ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
เพื่อเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็วและติดตามตลาดโฟกัสใน 15 นาที
ในโลกของมนุษยชาติ จะไม่มีคำกล่าวใด ๆ ที่ไม่มีจุดยืนใด ๆ หรือคำพูดใด ๆ ที่ไม่มีจุดประสงค์ใด ๆ
อัตราเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน และเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจเชิงนโยบายของธนาคารกลาง ทัศนคติและคำพูดของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยังมีอิทธิพลต่อการกระทำของเทรดเดอร์ในตลาดอีกด้วย
เงินทำให้โลกหมุนไป และสกุลเงินเป็นสินค้าถาวร ตลาดฟอเร็กซ์เต็มไปด้วยความประหลาดใจและความคาดหวัง
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
เพลิดเพลินกับกิจกรรมที่น่าตื่นเต้น ที่นี่ที่ FastBull
ข่าวด่วนล่าสุดและเหตุการณ์ทางการเงินทั่วโลก
ฉันมีประสบการณ์ 5 ปีในการวิเคราะห์ทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนามหภาคและการตัดสินแนวโน้มระยะกลางและระยะยาว ความสนใจของฉันอยู่ที่การพัฒนาของตะวันออกกลาง ตลาดเกิดใหม่ ถ่านหิน ข้าวสาลี และสินค้าเกษตรอื่นๆ
7 ปีของตลาดหุ้น การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โลหะมีค่า และประสบการณ์การซื้อขายและการวิเคราะห์อื่น ๆ โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐาน การสนับสนุนทางเทคนิค มีอคติต่อตรรกะธุรกรรมจากบนลงล่าง โดยเน้นที่วัฏจักรมหภาคและการควบคุมความเสี่ยง การคาดการณ์เชิงทฤษฎีอุปสงค์และอุปทานอเนกประสงค์ การเปลี่ยนแปลงของราคา สร้างสมดุลระหว่างผลกระทบของธุรกรรม การกระจายชิปและอารมณ์ตลาด และคงที่
อัปเดตล่าสุด
สร้างทัศนคติการลงทุนที่ดี
วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ปรัชญาการลงทุนของเขาประกอบด้วยการสร้างกรอบความคิดระยะยาว ขจัดญาณรบกวนของตลาด ไม่เก็งกำไร และเน้นย้ำว่าการลงทุนต้องมีมีจิตใจที่มั่นคงและเป้าหมายที่ชัดเจน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง
แม้ว่าระบบกฎหมายและกรอบการกำกับดูแลในฮ่องกงจะค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ตลาดหุ้นยังคงเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายพิเศษหลายประการ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่าง HKD และ USD นักลงทุนต่างชาติอาจเผชิญกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความผันผวนของนโยบายและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นฮ่องกงด้วย
โครงสร้างต้นทุนและภาษีเมื่อลงทุนในหุ้นฮ่องกง
ต้นทุนการซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมหุ้น ค่าอากรแสตมป์ ค่าธรรมเนียมการชำระบัญชี ฯลฯ สำหรับนักลงทุนต่างชาติอาจมีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินเพิ่มเติมเป็นดอลลาร์ฮ่องกงและภาษีอื่น ๆ ตามข้อบังคับท้องถิ่น
การวิเคราะห์อุตสาหกรรมฮ่องกง:อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็น
อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็นของฮ่องกง ได้แก่ รถยนต์ การศึกษา การท่องเที่ยว การจัดเลี้ยง เครื่องแต่งกาย และภาคส่วนอื่นๆ อีกมากมาย จากบริษัทจดทะเบียน 643 แห่งนั้น 35% เป็นบริษัทในจีนแผ่นดินใหญ่และคิดเป็น 65% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด ดังนั้นอุตสาหกรรมนี้จึงได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากเศรษฐกิจจีน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด
ไม่มีข้อมูล
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม
สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
กรุงเทพฯ--27 พ.ย.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอ่อนค่าลงในวันศุกร์ โดยได้รับแรงกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ หลังจากบริษัทเอสแอนด์พี โกลบอลรายงานในวันศุกร์ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) โดยรวมขั้นต้นของสหรัฐทรงตัวที่ 50.7 ในเดือนนี้ ในขณะที่ดัชนี PMI ภาคบริการของสหรัฐขยับขึ้นจาก 50.6 ในเดือนต.ค. สู่ 50.8 ในเดือนพ.ย. และปัจจัยนี้ช่วยชดเชยดัชนี PMI ภาคการผลิตของสหรัฐที่ร่วงลงจาก 50.0 ในเดือนต.ค. สู่ 49.4 ในเดือนพ.ย. โดยดัชนีที่ระดับต่ำกว่า 50 แสดงให้เห็นถึงการหดตัว นอกจากนี้ เอสแอนด์พี โกลบอลยังระบุอีกด้วยว่า การที่ยอดสั่งซื้อไม่ได้พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งส่งผลให้ดัชนีการจ้างงานของสหรัฐดิ่งลงจาก 51.3 ในเดือนต.ค. สู่ 49.7 ในเดือนพ.ย. ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการจ้างงานในภาคเอกชนหดตัวลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2020 และสิ่งนี้สอดคล้องกับการคาดการณ์ที่ว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจชะลอตัวลงในไตรมาส 4 ทั้งนี้ การที่ตลาดแรงงานในสหรัฐอ่อนแอลงจะส่งผลดีต่อธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในการต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ ในขณะที่ดัชนีดอลลาร์มีแนวโน้มว่าอาจจะปิดตลาดเดือนพ.ย.ด้วยการดิ่งลงรายเดือนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 1 ปี โดยได้รับแรงกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า วัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดสิ้นสุดลงแล้ว และเฟดอาจจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีหน้า Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 103.41 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ โดยอ่อนค่าลงจาก 103.76 ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี และเข้าใกล้จุดต่ำสุดรอบ 2 เดือนครึ่งที่ 103.17 ที่เคยทำไว้ในวันที่ 21 พ.ย. โดยดัชนีดอลลาร์ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการปรับลง 0.4% จากสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากดิ่งลง 1.9% ในสัปดาห์ที่แล้ว
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 149.44 เยนในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ โดยปรับลงจากระดับปิดตลาดวันพฤหัสบดีที่ 149.56 เยน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0939 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันศุกร์ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 1.0904 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์และดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกขึ้นเล็กน้อยในวันศุกร์ แต่ดัชนี Nasdaq ปิดปรับลงเล็กน้อย โดยได้รับแรงกดดันจากความอ่อนแอของหุ้นบริษัทขนาดยักษ์ในกลุ่มโมเมนตัม ในขณะที่วอลุ่มการซื้อขายอยู่ในระดับเบาบางหลังวันขอบคุณพระเจ้า และนักลงทุนรอดูสัญญาณบ่งชี้ว่าผู้บริโภคสหรัฐจับจ่ายใช้สอยมากเพียงใดในช่วงเริ่มต้นของฤดูช้อปปิ้งปลายปี ทั้งนี้ ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น หุ้น 9 กลุ่มใหญ่ปิดตลาดในแดนบวกในวันศุกร์ โดยหุ้นกลุ่มการแพทย์ถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด ส่วนหุ้น 2 กลุ่มที่ปิดตลาดในแดนลบคือหุ้นกลุ่มบริการการสื่อสารและหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยหุ้นบริษัทเอ็นวิเดียซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปดิ่งลง 1.9% หลังจากรอยเตอร์รายงานข่าวว่า เอ็นวิเดียประสบความล่าช้าในการเปิดตัวชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ออกแบบมาเพื่อให้สอดคล้องกับกฎการส่งออกของสหรัฐ โดยอาจจะมีการเลื่อนการเปิดตัวชิปดังกล่าวออกไปจนถึงไตรมาสแรกของปี 2024 Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.33% สู่ 35,390.15
ดัชนี S&P 500 ปิดขยับขึ้น 0.06% สู่ 4,559.34
ดัชนี Nasdaq ปิดขยับลง 0.11% สู่ 14,250.86 โดยดัชนีตลาดหุ้นสำคัญทั้ง 3 ดัชนีของสหรัฐปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนบวกได้เป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ดิ่งลงในวันศุกร์ ในขณะที่มีการปล่อยตัวประกันชุดแรกออกจากเขตกาซาในวันศุกร์ ซึ่งถือเป็นวันแรกของแผนการหยุดยิงเป็นเวลา 4 วันในอิสราเอล และปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ค่าพรีเมียมความเสี่ยงจากความขัดแย้งทางการเมืองปรับลดลง อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันดิบยังคงปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการปรับขึ้นรายสัปดาห์เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 1 เดือน ก่อนที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร (โอเปกพลัส) จะจัดการประชุมในวันที่ 30 พ.ย.เพื่อตัดสินใจเรื่องมาตรการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันสำหรับปี 2024 ทั้งนี้ แหล่งข่าวกล่าวว่า กลุ่มโอเปกพลัสใกล้ที่จะประนีประนอมกับประเทศผู้ผลิตน้ำมันในทวีปแอฟริกาในเรื่องปริมาณการผลิตน้ำมันสำหรับปี 2024 โดยนายโทนี ซีคามอร์ นักวิเคราะห์ของบริษัทไอจีกล่าวว่า "มีแนวโน้มสูงที่กลุ่มโอเปกพลัสจะต่ออายุมาตรการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันที่ใช้อยู่ในปัจจุบันออกไป" Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนม.ค.ดิ่งลง 1.56 ดอลลาร์ หรือ 2% มาปิดตลาดที่ 75.54 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนม.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนรูดลง 84 เซนต์ หรือ 1% มาปิดตลาดที่ 80.58 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 10.18
ดอลลาร์ สู่ 2,001.97 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ และปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้น 1.11% จากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนบวกได้เป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกัน โดยราคาทองได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ ในขณะที่นักลงทุนคาดว่า วัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้สิ้นสุดลงแล้ว ทั้งนี้ ธนาคารคอมเมอร์ซแบงก์คาดว่า เฟดจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในช่วงกลางปีหน้า ซึ่งจะส่งผลให้ราคาทองมีแนวโน้มเคลื่อนตัวอยู่เหนือระดับ 2,000 ดอลลาร์ได้อย่างยั่งยืนเมื่อถึงเวลานั้น ทางด้านเทรดเดอร์คาดว่า เฟดมีแนวโน้มจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมในการประชุมวันที่ 12-13 ธ.ค. และมีโอกาสราว 64% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนพ.ค.ปีหน้า Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--24 ต.ค.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอ่อนค่าลงในวันจันทร์ ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีร่วงลงจาก 4.924% ในช่วงท้ายวันศุกร์สู่ 4.838% ในช่วงท้ายวันจันทร์ หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 5.021% ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2007 หรือจุดสูงสุดรอบ 16 ปี โดยการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) จะส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมพุ่งสูงขึ้น และจะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรได้รับแรงหนุนในช่วงนี้จากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงต่อไปเป็นเวลานาน, จากการปรับเพิ่มอุปทานพันธบัตร และจากส่วนเพิ่มของอัตราผลตอบแทนตามอายุของสินทรัพย์ทางการเงิน (term premia) ที่ขยายกว้างมากยิ่งขึ้น Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 105.60 ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยอ่อนค่าลงจาก 106.15 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ หลังจากพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ 106.33 โดยดัชนีดอลลาร์พุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 6% นับตั้งแต่กลางเดือนก.ค. โดยได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ อย่างไรก็ดี ดัชนีดอลลาร์แทบไม่ได้ปรับขึ้นนับตั้งแต่ต้นเดือนต.ค.
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 149.70 เยนในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยปรับลงจากระดับปิดตลาดวันศุกร์ที่ 149.84 เยน หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 150.14 เยนในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 3 ต.ค.
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0668 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันจันทร์ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 1.0593 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันศุกร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์และดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐปรับลง แต่ดัชนี Nasdaq บวกขึ้นในวันจันทร์ ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะ 5.021% ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2007 หรือจุดสูงสุดรอบ 16 ปี ก่อนจะร่วงลงสู่ 4.838% ในช่วงท้ายวันจันทร์ โดยการร่วงลงของอัตราผลตอบพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) ส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มที่เคลื่อนไหวตามกระแสการลงทุน (โมเมนตัม) และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และปัจจัยดังกล่าวช่วยหนุนดัชนี Nasdaq นอกจากนี้ นักลงทุนก็รอดูตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพฤหัสบดี และดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันศุกร์ โดยนักลงทุนคาดการณ์ว่า กระทรวงพาณิชย์สหรัฐอาจจะรายงานในวันพฤหัสบดีว่า จีดีพีสหรัฐเติบโต 4.3% ในไตรมาสสาม และสหรัฐอาจจะรายงานในวันศุกร์ว่า ดัชนี PCE ทั่วไปชะลอตัวลงสู่ +3.4% และดัชนี PCE พื้นฐานชะลอตัวลงสู่ +3.7% ทั้งนี้ นักลงทุนรอดูผลประกอบการของบริษัทเกือบ 1 ใน 3 ของดัชนี S&P 500 ที่จะได้รับการรายงานออกมาในสัปดาห์นี้ด้วย ซึ่งรวมถึงผลประกอบการของบริษัทสำคัญหลายแห่ง อย่างเช่น บริษัทไมโครซอฟท์ที่จะรายงานผลประกอบการในวันอังคารที่ 24 ต.ค., แอลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิลที่จะรายงานผลในวันที่ 24 ต.ค., เมตา แพลตฟอร์มส์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊กที่จะรายงานผลในวันพุธที่ 25 ต.ค. และอะเมซอนที่จะรายงานผลในวันพฤหัสบดีที่ 26 ต.ค. ส่วนบริษัทอื่น ๆ ที่จะรายงานผลประกอบการในสัปดาห์นี้รวมถึงบริษัทโคคา-โคล่า, เจเนอรัล มอเตอร์ส (GM) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์, เมอร์ค ซึ่งเป็นผู้ผลิตยา และยูไนเต็ด พาร์เซล เซอร์วิส (UPS) ซึ่งเป็นผู้ขนส่งพัสดุ โดยขณะนี้มีบริษัท 86 แห่งในดัชนี S&P 500 ที่เปิดเผยผลประกอบการไตรมาสสามออกมาแล้ว และบริษัท 78% ในกลุ่มนี้เปิดเผยผลกำไรที่ดีเกินคาด ทางด้านนักวิเคราะห์คาดว่า บริษัทในดัชนี S&P 500 อาจมีผลกำไรปรับขึ้น 1.2% ในไตรมาสสามเมื่อเทียบรายปี โดยปรับลดลงจากระดับ +1.6% ที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อต้นเดือนนี้ Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.58% สู่ 32,936.41 โดยดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดในแดนลบเป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน
ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.17% สู่ 4,217.04 โดยดัชนีปิดตลาดที่ระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วันเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน
ดัชนี Nasdaq ปิดบวกขึ้น 0.27% สู่ 13,018.33
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ดิ่งลงในวันจันทร์ ในขณะที่มีการเร่งดำเนินความพยายามทางการทูตในภูมิภาคตะวันออกกลางเพื่อจำกัดขอบเขตความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส และปัจจัยนี้ช่วยให้นักลงทุนลดความกังวลที่มีต่อปัญหาการขาดตอนของอุปทานน้ำมัน โดยผู้นำของสหภาพยุโรป (อียู) จะเรียกร้องให้มีการหยุดพักความขัดแย้งเพื่อมนุษยธรรมในสัปดาห์นี้ เพื่อที่จะได้มีการจัดส่งความช่วยเหลือให้แก่ชาวปาเลสไตน์ในเขตกาซา ในขณะที่ผู้นำของฝรั่งเศสและเนเธอร์แลนด์จะเดินทางเยือนอิสราเอลในสัปดาห์นี้ ทางด้านขบวนรถจัดส่งความช่วยเหลือได้เดินทางออกจากอียิปต์เข้าสู่เขตฉนวนกาซาแล้วในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากนี้ กลุ่มฮามาสก็ได้ประกาศในวันจันทร์ว่า ทางกลุ่มได้ปล่อยตัวประกันสองคนที่เป็นพลเรือนสตรี เพื่อตอบรับต่อความพยายามไกล่เกลี่ยของอียิปต์-กาตาร์ อย่างไรก็ดี อิสราเอลยังคงทิ้งระเบิดในเขตกาซาในวันจันทร์ และดำเนินการโจมตีทางอากาศต่อภาคใต้ของเลบานอนด้วย ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐประกาศในสัปดาห์ที่แล้วว่า สหรัฐจะระงับมาตรการคว่ำบาตรเวเนซูเอลา หลังจากรัฐบาลเวเนซูเอลาบรรลุข้อตกลงกับฝ่ายค้าน ทางด้านนายไมเคิล ทราน นักวิเคราะห์ของธนาคาร RBC กล่าวว่า "ความเคลื่อนไหวนี้จะช่วยให้อุปทานน้ำมันเวเนซูเอลาที่ส่งออกสู่ตลาดโลกเพิ่มขึ้น 200,000-300,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งไม่ใช่ระดับที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดได้โดยตรง และเวเนซูเอลาจะยังไม่สามารถปรับเพิ่มปริมาณการส่งออกน้ำมันดังกล่าวได้ในทันที" Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนธ.ค.ดิ่งลง 2.59 ดอลลาร์ หรือ 2.9% มาปิดตลาดวันจันทร์ที่ 85.49 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนธ.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนรูดลง 2.33 ดอลลาร์ หรือ 2.5% มาปิดตลาดที่ 89.83 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับลง 8.45 ดอลลาร์ สู่ 1,972.59 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 1,997.09 ดอลลาร์ในวันศุกร์ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่กลางเดือนพ.ค. ในขณะที่เทรดเดอร์จับตาดูสถานการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลาง และเทรดเดอร์รอดูตัวเลขจีดีพีสหรัฐและดัชนี PCE ของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพฤหัสบดีและวันศุกร์นี้ ทั้งนี้ นายเดวิด มีเกอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายค้าโลหะของบริษัทไฮ ริดจ์ ฟิวเจอร์สกล่าวว่า "ถ้าหากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่สูงเกินคาดในวันศุกร์นี้ ตัวเลขดังกล่าวก็จะกระตุ้นความกังวลเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจจะส่งผลให้ราคาทองแสดงปฏิกิริยาอย่างฉับพลันด้วยการร่วงลง แต่หลังจากนั้นราคาทองน่าจะได้รับแรงหนุนจากคำสั่งซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย" Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--18 ต.ค.--รอยเตอร์
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเยนในวันอังคาร แต่ดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับยูโร หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขยอดค้าปลีกที่แข็งแกร่งเกินคาดในเดือนก.ย. โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันอังคารว่า ยอดค้าปลีกปรับขึ้น 0.7% ในเดือนก.ย. หลังจากปรับขึ้น 0.8% ในเดือนส.ค. และอยู่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ +0.3% สำหรับเดือนก.ย. ในขณะที่ภาคครัวเรือนปรับเพิ่มการซื้อยานยนต์และใช้จ่ายเงินมากยิ่งขึ้นในร้านอาหารและบาร์ โดยยอดขายในบริษัทตัวแทนจำหน่ายรถยนต์พุ่งขึ้น 1.0% ในเดือนก.ย. หลังจากปรับขึ้น 0.4% ในเดือนส.ค. ส่วนยอดขายที่ร้านอาหารและบาร์ปรับขึ้น 0.9% ในเดือนก.ย. ทั้งนี้ นักลงทุนรอฟังถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลายรายในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดในวันพฤหัสบดีที่ 19 ต.ค. ก่อนที่เจ้าหน้าที่เฟดจะเข้าสู่ช่วงของการงดแสดงความเห็นต่อสาธารณชนตั้งแต่วันที่ 21 ต.ค. และเฟดจะจัดการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 31 ต.ค.-1 พ.ย. โดยนายโธมัส บาร์คิน ประธานเฟดสาขาริชมอนด์กล่าวในวันอังคารว่า ต้นทุนการกู้ยืมที่อยู่ในระดับสูงเป็นเวลานานกำลังสร้างแรงกดดันในทางลบต่ออุปสงค์ แต่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าปัจจัยนี้จะส่งผลกระทบอย่างไรบ้างต่อการกำหนดนโยบายของเฟดในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 106.22 ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร โดยขยับลงจาก 106.26 ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ และเทียบกับระดับ 107.34 ที่เคยทำไว้ในวันที่ 3 ต.ค. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2022
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 149.80 เยนในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร โดยแข็งค่าขึ้นจากระดับปิดตลาดวันจันทร์ที่ 149.50 เยน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0575 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร โดยปรับขึ้นจาก 1.0558 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันจันทร์ และเทียบกับระดับ 1.0448 ดอลลาร์ที่เคยทำไว้ในวันที่ 3 ต.ค. ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2022
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดขยับขึ้นเล็กน้อยในวันอังคาร ส่วนดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดเกือบทรงตัว และดัชนี Nasdaq ปรับลงในวันอังคาร โดยตลาดหุ้นสหรัฐได้รับแรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่พุ่งสูงขึ้น หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีทะยานขึ้นจาก 4.71% ในช่วงท้ายวันจันทร์ สู่ 4.847% ในช่วงท้ายวันอังคาร หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันอังคารว่า ยอดค้าปลีกปรับขึ้น 0.7% ในเดือนก.ย. หลังจากปรับขึ้น 0.8% ในเดือนส.ค. และอยู่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ +0.3% สำหรับเดือนก.ย. นอกจากนี้ ตลาดหุ้นก็ได้รับแรงกดดันจากการดิ่งลงของหุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิปด้วย หลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศว่า ทางรัฐบาลวางแผนจะระงับการส่งออกชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) ขั้นสูงไปยังจีน โดยข่าวนี้ส่งผลให้ดัชนีฟิลาเดลเฟียสำหรับหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐร่วงลง 0.8% และส่งผลให้หุ้นบริษัทเอ็นวิเดีย ซึ่งถือเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกดิ่งลง 4.7% ถึงแม้เอ็นวิเดียคาดว่ามาตรการจำกัดการส่งออกนี้จะไม่ส่งผลกระทบมากนักต่อผลประกอบการของเอ็นวิเดียในระยะอันใกล้นี้ ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐได้รับแรงหนุนเข้ามาบ้างจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งที่บริษัทสหรัฐหลายแห่งรายงานออกมา ซึ่งรวมถึงธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกาที่มีราคาหุ้นพุ่งขึ้น 2.3% หลังจากเปิดเผยผลประกอบการ ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินของสหรัฐปรับขึ้น 0.6% ในวันอังคาร Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดขยับขึ้น 0.04% สู่ 33,997.65
ดัชนี S&P 500 ปิดขยับลง 0.01% สู่ 4,373.2
ดัชนี Nasdaq ปิดปรับลง 0.25% สู่ 13,533.75
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ทรงตัวในวันอังคาร แต่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับขึ้น ในขณะที่นักลงทุนรอดูว่าความพยายามทางการทูตของสหรัฐและการที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐจะเดินทางเยือนอิสราเอลในวันพุธจะสามารถช่วยป้องกันไม่ให้สงครามในภูมิภาคตะวันออกกลางลุกลามออกไปได้หรือไม่ โดยราคาน้ำมันได้รับแรงกดดันในช่วงแรก หลังจากนายโธมัส บาร์คิน ประธานเฟดสาขาริชมอนด์กล่าวในวันอังคารว่า ต้นทุนการกู้ยืมที่อยู่ในระดับสูงเป็นเวลานานกำลังสร้างแรงกดดันในทางลบต่ออุปสงค์ แต่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าปัจจัยนี้จะส่งผลกระทบอย่างไรบ้างต่อการกำหนดนโยบายของเฟดในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันได้รับแรงหนุนเข้ามาในวันอังคารด้วยเช่นกัน หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขยอดค้าปลีกที่แข็งแกร่งเกินคาด ทั้งนี้ นายอามิน นัสเซอร์ ซีอีโอของบริษัทซาอุดิ อารามโค ซึ่งถือเป็นบริษัทน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก กล่าวว่า ทางบริษัทสามารถปรับเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ถ้าหากมีความจำเป็น โดยทางบริษัทมีกำลังการผลิตส่วนเกิน 3 ล้านบาร์เรลต่อวัน และเขากล่าวว่าอุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มว่าอาจจะปรับขึ้นสู่ 103 ล้านบาร์เรลต่อวันในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ทางด้านการปิโตรเลียมสหรัฐ (API) ซึ่งเป็นหน่วยงานของเอกชน ได้เปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันสหรัฐประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 13 ต.ค. หลังจากตลาด NYMEX ปิดทำการในวันอังคาร โดยระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบในคลังสหรัฐดิ่งลงราว 4.4 ล้านบาร์เรล, สต็อกน้ำมันเบนซินในคลังสหรัฐรูดลงราว 1.6 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมัน distillate ในคลังสหรัฐลดลงราว 610,000 บาร์เรล Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนพ.ย.ทรงตัวที่ 86.66 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนธ.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนปรับขึ้น 25 เซนต์ มาปิดตลาดที่ 89.90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 3.63 ดอลลาร์ สู่ 1,923.07 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร และพุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 4% จากช่วงต้นเดือนต.ค. ในขณะที่เทรดเดอร์จับตาดูความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส และเทรดเดอร์รอฟังถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลายรายในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดในวันพฤหัสบดีที่ 19 ต.ค. ก่อนที่เจ้าหน้าที่เฟดจะเข้าสู่ช่วงของการงดแสดงความเห็นต่อสาธารณชนตั้งแต่วันที่ 21 ต.ค. และเฟดจะจัดการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 31 ต.ค.-1 พ.ย. ทั้งนี้ ธนาคารคอมเมอร์ซแบงก์ยังคงคาดการณ์ตามเดิมว่า ราคาทองจะอยู่ที่ 1,900 ดอลลาร์ในช่วงสิ้นปีนี้ และ 2,100 ดอลลาร์ในช่วงสิ้นปี 2024 โดยคอมเมอร์ซแบงก์ระบุว่า ถ้าหากความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางไม่ได้ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ราคาทองก็มีแนวโน้มว่าอาจปรับขึ้นเพียงในวงจำกัด ในขณะที่เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเวลาที่ช้าเกินคาด ทางด้านนายเอเวอเรทท์ มิลแมน หัวหน้านักวิเคราะห์ตลาดของบริษัทเกนส์วิลล์ คอยน์กล่าวว่า ถ้าหากความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางยังคงดำเนินต่อไป ราคาทองก็จะยังคงเคลื่อนตัวอยู่เหนือ 1,900 ดอลลาร์ Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ขณะที่ใกล้จะถึงช่วงสุดท้ายของปี ตลาดก็มีคลายกังวลที่วงจรการคุมเข้มนโยบายการเงินทั่วโลกที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษกำลังจะสิ้นสุดลงในที่สุด แต่ภาวะตึงตัวจากการขึ้นดอกเบี้ยเพิ่งเริ่มส่งผ่านออกมา และเนื่องจากธนาคารกลางต่างๆส่งสัญญาณว่า อัตราดอกเบี้ยอาจจะสูงขึ้นนานขึ้น แนวคิดที่บางอย่าง "จะพังทลายลง" นั้นจึงยังคงชัดเจน และแรงกดดันที่ต้องจับตาดูนั้นมีดังนี้
ผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นกำลังเกิดขึ้นรุนแรงกว่ากับภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งยังคงได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ขณะที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของเยอรมนีเผชิญกับภาวะล้มละลายหลายแห่ง ตลาดสำนักงานของลอนดอนก็อยู่ในภาวะถดถอย เนื่องจากอัตราพื้นที่ว่างพุ่งสูงสุดในรอบ 30 ปี และธนาคารในสหรัฐแถลงผลขาดทุนจากอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีแรก และเตือนว่าอาจจะขาดทุนอีก ส่วนสวีเดนก็เป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักสุดในยุโรป เนื่องจากหนี้อสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่เป็นหนี้ระยะสั้น ขณะที่บริษัทเอสบีบี ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ กำลังพยายามอย่างหนักเพื่อฟื้นฟูการเงินที่ขาดทุนอย่างหนักและเงินสดลดน้อยลง อีกทั้งวิกฤตินี้ยังเกิดขึ้นกับบริษัทฮีมสตาเดน บอสตั๊ด ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยที่ใหญ่ที่สุดของสวีเดนที่กำลังประสบกับภาวะตึงตัวในการจัดหาเงินทุนหลายพันล้านดอลลาร์
อสังหาริมทรัพย์เป็นศูนย์กลางของวิกฤติของจีนด้วย และเป็นเหตุผลข้อหนึ่งที่เศรษฐกิจจีนติดอันดับเรื่องที่นักลงทุนกังวล โดยไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีหนี้สูงสุดในโลกกว่า 3.00 แสนล้านดอลลาร์ เป็นศูนย์กลางของวิกฤติสภาพคล่องในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ส่วนบริษัทคันทรี การ์เด้น ผู้พัฒนาในภาคเอกชนรายใหญ่สุดของจีน ก็กำลังต่อสู้เพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ และเนื่องจากภาคอสังหาริมทรัพย์มีสัดส่วนราว 1 ใน 4 ของเศรษฐกิจ จึงมีความวิตกมากขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบสำหรับเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ของจีนและผลกระทบที่เป็นลูกโซ่
การผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ภาคเอกชนเริ่มมีจำนวนมากขึ้น แม้แต่ในช่วงเดือนที่มักจะเงียบเหงา โดยข้อมูลจากเอสแอนด์พีพบว่า จำนวนของการผิดนัดชำระหนี้ใหม่ทั่วโลกแตะ 16 ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นยอดรวมสูงสุดในเดือนส.ค.นับตั้งแต่ปี 2009 และเป็นสัญญาณล่าสุดที่แสดงว่า ภาวะตึงตัวในภาคเอกชนกำลังก่อตัวขึ้น และเอสแอนด์พียังคาดว่า การผิดนัดชำระหุ้นกู้ของบริษัทยุโรปที่ได้รับการจัดอันดับขยะจะแตะ 3.75% ภายในเดือนมิ.ย.ปีหน้า จาก 3.4% ในเดือนส.ค.
ภาวะตึงตัวในภาคธนาคารสร้างความวิตกน้อยลงให้แก่นักลงทุนนับตั้งแต่วิกฤติในเดือนมี.ค.ได้สร้างความเสียหายหนัก โดยธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐสามารถผ่านบททดสอบภาวะวิกฤติประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในเดือนมิ.ย.ได้ ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ได้ขอให้ธนาคารต่างๆจัดสรรข้อมูลสภาพคล่องรายสัปดาห์เพื่อให้อีซีบีสามารถทำการตรวจสอบได้บ่อยครั้งขึ้นเพื่อดูความสามารถของธนาคารในการป้องกันผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นขณะที่อัตราดอกเบี้ยปรับขึ้น อย่างไรก็ดี ยังคงมีคำถามสำคัญเกี่ยวกับอนาคต โดยเฉพาะจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์
ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ยังคงดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายพิเศษ แต่จุดยืนที่เข้มงวดขึ้นอาจจะเกิดขึ้นในไม่ช้า และมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงจากยุคที่เงินสดญี่ปุ่นอัดฉีดเข้าสู่ทุกอย่างนับตั้งแต่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐไปจนถึงสกุลเงินตลาดเกิดใหม่ที่ให้ผลตอบแทนสูง โดยแคปิตอล อีโคโนมิคส์คาดว่า บีโอเจจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนม.ค.ปีหน้า และตั้งข้อสังเกตว่า นักลงทุนญี่ปุ่นถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอยู่ราว 1 ล้านล้านดอลลาร์ และยังถือครองพันธบัตรรัฐบาลของยุโรป และออสเตรเลียเป็นจำนวนมากด้วย ซึ่งแรงเทขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐของญี่ปุ่นก็อาจจะทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่มขึ้นอีก และนั่นอาจกระทบหุ้นที่มีแนวโน้มว่าจะปรับตัวแย่กว่าเมื่อนักลงทุนคาดหวังผลตอบแทนที่สูงกว่าจากพันธบัตรรัฐบาลที่มีความเสี่ยงต่ำ--จบ--
Eikon source text
กรุงเทพฯ--3 ต.ค.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินพุ่งขึ้นในวันจันทร์ หลังจากปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนบวกมานาน 4 สัปดาห์ติดต่อกัน โดยดัชนีดอลลาร์ได้รับแรงหนุนจากข่าวที่ว่า รัฐบาลสหรัฐสามารถหลีกเลี่ยงจากการชัตดาวน์ (การปิดทำการชั่วคราวของหน่วยงานรัฐบาล) ได้สำเร็จ และดอลลาร์ยังได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งด้วย เพราะตัวเลขดังกล่าวช่วยสนับสุนการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงต่อไปเป็นเวลานาน ทั้งนี้ สถาบันจัดการอุปทาน (ISM) ของสหรัฐรายงานในวันจันทร์ว่า ภาคการผลิตของสหรัฐใกล้จะฟื้นตัวขึ้นในเดือนก.ย. ในขณะที่การผลิตปรับเพิ่มขึ้นและการจ้างงานดีดขึ้น โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐพุ่งขึ้นจาก 47.6 ในเดือนส.ค. สู่ 49.0 ในเดือนก.ย. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2022 แต่ดัชนียังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าภาคการผลิตยังคงหดตัวลงในเดือนก.ย. ส่วนดัชนีการจ้างงานในภาคการผลิตปรับขึ้นจาก 48.5 ในเดือนส.ค. สู่ 51.2 ในเดือนก.ย. ทางด้านดัชนีการผลิตในภาคโรงงานปรับขึ้นจาก 50.0 ในเดือนส.ค. สู่ 52.5 ในเดือนก.ย. แต่ดัชนีราคาจ่ายในภาคการผลิตดิ่งลงจาก 48.4 ในเดือนส.ค. สู่ 43.8 ในเดือนก.ย. Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 107.01 ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยพุ่งขึ้นจาก 106.17 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ หลังจากทะยานขึ้นแตะ 107.03 ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดในรอบ 10 เดือน
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 149.85 เยน ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยแข็งค่าขึ้นจากระดับปิดตลาดวันศุกร์ที่ 149.35 เยน หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 149.90 เยนในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดในรอบราว 11 เดือน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0476 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันจันทร์ โดยร่วงลงจาก 1.0570 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันศุกร์ หลังจากดิ่งลงแตะ 1.0475 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดในรอบเกือบ 9 เดือน
ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดเกือบทรงตัวในวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนพยายามประเมินความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงต่อไปเป็นเวลานาน โดยดัชนีหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคของสหรัฐ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มักจะได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ย ดิ่งลง 4.7% ในวันจันทร์ ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2020 และดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานรูดลงอย่างรุนแรงในวันจันทร์ด้วยเช่นกัน โดยได้รับแรงกดดันจากการดิ่งลงของราคาน้ำมัน อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐพุ่งขึ้น 1.3% และดัชนี Nasdaq ของสหรัฐก็ปรับขึ้นด้วยเช่นกัน ในขณะที่หุ้นบริษัทเอ็นวิเดียทะยานขึ้น 2.9% หลังจากธนาคารโกลด์แมน แซคส์เพิ่มหุ้นเอ็นวิเดียในรายชื่อหุ้น conviction list สำหรับหุ้นกลุ่ม top picks ของโกลด์แมน แซคส์ ทั้งนี้ มิเชลล์ โบว์แมน หนึ่งในผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า เธอยังคงเต็มใจที่จะสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในอนาคต ถ้าหากตัวเลขเศรษฐกิจแสดงให้เห็นว่า อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงอย่างเชื่องช้าเกินไป หรืออัตราเงินเฟ้อยุติการชะลอตัวลง Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับลง 0.22% สู่ 33,433.35
ดัชนี S&P 500 ปิดขยับขึ้น 0.01% สู่ 4,288.39
ดัชนี Nasdaq ปิดบวกขึ้น 0.67% สู่ 13,307.77
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ดิ่งลงอย่างรุนแรงในวันจันทร์ โดยได้รับแรงกดดันจากปัจจัยหลายประการ ซึ่งรวมถึงการที่ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินทะยานขึ้นแตะ 107.03 ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดในรอบ 10 เดือน, การที่นักลงทุนเทขายทำกำไรสัญญาน้ำมันออกมา หลังจากราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นมาแล้วเกือบ 30% จนแตะจุดสูงสุดรอบ 10 เดือนในไตรมาส 3, แรงกดดันที่อุปสงค์น้ำมันได้รับจากอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูง และความกังวลเรื่องการเพิ่มขึ้นของอุปทานน้ำมันดิบ ทั้งนี้ คณะกรรมการการค้าสัญญาล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์ของสหรัฐ (CFTC) รายงานในวันศุกร์ว่า นักเก็งกำไรในสหรัฐปรับเพิ่มการถือครองสถานะซื้อสุทธิในสัญญาล่วงหน้าและออปชั่นน้ำมันดิบในช่วงสัปดาห์ล่าสุด จนสถานะซื้อสุทธิดังกล่าวขึ้นไปแตะจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2022 ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่นักเก็งกำไรอาจจะเทขายทำกำไรสัญญาน้ำมันออกมาในช่วงนี้ Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนพ.ย.ดิ่งลง 1.97 ดอลลาร์ หรือ 2.2% มาปิดตลาดที่ 88.82 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนธ.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนรูดลง 1.49 ดอลลาร์ หรือ 1.6% มาปิดตลาดที่ 90.71 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากราคาสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์เดือนพ.ย.ครบกำหนดส่งมอบที่ระดับ 95.31 ดอลลาร์ในวันศุกร์ ซึ่งเท่ากับว่าราคาสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์เดือนใกล้ดิ่งลงราว 5% ในวันจันทร์ ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ค. โดยราคาสัญญาเดือนธ.ค.ได้ดิ่งลงแตะ 90.35 ดอลลาร์ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันจันทร์ด้วย ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดรอบ 3 สัปดาห์สำหรับราคาสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์เดือนใกล้
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐดิ่งลง 20.91 ดอลลาร์ หรือ 1.13% สู่ 1,827.40 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ ซึ่งถือเป็นการร่วงลงเป็นวันที่ 6 ติดต่อกัน หลังจากราคาทองดิ่งลงแตะ 1,825.90 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนมี.ค. หรือจุดต่ำสุดในรอบเกือบ 7 เดือน โดยราคาทองได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ และจากการคาดการณ์ที่ว่าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐจะอยู่ในระดับสูงต่อไปเป็นเวลานาน ทั้งนี้ นายจิม วิคคอฟ นักวิเคราะห์ของบริษัทคิทโค เมทัลส์กล่าวว่า ราคาทองอาจจะดิ่งลงสู่ระดับต่ำกว่า 1,800 ดอลลาร์ในอนาคตอันใกล้นี้ Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--27 ก.ย.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินปรับขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 10 เดือนในวันอังคาร ในขณะที่ดอลลาร์/เยนแข็งค่าขึ้นเข้าใกล้ 150 เยน และนักลงทุนจับตามองว่าทางการญี่ปุ่นจะเข้ามาแทรกแซงตลาดที่ระดับ 150 เยนหรือไม่เพื่อจะได้หนุนเยนให้แข็งค่าขึ้น ทางด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นจาก 4.542% ในช่วงท้ายวันจันทร์ สู่ 4.558% ในช่วงท้ายวันอังคาร หลังจากทะยานขึ้นแตะ 4.566% ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดรอบ 16 ปี โดยได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในสหรัฐในช่วงที่ผ่านมา โดยการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) มีส่วนช่วยหนุนดอลลาร์ให้แข็งค่าขึ้นด้วย ทั้งนี้ นายนีล แคชคารี ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขามินนิอาโปลิสกล่าวในวันอังคารว่า มีแนวโน้มที่เศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่มีโอกาส 40% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย "อย่างสำคัญ" เพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อ Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 106.21 ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร โดยแข็งค่าขึ้นจาก 105.95 ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 106.26 ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย. 2022 หรือจุดสูงสุดในรอบเกือบ 10 เดือน
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 149.05 เยน ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร โดยปรับขึ้นจากระดับปิดตลาดวันจันทร์ที่ 148.88 เยน หลังจากทะยานขึ้นแตะ 149.19 เยนในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดรอบ 11 เดือน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0570 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร โดยอ่อนค่าลงจาก 1.0590 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันจันทร์ หลังจากดิ่งลงแตะ 1.0560 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 16 มี.ค. หรือจุดต่ำสุดรอบ 6 เดือน
ตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงในวันอังคาร ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะ 4.566% ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2007 หรือจุดสูงสุดในรอบราว 16 ปี และนักลงทุนยังคงปรับตัวรับการคาดการณ์ที่ว่า อัตราดอกเบี้ยสหรัฐอาจจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปเป็นเวลานาน ซึ่งอาจจะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจสหรัฐ นอกจากนี้ นักลงทุนก็กังวลกับความเป็นไปได้ที่หน่วยงานบางแห่งของรัฐบาลสหรัฐอาจจะเริ่มปิดทำการชั่วคราวตั้งแต่ช่วงสุดสัปดาห์นี้ด้วย ในขณะที่บริษัทมูดี้ส์ระบุว่า การปิดทำการชั่วคราว (ชัตดาวน์) ของรัฐบาลสหรัฐจะทำลายความน่าเชื่อถือของสหรัฐ ทั้งนี้ หุ้นทั้ง 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดวันอังคารในแดนลบ โดยดัชนีหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคดิ่งลง 3.05% และดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์รูดลง 1.8% เนื่องจากหุ้นทั้งสองกลุ่มนี้มักจะได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ย ทางด้านดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดิ่งลง 1.8% Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดดิ่งลง 1.14% สู่ 33,618.88 ซึ่งถือเป็นระดับปิดต่ำสุดในรอบกว่า 3 เดือน และการดิ่งลงในวันอังคารถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.
ดัชนี S&P 500 ปิดรูดลง 1.47% สู่ 4,273.53 ซึ่งถือเป็นระดับปิดต่ำสุดในรอบกว่า 3 เดือน
ดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 1.57% สู่ 13,063.61 ซึ่งถือเป็นระดับปิดต่ำสุดในรอบกว่า 3 เดือน
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ปรับขึ้นในวันอังคาร โดยได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า อุปทานน้ำมันจะตึงตัว และปัจจัยบวกดังกล่าวก็ช่วยบดบังแรงกดดันที่ราคาน้ำมันได้รับจากความกังวลที่ว่า แนวโน้มเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนจะส่งผลลบต่ออุปสงค์น้ำมัน นอกจากนี้ ราคาน้ำมันก็ได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากความกังวลของนักลงทุนที่มีต่ออุปทานน้ำมันที่ตึงตัวในเมืองคุชชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบน้ำมันตามสัญญาในตลาด NYMEX ด้วย โดยรัฐบาลสหรัฐรายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคุชชิงดิ่งลงสู่ระดับต่ำกว่า 23 ล้านบาร์เรลในวันที่ 15 ก.ย. ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2022 และออกห่างจากจุดสูงสุดรอบ 2 ปีที่ระดับสูงกว่า 43 ล้านบาร์เรลที่เคยทำไว้ในเดือนมิ.ย. โดยการดิ่งลงของสต็อกน้ำมันนี้เป็นผลจากการกลั่นน้ำมันในปริมาณมากและเป็นผลจากการส่งออกน้ำมันในปริมาณมาก และปัจจัยนี้ทำให้นักลงทุนกังวลกับคุณภาพของน้ำมันที่เหลืออยู่ในคลัง และกังวลว่าปริมาณน้ำมันในคลังอาจจะดิ่งลงสู่ระดับต่ำเกินไป ทั้งนี้ หลังจากตลาด NYMEX ปิดทำการในวันอังคาร การปิโตรเลียมสหรัฐ (API) ซึ่งเป็นหน่วยงานของเอกชน ได้เปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันสหรัฐประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 22 ก.ย. โดยระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบในคลังสหรัฐพุ่งขึ้นราว 1.6 ล้านบาร์เรล, สต็อกน้ำมันเบนซินในคลังสหรัฐลดลงราว 70,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมัน distillate ในคลังสหรัฐดิ่งลงราว 1.7 ล้านบาร์เรล Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนพ.ย.ปรับขึ้น 71 เซนต์ หรือ 0.8% มาปิดตลาดที่ 90.39 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากดิ่งลงแตะ 88.19 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดรอบ 2 สัปดาห์
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย.ที่ตลาดกรุงลอนดอนปรับขึ้น 67 เซนต์ หรือ 0.7% มาปิดตลาดที่ 93.96 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากดิ่งลงแตะ 91.80 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดรอบ 2 สัปดาห์
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐร่วงลง 15.17 ดอลลาร์ สู่ 1,900.49 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร โดยได้รับแรงกดดันจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และจากการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่นักลงทุนคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงต่อไปเป็นเวลานาน ทั้งนี้ นายออสตัน กูลส์บี ประธานเฟดสาขาชิคาโกกล่าวในวันจันทร์ว่า การที่อัตราเงินเฟ้อเคลื่อนตัวอยู่สูงกว่าระดับเป้าหมายที่ 2% เป็นเวลานาน ถือเป็นความเสี่ยงที่ใหญ่กว่าการดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดจนส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง ทางด้านกองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งถือเป็นกองทุน ETF ทองที่ใหญ่ที่สุดในโลกระบุว่า ปริมาณการถือครองทองของกองทุนแห่งนี้ดิ่งลงในวันจันทร์จนแตะจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2020 Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ-- ก.ย.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินแข็งค่าขึ้นในวันพุธ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.25-5.50% ตามเดิมในการประชุม แต่เฟดแสดงจุดยืนแบบสายเหยี่ยวมากยิ่งขึ้น และเฟดยังคงคาดการณ์เหมือนในเดือนมิ.ย.ว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดจะแตะจุดสูงสุดของวัฏจักรในปีนี้ที่ระดับ 5.50-5.75% ซึ่งเท่ากับว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในช่วงต่อไปในปีนี้ นอกจากนี้ เฟดยังคาดการณ์ในรายงานสรุปการคาดการณ์เศรษฐกิจ (SEP) รายไตรมาสฉบับล่าสุดอีกด้วยว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพียง 0.50% ในปี 2024 แทนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 1% ในปี 2024 เหมือนอย่างที่เคยคาดการณ์ไว้ในเดือนมิ.ย. ทั้งนี้ นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดกล่าวว่า ถึงแม้บางสิ่งอยู่นอกเหนือจากการควบคุมของเฟด ก็มีโอกาสสูงที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวของเฟดจะไม่ส่งผลให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะตกต่ำ ทางด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 2 ปีพุ่งขึ้นแตะ 5.178% ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันพุธ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดรอบ 17 ปี Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 105.44 ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 105.12 ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร โดยระดับ 105.44 นี้ถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. หรือจุดสูงสุดรอบ 6 เดือน
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 148.33 เยนในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยปรับขึ้นจากระดับปิดตลาดวันอังคารที่ 147.86 เยน หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 148.36 เนในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดรอบ 10 เดือน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0659 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพุธ โดยอ่อนค่าลงจาก 1.0677 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร
ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลงในวันพุธ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.25-5.50% ตามความคาดหมาย และเฟดปรับขึ้นตัวเลขคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจให้สูงขึ้นจากเดิม ในขณะที่นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดกล่าวเตือนว่า จะยังคงต้องใช้เวลาอีกนานก่อนที่อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐจะชะลอตัวลงสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% ทั้งนี้ รายงานสรุปการคาดการณ์เศรษฐกิจ (SEP) รายไตรมาสฉบับใหม่ของเฟดคาดว่า อัตราดอกเบี้ยจะแตะจุดสูงสุดของวัฏจักรที่ 5.50-5.75% ในปีนี้ ก่อนจะปรับลดลงสู่ 5.1% ในช่วงสิ้นปี 2024 และ 3.9% ในช่วงสิ้นปี 2025 โดยการที่เฟดคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปเป็นเวลานานส่งผลลบต่อหุ้นกลุ่มที่มักจะได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ย ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มบริการการสื่อสาร และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยหุ้น 2 กลุ่มนี้ถือเป็นหุ้น 2 กลุ่มที่ดิ่งลงมากที่สุดในวันพุธในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐ นอกจากนี้ หุ้นบริษัทขนาดยักษ์ที่มักได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยก็รูดลงในวันพุธด้วยเช่นกัน ซึ่งรวมถึงหุ้นไมโครซอฟท์ที่ดิ่งลง 2.4%, หุ้นแอปเปิลที่รูดลง 2.0% และหุ้นเอ็นวิเดียที่ดิ่งลง 2.9% และการดิ่งลงของหุ้นเหล่านี้ก็ส่งผลลบต่อดัชนี Nasdaq เป็นอย่างมาก Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับลง 0.22% สู่ 34,440.88
ดัชนี S&P 500 ปิดร่วงลง 0.94% สู่ 4,402.2
ดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 1.53% สู่ 13,469.13
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ดิ่งลงในวันพุธ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.25-5.50% ตามเดิมในการประชุม แต่เฟดแสดงจุดยืนแบบสายเหยี่ยวมากยิ่งขึ้น และเฟดยังคงคาดการณ์เหมือนในเดือนมิ.ย.ว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดจะแตะจุดสูงสุดของวัฏจักรในปีนี้ที่ระดับ 5.50-5.75% ซึ่งเท่ากับว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในช่วงต่อไปในปีนี้ ทั้งนี้ ตลาดน้ำมันไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ที่ระบุในวันพุธว่า สต็อกน้ำมันดิบในคลังสหรัฐดิ่งลง 2.1 ล้านบาร์เรล สู่ 418.5 ล้านบาร์เรลในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 15 ก.ย. ซึ่งใกล้เคียงกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ในโพลล์รอยเตอร์ที่คาดว่าอาจรูดลง 2.2 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินในคลังสหรัฐปรับลดลง 0.8 ล้านบาร์เรล สู่ 219.5 ล้านบาร์เรล ทางด้านสต็อกน้ำมัน Distillate ในคลังสหรัฐ ซึ่งครอบคลุมน้ำมันดีเซลและน้ำมัน heating oil ดิ่งลง 2.9 ล้านบาร์เรล สู่ 119.7 ล้านบาร์เรล ในขณะที่อัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันในสหรัฐดิ่งลง 1.8% สู่ 91.9%
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนต.ค.ดิ่งลง 92 เซนต์ หรือ 1.0% มาปิดตลาดที่ 90.28 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในขณะที่สัญญาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนต.ค.ครบกำหนดส่งมอบในช่วงปิดตลาดวันพุธ ทางด้านราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนพ.ย.ร่วงลง 82 เซนต์ มาปิดตลาดที่ 89.66 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย.ที่ตลาดกรุงลอนดอนร่วงลง 81 เซนต์ หรือ 0.9% มาปิดตลาดที่ 93.53 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งถือเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 ก.ย. หรือระดับปิดต่ำสุดในรอบ 1 สัปดาห์ อย่างไรก็ดี สัญญาณทางเทคนิคยังคงบ่งชี้ว่า มีคำสั่งซื้อน้ำมันดิบเบรนท์เข้ามามากเกินไปเป็นวันที่ 14 ติดต่อกัน ซึ่งถือว่ายาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2012
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐขยับลง 1.26 ดอลลาร์ สู่ 1,929.68 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.25-5.50% ตามเดิมในการประชุม แต่เฟดแสดงจุดยืนแบบสายเหยี่ยวมากยิ่งขึ้น และเฟดยังคงคาดการณ์เหมือนในเดือนมิ.ย.ว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดจะแตะจุดสูงสุดของวัฏจักรในปีนี้ที่ระดับ 5.50-5.75% ซึ่งเท่ากับว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในช่วงต่อไปในปีนี้ ทั้งนี้ ซูกิ คูเพอร์ นักวิเคราะห์ของธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดกล่าวว่า "เราคาดว่าราคาทองมีความเสี่ยงด้านสูงเพียงในวงจำกัดในระยะใกล้ และราคาทองอาจจะไม่สามารถรักษาแรงหนุนส่งในทางบวกไว้ได้นาน จนกว่าตลาดจะมีความเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้นว่า อัตราดอกเบี้ยสหรัฐและอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกจะมีแนวโน้มปรับลดลง และจนกว่าดอลลาร์จะอ่อนค่าลง" Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน