.ค.--รอยเตอร์
นักลงทุนกำลังมองหาหุ้นที่จะได้รับประโยชน์จากการที่รัฐบาลสหรัฐปรับเพิ่มงบประมาณด้านโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ หลังจากวุฒิสภาสหรัฐผ่านร่างกฎหมายโครงสร้างพื้นฐานขนาด 1 ล้านล้านดอลลาร์ในวันอังคารด้วยคะแนนโหวต 69-30 เสียง และร่างกฎหมายดังกล่าวจะเข้าสู่การพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐในขั้นตอนต่อไป โดยร่างกฎหมายนี้จะส่งผลให้สหรัฐลงทุนเป็นเงินจำนวนมากที่สุดในรอบหลายสิบปีในโครงการด้านถนน, สะพาน, ท่าอากาศยาน และการขนส่งทางน้ำ ทั้งนี้ ผู้จัดการกองทุนได้เข้าซื้อหุ้นบริษัทต่าง ๆ ที่จะได้รับประโยชน์จากงบประมาณด้านโครงสร้างพื้นฐานในช่วงที่ผ่านมา และปัจจัยนี้ก็มีส่วนช่วยหนุนให้หุ้นกลุ่มวัสดุกับหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมของสหรัฐพุ่งขึ้นมาแล้วราว 18% จากช่วงต้นปีนี้ ซึ่งใกล้เคียงกับการทะยานขึ้นของดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐ อย่างไรก็ดี ผู้จัดการกองทุนบางรายพยายามมองหาหุ้นตัวอื่น ๆ ที่มีมูลค่าต่ำเกินไป และมุ่งความสนใจไปยังทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) บางแห่งด้วย
นักลงทุนกำลังกระจายพอร์ตการลงทุนในช่วงนี้ ในขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐยังคงปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และดัชนี S&P 500 เพิ่งพุ่งขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ในวันอังคาร ถึงแม้ตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันจากปัจจัยหลายประการด้วยกันในช่วงนี้ โดยปัจจัยลบเหล่านี้รวมถึงมูลค่าหุ้นที่ระดับสูง, การพุ่งขึ้นของยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา และการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มที่จะปรับลดขนาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจลงในเร็ว ๆ นี้ ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นมาแล้วราว 2 เท่าจากจุดต่ำสุดของเดือนมี.ค. 2020 โดยพุ่งขึ้นจากระดับ 2,191.86 ในเดือนมี.ค.2020 สู่สถิติสูงสุดใหม่ที่ 4,445.21 ในวันอังคาร ในขณะที่ค่าพีอีเรโชของดัชนี S&P 500 อยู่ที่ 21.3 เท่าของคาดการณ์ผลกำไรช่วง 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 15.4 เท่าเป็นอย่างมาก
นายสก็อตต์ เฮลฟ์สไตน์ หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตามแนวโน้มในบริษัทโพรแชร์สกล่าวว่า บริษัทของเขาได้เพิ่มการลงทุนใน REIT ที่เป็นเจ้าของท่าเรือและหอส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือ อย่างเช่น บริษัทคราวน์ คาสเซิล อินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ป เพราะเขาเชื่อว่าบริษัทกลุ่มนี้จะได้รับประโยชน์จากกฎหมายโครงสร้างพื้นฐาน โดยหุ้นคราวน์ คาสเซิลพุ่งขึ้นมาแล้วเกือบ 20% จากช่วงต้นปีนี้ ในขณะที่ดัชนี S&P U.S. Real Estate REIT ทะยานขึ้นมาแล้วราว 25% จากช่วงต้นปีนี้ นอกจากนี้ นายเฮฟสไตน์ได้ซื้อหุ้นในบริษัทก๊าซธรรมชาติด้วย ซึ่งรวมถึงบริษัทวิลเลียมส์ คอมปานีส์ อิงค์
นายจอห์น โมว์รีย์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัทเอ็นเอฟเจ อินเวสท์เมนท์ กรุ๊ปได้ปรับเพิ่มการถือหุ้นในบริษัทนอร์โฟล์ค เซาเธิร์น คอร์ป ซึ่งเป็นผู้ประกอบการทางรถไฟ เนื่องจากเขาคาดว่ารายได้ของนอร์โฟล์คจะได้รับแรงหนุนเป็นอย่างมาก เมื่อมีการขนส่งวัสดุก่อสร้างทั่วสหรัฐในอนาคต โดยหุ้นนอร์โฟล์คปรับขึ้นราว 9% จากช่วงต้นปีนี้ ส่วนค่าพีอีเรโชของหุ้นนอร์โฟล์คเคลื่อนตัวอยู่ใกล้จุดต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ นอกจากนี้ นายโมว์รีย์ก็ได้เข้าซื้อหุ้นบริษัทอเมริกัน วอเตอร์ เวิร์คส์ คอมปานี อิงค์ในกลุ่มสาธารณูปโภคด้วย เนื่องจากเขาคาดว่าบริษัทนี้จะได้รับประโยชน์จากร่างกฎหมายโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งนี้ เขากล่าวว่า "บริษัทเหล่านี้มีโอกาสที่จะปรับปรุงระบบของตนเองให้ดีขึ้นโดยใช้เงินจากภาครัฐบาล แทนที่จะต้องใช้เงินจากภายในบริษัทเอง"
นักลงทุนได้เข้าซื้อกองทุน ETF ที่ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้วย โดยกองทุน iShares U.S. Infrastructure Exchange Traded Fund มีเงินลงทุนไหลเข้าเป็นจำนวน 5 สัปดาห์ในช่วง 6 สัปดาห์ที่ผ่านมา และมีเงินไหลเข้าสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 51 ล้านดอลลาร์ในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 7 ก.ค. ทั้งนี้ นายแบร์รี เจมส์ ผู้จัดการกองทุนเจมส์ แอดเวนเทจ ฟันด์ระบุว่า เขาได้ปรับเพิ่มสถานะการลงทุนในบริษัทเฟดเอ็กซ์ คอร์ป และในบริษัทกลุ่มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ อย่างเช่นอะเมซอนดอทคอม เนื่องจากเขาคาดว่าร่างกฎหมายโครงสร้างพื้นฐานจะช่วยลดเวลาในการขนส่งสินค้าทางถนนลงได้--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน