ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
เพื่อเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็วและติดตามตลาดโฟกัสใน 15 นาที
ในโลกของมนุษยชาติ จะไม่มีคำกล่าวใด ๆ ที่ไม่มีจุดยืนใด ๆ หรือคำพูดใด ๆ ที่ไม่มีจุดประสงค์ใด ๆ
อัตราเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน และเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจเชิงนโยบายของธนาคารกลาง ทัศนคติและคำพูดของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยังมีอิทธิพลต่อการกระทำของเทรดเดอร์ในตลาดอีกด้วย
เงินทำให้โลกหมุนไป และสกุลเงินเป็นสินค้าถาวร ตลาดฟอเร็กซ์เต็มไปด้วยความประหลาดใจและความคาดหวัง
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
เพลิดเพลินกับกิจกรรมที่น่าตื่นเต้น ที่นี่ที่ FastBull
ข่าวด่วนล่าสุดและเหตุการณ์ทางการเงินทั่วโลก
ฉันมีประสบการณ์ 5 ปีในการวิเคราะห์ทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนามหภาคและการตัดสินแนวโน้มระยะกลางและระยะยาว ความสนใจของฉันอยู่ที่การพัฒนาของตะวันออกกลาง ตลาดเกิดใหม่ ถ่านหิน ข้าวสาลี และสินค้าเกษตรอื่นๆ
7 ปีของตลาดหุ้น การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โลหะมีค่า และประสบการณ์การซื้อขายและการวิเคราะห์อื่น ๆ โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐาน การสนับสนุนทางเทคนิค มีอคติต่อตรรกะธุรกรรมจากบนลงล่าง โดยเน้นที่วัฏจักรมหภาคและการควบคุมความเสี่ยง การคาดการณ์เชิงทฤษฎีอุปสงค์และอุปทานอเนกประสงค์ การเปลี่ยนแปลงของราคา สร้างสมดุลระหว่างผลกระทบของธุรกรรม การกระจายชิปและอารมณ์ตลาด และคงที่
อัปเดตล่าสุด
สร้างทัศนคติการลงทุนที่ดี
วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ปรัชญาการลงทุนของเขาประกอบด้วยการสร้างกรอบความคิดระยะยาว ขจัดญาณรบกวนของตลาด ไม่เก็งกำไร และเน้นย้ำว่าการลงทุนต้องมีมีจิตใจที่มั่นคงและเป้าหมายที่ชัดเจน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง
แม้ว่าระบบกฎหมายและกรอบการกำกับดูแลในฮ่องกงจะค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ตลาดหุ้นยังคงเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายพิเศษหลายประการ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่าง HKD และ USD นักลงทุนต่างชาติอาจเผชิญกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความผันผวนของนโยบายและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นฮ่องกงด้วย
โครงสร้างต้นทุนและภาษีเมื่อลงทุนในหุ้นฮ่องกง
ต้นทุนการซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมหุ้น ค่าอากรแสตมป์ ค่าธรรมเนียมการชำระบัญชี ฯลฯ สำหรับนักลงทุนต่างชาติอาจมีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินเพิ่มเติมเป็นดอลลาร์ฮ่องกงและภาษีอื่น ๆ ตามข้อบังคับท้องถิ่น
การวิเคราะห์อุตสาหกรรมฮ่องกง:อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็น
อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็นของฮ่องกง ได้แก่ รถยนต์ การศึกษา การท่องเที่ยว การจัดเลี้ยง เครื่องแต่งกาย และภาคส่วนอื่นๆ อีกมากมาย จากบริษัทจดทะเบียน 643 แห่งนั้น 35% เป็นบริษัทในจีนแผ่นดินใหญ่และคิดเป็น 65% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด ดังนั้นอุตสาหกรรมนี้จึงได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากเศรษฐกิจจีน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด
ไม่มีข้อมูล
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม
สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
หนึ่งปีที่แล้วที่ธนาคารเครดิต สวิสของสวิตเซอรแลนด์เกือบจะล้มละลาย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้หุ้นกลุ่มธนาคารของยุโรปดิ่งลง และต้นทุนประกันการผิดนัดชำระหนี้พุ่งขึ้น นักลงทุนก็ส่งสัญญาณเตือนเกี่ยวกับเสถียรภาพของธนาคารต่างๆท่ามกลางภาวะปั่นป่วนของธนาคารระดับภูมิภาคของสหรัฐ แต่การที่ยูบีเอสได้เข้าช่วยเหลือเครดิต สวิสด้วยการจัดการของภาครัฐช่วยคลายกังวลได้บ้าง และธนาคารยุโรปก็มีการฟื้นตัวที่น่าสนใจ แม้จะเปราะบางบ้าง โดยทำกำไรได้มากเป็นประวัติการณ์ และราคาหุ้นพุ่งขึ้นแบบเลขสองหลัก
หุ้นกลุ่มธนาคารของยุโรปดิ่งลงในเดือนมี.ค.ปีที่แล้ว โดยหุ้นดอยช์แบงก์ร่วงกว่า 1 ใน 5 ในเดือนมี.ค. และดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของยุโรปร่วงลงมากที่สุดนับตั้งแต่เกิดโรคระบาด แต่ราคาหุ้นก็ทะยานขึ้นนับตั้งแต่นั้น นำโดยการทะยานขึ้น 60% ของหุ้นยูบีเอส และเกือบ 70% ของยูนิเครดิต แต่หุ้นบีเอ็นพี พาริบาส์ และหุ้นดอยช์แบงก์ปรับขึ้นน้อยกว่า
ปัจจัยที่กระตุ้นการฟื้นตัวคือการดีดตัวขึ้นของความสามารถในการทำกำไรของภาคธนาคาร ซึ่งได้แรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นที่ทำให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารเพิ่มมากขึ้น แต่เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยแตะจุดสูงสุดแล้ว นักวิเคราะห์จึงคาดว่า กำไรจะทรงตัว และหลังจากนั้นจะลดลง
ตราสารหนี้ประเภท Additional Tier 1 กลายเป็นประเด็นที่สนใจ เมื่อตราสารหนี้ของเครดิตสวิสมูลค่า 1.6 หมื่นล้านฟรังก์สวิส (1.8 หมื่นล้านดอลลาร์) ถูกตัดมูลค่าให้เหลือศูนย์ตามแผนการช่วยเหลือยูบีเอส ขณะที่ราคาตราสารหนี้ประเภท Additional Tier 1 ของธนาคารอื่นๆดิ่งลงเช่นกัน และบางธนาคารต่ำกว่า 80 และแม้แต่ 60 เซนต์ในปลายเดือนมี.ค. แต่ตราสารหนี้ของธนาคารขนาดใหญ่ก็ฟื้นตัวขึ้นมากนับตั้งแต่นั้นมา
อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์เป็นจุดอ่อนสำหรับธนาคาร โดยราคาชะลอตัวรุนแรง ขณะที่อัตราว่างพุ่งขึ้นมาก และต้นทุนการกู้ที่สูงขึ้นกดดันกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีหนี้สิน และธนาคารของยุโรปมีการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์รวมกัน 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่เอสแอนด์พี โกลบอลคาดว่า สินทรัพย์ของธนาคารยุโรปโดยรวม ยกเว้นอังกฤษ มีมูลค่ารวมเกือบ 28 ล้านล้านยูโรในปีที่แล้ว
การซื้อเครดิต สวิสของยูบีเอสนับเป็นการควบธนาคารที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วิกฤติการเงินปี 2008 ซึ่งธนาคารหลายแห่งในยุโรปและสหรัฐถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องควบรวมกันแบบฉุกเฉิน นอกจากวิกฤติต่างๆแล้ว การควบรวมกิจการของธนาคารขนาดใหญ่ในยุโรปก็แทบไม่เกิดขึ้น โดยเฉพาะดีลข้ามประเทศ อุปสรรคที่ขัดขวางการควบรวมจึงทำให้ธนาคารยุโรปอยู่ในสถานะที่เปราะบางกว่าธนาคารสหรัฐ--จบ--
Eikon source text
บรรดาเฮดฮันเตอร์ และนักการธนาคารเปิดเผยว่า คาดว่าวาณิชธนกิจของชาติตะวันตกในเอเชียจะลดตำแหน่งงานมากขึ้นในปีนี้ ขณะที่แรงกดดันด้านรายได้เพิ่มขึ้นเนื่องจากภาวะปั่นป่วนทางเศรษฐกิจและตลาดที่รุนแรงขึ้นในจีนแม้ขณะที่แนวโน้มการบรรลุดีลในญี่ปุ่นและอินเดียสดใสขึ้นก็ตาม โดยการปลดพนักงานรอบใหม่ที่เริ่มขึ้นในปลายปี 2023 ในจีนและฮ่องกงนั้น จะเพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
สถาบันการเงินโดยเฉลี่ยได้ลดจำนวนพนักงานลงประมาณ 20% ในเอเชียในปีที่แล้ว โดยการลดบางส่วนแตะระดับสูงสุดตั้งแต่วิกฤติการเงินปี 2008 ขณะที่มีวาณิชธนกรกว่า 400 คนตกงานในฮ่องกงที่เดียว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวาณิชธนกรที่เน้นการบรรลุดีลในจีน
ข้อมูลจากแอลเอสอีจีพบว่า รายได้ของวาณิชธนกิจทั่วโลกจากธุรกิจหุ้นที่ได้จากลูกค้าในจีนนั้นดิ่งลงสู่ระดับ 4 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 ร่วงลง 30% จากปี 2022 และการควบรวมกิจการ (M&A) ร่วงลง 16% มาที่ 629 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว ส่วนค่าธรรมเนียมวาณิชธนกิจโดยรวมที่เรียกเก็บโดยธนาคารทั่วโลกในเอเชียแปซิฟิคนั้น ร่วงลง 25% ในปีที่แล้ว จากระดับสูงสุดที่ 4.06 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2021
เพื่อบรรเทาผลกระทบจากภาวะชะลอตัวของจีน นักการธนาคารกำลังหวังว่า การบรรลุดีลจากอินเดียไปจนถึงญี่ปุ่นจะมีส่วนสนับสนุนรายได้เอเชียมากขึ้น แต่พวกเขาก็เตือนว่า รายได้จากค่าธรรมเนียมจะยังคงท้าทายในระยะใกล้
นายราฮุล ซาราฟ หัวหน้าฝ่ายวาณิชธนกิจอินเดียจากซิติกรุ๊ป คาดว่ารายได้จากอินเดียจะเพิ่มขึ้น 15-25% สำหรับธุรกิจนี้ โดยธุรกรรมมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์จำนวนหนึ่งจะหนุนแนวโน้มให้ดีขึ้น "ธนาคารทั้งหมดจะเพิ่มทรัพยากรมาที่อินเดีย แต่ผมก็ไม่คิดว่าจะมีการโยกจากจีนมาที่อินเดีย หรือเกาหลีมาที่อินเดีย"--จบ--
Eikon source text
หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ และตราสารหนี้พุ่งขึ้น ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ในวงกว้างว่า ภาวะตลาดตกต่ำที่เกิดจากภาระหนี้มูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์จะสิ้นสุดลง ทั้งนี้ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) ซึ่งเป็นเจ้าของอาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น ดีดตัวขึ้นสู่ระดับล่าสุดก่อนที่ธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ล้มละลายในเดือนมี.ค.ปีที่แล้ว ซึ่งทำให้เกิดความวิตกว่าจะเกิดภาวะสินเชื่อตึงตัวครั้งใหญ่กับเจ้าของที่ดิน
การพุ่งขึ้นดังกล่าวเกิดขึ้นจากความหวังที่ว่า ธนาคารกลางชั้นนำจะลดอัตราดอกเบี้ยจากระดับสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ ซึ่งช่วยลดแรงกดดันรุนแรงต่อเจ้าของที่ดิน และธนาคารที่ปล่อยกู้ และทำให้มีการคาดการณ์ว่า สิ่งปลูกสร้างต่างๆจะหยุดการสูญเสียมูลค่า
แบล็คร็อค ซึ่งเป็นผู้จัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เปิดเผยในเดือนนี้ว่า ปี 2024 จะเป็น "จุดเข้า" สำหรับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ราคาถูกทั่วโลก ขณะที่ข้อมูลจากลิปเปอร์พบว่า กองทุนอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลกดึงดูดเงินทุนไหล 82.2 ล้านดอลลาร์ในรอบสัปดาห์สิ้้นสุดวันที่ 10 ม.ค. ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดตั้งแต่เดือนก.ย.2021
ข้อมูลจาก MSCI พบว่า ปริมาณการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ในปี 2023 ต่ำกว่าในปี 2022 อยู่กว่า 50% ทั้งในสหรัฐและยุโรป ขณะที่สำนักงานว่างอยู่ที่ 17% ในสหรัฐ และ 14% ในยุโรป อย่างไรก็ดี มีหลักฐานหลายตัวบ่งชี้ว่า ภาวะตกต่ำกำลังดีขึ้น โดยการร่วงลงของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวลง หลังจากที่ร่วงลงมากที่สุดในรอบปีจนถึงเดือนต.ค.2022 นับตั้งแต่วิกฤติการเงินโลกปี 2008
แคปิตอล อีโคโนมิคส์คาดการณ์ว่า ราคาอสังหาริมทรัพย์ในยูโรโซนน่าจะเป็นบวกในปี 2025 ขณะที่สหรัฐจะช้ากว่ามาก โดยราคาจะร่วงลง 10% ในปีนี้ และจะไม่ฟื้นตัวจนกว่าจะถึงปี 2026 ซึ่งเป็นผลจากภาวะความต้องการสำนักงานตกต่ำอย่างรุนแรง--จบ--
Eikon source text
11 ม.ค.--รอยเตอร์
ประเทศที่จะจัดการเลือกตั้งในปีนี้ครอบคลุมจำนวนประชากรรวมกันมากกว่าครึ่งหนึ่งของโลก และครองสัดส่วนสูงกว่า 60% ของผลผลิตทางเศรษฐกิจทั่วโลก ดังนั้นนักลงทุนจึงจับตาดูผลกระทบที่ตลาดการเงินอาจได้รับจากการเลือกตั้งในหลายประเทศในปีนี้ โดยบริษัทมอร์นิงสตาร์ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการทางการเงินระบุว่า ตลาดการเงินเผชิญกับ "แรงระเบิดจากการเลือกตั้ง" และระบุเสริมว่า "ประสบการณ์ในอดีตสอนให้รู้ว่า การเปลี่ยนรัฐบาลครั้งใหญ่อาจจะส่งผลให้มีแรงเทขายเข้ามาในตลาด" ทั้งนี้ การเลือกตั้งในที่แรกที่นักลงทุนจับตามองคือการเลือกตั้งในไต้หวันในวันที่ 13 ม.ค. ซึ่งเป็นการแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีกันระหว่างพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของไต้หวันในปัจจุบัน กับพรรคก๊กมินตั๋ง (KMT) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน ในขณะที่รัฐบาลจีนกล่าวหาพรรค DPP ว่ามีนโยบายแบ่งแยกดินแดน ดังนั้นถ้าหากพรรค DPP ชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน รัฐบาลจีนก็อาจจะพยายามหาทางควบคุมไต้หวันมากยิ่งขึ้น ทางด้านเจ้าหน้าที่สหรัฐระบุว่า จีนไม่มีแนวโน้มที่จะรุกรานไต้หวันในปี 2024 แต่ถ้าหากจีนเข้ารุกรานไต้หวันอย่างเต็มที่ เหตุการณ์ดังกล่าวก็จะก่อให้เกิดหายนะต่อตลาดการเงินทั่วโลก โดยอาจจะส่งผลให้มีการระงับการผลิตชิปขั้นสูง และอาจจะส่งผลให้ผลผลิตทางเศรษฐกิจทั่วโลกลดลง 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี
หลายประเทศในยุโรปจะจัดการเลือกตั้งในปีนี้ ซึ่งรวมถึงโปรตุเกสที่จะจัดการเลือกตั้งในวันที่ 10 มี.ค., เบลเยียมในวันที่ 9 มิ.ย., รัฐสภายุโรปในวันที่ 6-9 มิ.ย., โครเอเชียในฤดูใบไม้ร่วงหรือฤดูหนาวปีนี้, โรมาเนียในเดือนพ.ย. และออสเตรียที่อาจจะจัดการเลือกตั้งในปีนี้ ในขณะที่นักลงทุนกังวลกันว่า พรรคการเมืองฝ่ายขวาจัดที่มีนโยบายต่อต้านอียูอาจจะชนะการเลือกตั้งหรือครองที่นั่งได้มากยิ่งขึ้นในหลายประเทศ โดยเฉพาะในออสเตรียและโปรตุเกส ถึงแม้ว่าพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายยังคงมีแนวโน้มว่าจะชนะการเลือกตั้งในโปรตุเกส ทั้งนี้ ถ้าหากพรรคการเมืองฝ่ายขวาจัดครองที่นั่งได้มากยิ่งขึ้นในยุโรป สถานการณ์ดังกล่าวก็จะสร้างความเสียหายต่อตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรอิตาลี ในขณะที่ส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอิตาลีกับเยอรมนีมักจะปรับตัวผกผันกับค่าเงินยูโร นอกจากนี้ ถ้าหากฝ่ายขวาจัดครองที่นั่งได้มากยิ่งขึ้นในรัฐสภาอียู สิ่งนี้ก็จะสร้างความเสียหายต่อนโยบายสนับสนุนยูเครนและนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศด้วย
จุดที่ 3 ที่นักลงทุนจับตามองคือการเลือกตั้งในรัสเซียในวันที่ 17 มี.ค. ในขณะที่นักลงทุนมั่นใจว่าประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินจะชนะการเลือกตั้งและได้ครองตำแหน่งต่ออีก 6 ปี โดยผลสำรวจความเห็นประชาชนระบุว่า ปธน.ปูตินได้รับคะแนนนิยมสูงกว่า 80% ในรัสเซีย ทางด้านนักลงทุนจับตามองว่า รัฐบาลสหรัฐ, ญี่ปุ่น และประเทศอื่น ๆ ในชาติตะวันตกจะออกมาตรการอายัดสินทรัพย์รัสเซีย ซึ่งรวมถึงเงินสดและพันธบัตรรัฐบาลที่ธนาคารกลางรัสเซียถือครองไว้ในต่างประเทศหรือไม่ ในขณะที่รัฐบาลชาติตะวันตกกำลังพิจารณาเรื่องนี้อยู่ในตอนนี้ ทั้งนี้ จุดที่ 4 ที่นักลงทุนจับตามองคืออินเดีย ซึ่งจะจัดการเลือกตั้งในเดือนเม.ย.-พ.ค. โดยมีแนวโน้มว่านายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมที จากพรรคภารตียชนตา (BJP) ซึ่งเป็นพรรคชาตินิยมฮินดู อาจจะชนะการเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน ทางด้านนักลงทุนจับตามองอินเดียในช่วงนี้ เพราะว่าอินเดียเป็นประเทศผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่ และอินเดียได้ออกมาตรการจำกัดการส่งออกข้าว, ข้าวสาลี และน้ำตาลในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดสินค้าโภคภัณฑ์เป็นอย่างมาก
จุดที่ 5 ที่นักลงทุนจับตามองคือเม็กซิโก ซึ่งจะจัดการเลือกตั้งในวันที่ 2 มิ.ย. โดยมีแนวโน้มว่า คลอเดีย ไชน์บอม อดีตนายกเทศมนตรีกรุงเม็กซิโก ซิตี้ จากพรรคเนชันแนล รีเจเนอเรชัน มูฟเมนท์ (โมเรนา) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล จะชนะการเลือกตั้ง ทางด้านนักลงทุนจับตามองว่า ถ้าหากรัฐบาลใหม่ของเม็กซิโกดำเนินมาตรการใช้จ่ายเงินจำนวนมาก ปัจจัยดังกล่าวก็จะส่งผลให้ค่าเงินเปโซของเม็กซิโกดิ่งลง และจะสร้างความเสียหายต่อพันธบัตรรัฐบาลเม็กซิโกด้วย ทั้งนี้ จุดที่ 6 ที่นักลงทุนจับตามองคือแอฟริกาใต้ ซึ่งจะจัดการเลือกตั้งในเดือนพ.ค.-ส.ค. โดยมีความเป็นไปได้ที่พรรคแอฟริกัน เนชันนัล คองเกรส (ANC) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลในปัจจุบัน อาจจะสูญเสียเสียงข้างมากในรัฐสภาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่นายเนลสัน แมนเดลานำพาพรรคนี้ขึ้นสู่ชัยชนะในปี 1994 เป็นต้นมา ซึ่งถ้าหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นจริง ANC ก็อาจจะต้องร่วมมือกับพรรคพันธมิตรประชาธิปไตยและพรรคเสรีภาพเศรษฐกิจมาร์กซิสต์ในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และการร่วมมือกับพรรคฝ่ายซ้ายแบบนี้อาจจะส่งผลให้งบประมาณรายจ่ายสำหรับนโยบายทางสังคมเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อฐานะการคลังของรัฐและต่อค่าเงินแรนด์ของแอฟริกาใต้
จุดที่ 7 ที่นักลงทุนจับตามองคือการเลือกตั้งในสหรัฐในวันที่ 5 พ.ย. ในขณะที่มีการคาดการณ์กันว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์อาจจะได้รับการเสนอชื่อให้เป็นตัวแทนจากพรรครีพับลิกันในการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และสถานการณ์ดังกล่าวอาจจะส่งผลให้นักลงทุนกังวลว่า อาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่สงบขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่เคยเกิดเหตุการณ์รุนแรงในรัฐสภาสหรัฐหลังการเลือกตั้งเมื่อ 4 ปีก่อน นอกจากนี้ การคาดการณ์เกี่ยวกับผลการเลือกตั้งก็อาจจะส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐแกว่งตัวผันผวนด้วย ทั้งนี้ นักวิเคราะห์กล่าวว่า ถ้าหากพรรคเดโมแครตหรือพรรครีพับลิกันชูนโยบายกีดกันทางการค้า ปัจจัยดังกล่าวก็จะส่งผลให้ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีนทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และจะสร้างความเสียหายต่อตลาดหุ้น และนักวิเคราะห์คาดว่าถ้าหากสหรัฐปรับขึ้นภาษีศุลกากร ปัจจัยดังกล่าวก็จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อปรับสูงขึ้น, ส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น และสร้างความเสียหายต่อค่าเงินหยวน, ยูโร และเปโซของเม็กซิโก นอกจากนี้ ถ้าหากนายทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง เขาก็อาจจะออกนโยบายสนับสนุนการขุดเจาะบ่อน้ำมันในสหรัฐ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันด้วย
จุดที่ 8 ที่นักลงทุนจับตามองคืออังกฤษ ซึ่งอาจจะจัดการเลือกตั้งก่อนสิ้นปีนี้ โดยมีการคาดการณ์กันว่า นายเคียร์ สตาร์เมอร์ ผู้นำพรรคแรงงานซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน อาจจะชนะพรรคอนุรักษ์นิยมได้ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ทั้งนี้ ถ้าหากพรรคแรงงานชนะการเลือกตั้ง นโยบายของพรรคแรงงานก็อาจจะสร้างความเสียหายต่อบริษัทในกลุ่มผู้ก่อสร้างบ้านและกลุ่มพลังงาน นอกจากนี้ พรรคแรงงานก็ต้องการจะกระชับความสัมพันธ์กับอียูด้วย และนโยบายดังกล่าวอาจจะส่งผลบวกต่อค่าเงินปอนด์--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นักเศรษฐศาสตร์จากดอยช์แบงก์คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดอัตราดอกเบี้ยแบบเชิงรุกมากกว่าที่ตลาดคาดไว้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอยเล็กน้อยในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า
พวกเขาคาดว่า เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ย 1.75% ในปีหน้า เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของเฟดอยู่ที่ 5.25%-5.5% นั่นจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยลดลงมาที่ 3.5%-3.75% ภายในปลายปีหน้า อย่างไรก็ดี ข้อมูลของแอลเอสอีจีพบว่า เทรดเดอร์คาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 4.48% ภายในเดือนธ.ค.ปีหน้า
นายเบรตต์ ไรอัน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของดอยช์แบงก์กล่าวว่า ธนาคารคาดว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐจะติดลบ 2 ไตรมาสในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า ซึ่งจะทำให้อัตราว่างงานพุ่งขึ้นค่อนข้างมากสู่ระดับ 4.6% ภายในกลางปีหน้า จาก 3.9% ในขณะนี้ "เราคาดว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า ซึ่งจะส่งผลให้มีการลดอัตราดอกเบี้ยแบบเชิงรุกมากขึ้น โดยจะเริ่มตั้งแต่กลางปีหน้า" และธนาคารยังคาดว่า ภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจจะลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ
ธนาคารคาดว่า จะมีการลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% เบื้องต้นในการประชุมในเดือนมิ.ย.ปีหน้า ตามมาด้วยการลดดอกเบี้ยอีก 1.25% ในช่วงที่เหลือของปีหน้า
เศรษฐกิจสหรัฐดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยที่คาดไว้ได้ แม้ขณะที่เฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 5.25% มาตั้งแต่เดือนมี.ค.ปีที่แล้วก็ตาม และนายไรอันกล่าวว่า "ถ้าสิ่งต่างๆดีขึ้นอีกครั้งในอนาคต เฟดก็จะลดดอกเบี้ยน้อยลง"--จบ--
Eikon source text
นักวิเคราะห์ธนาคารยูบีเอสคาดว่า สินทรัพย์ตลาดเกิดใหม่อาจจะปรับตัวย่ำแย่ในช่วงเริ่มต้นปี 2024 ก่อนที่จะปรับตัวดีขึ้น และปิดพุ่งขึ้นมากกว่าประเทศพัฒนาแล้วชั้นนำในช่วงปลายปีหน้า
พวกเขาคาดว่า ตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่จะให้ผลตอบแทน 8-10% ในปีหน้า, หุ้นตลาดเกิดใหม่จะให้ผลตอบแทน 6-8% และสกุลเงินตลาดเกิดใหม่จะให้ผลตอบแทน 1-3%
"เนื่องด้วยค่าประกันความเสี่ยงถูกควบคุมไว้แล้ว เราจึงคิดว่า แม้แต่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเล็กน้อยของสหรัฐก็สามารถทำให้สินทรัพย์ตลาดเกิดใหม่ปรับตัวลงได้" และนั่นก็จะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลดอัตราดอกเบี้ยด้วย ซึ่งก็อาจจะทำให้ต้นทุนการกู้ทั่วโลกลดลง
ยูบีเอสคาดว่า อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ "จะลดลงอย่างมีความหมาย" ในปีหน้า และจะปิดปีหน้าในกรอบ 2.50-2.75% ซึ่งต่ำกว่าระดับที่วาณิชธนกิจชั้นนำหลายแห่งคาดการณ์ไว้อย่างมาก
นักวิเคราะห์ระบุว่า "สินทรัพย์ตลาดเกิดใหม่ส่วนใหญ่อยู่ในสถานะ 'สงบนิ่ง' ในปีนี้ แม้มีแรงกดดันต่อเนื่องจากผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และตลาดที่อยู่อาศัยของจีนก็ตาม และเราคาดว่าปีหน้าจะเป็นปีที่ดีขึ้นสำหรับตลาดเกิดใหม่ เนื่องจากอุปสรรคจากเฟดหายไป และส่วนต่างการขยายตัวก็ดีขึ้นตามวัฏจักร แต่เราก็ไม่คาดว่า นี่จะผ่านไปได้ง่ายๆ"--จบ--
Eikon source text
ประธานธนาคารชั้นนำของโลกเปิดเผยว่า พวกเขากังวลว่า วิกฤติครั้งต่อไปของภาคการเงินอาจจะมาจากความไม่แน่นอนมากขึ้นเกี่ยวกับสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งอาจจะทดสอบการฟื้นตัวของตลาดการเงิน ขณะที่ภาคการเงินยังคงเปราะบางต่อการปรับกฎระเบียบให้เข้มงวดขึ้น
นายเจมส์ กอร์แมน ประธานและซีอีโอของมอร์แกน สแตนเลย์กล่าวว่า ปัจจัยที่จะกระตุ้นให้เกิดวิกฤติการเงินโลกครั้งต่อไปอาจจะมาจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ หรือทางการเมือง "ความท้าทายต่อประชาธิปไตยในบางประเทศทั่วโลกค่อนข้างเห็นชัดเจน"
ความเห็นดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่ความขัดแย้งอิสราเอล-ฮามาสเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ขณะที่สงครามรัสเซีย-ยูเครนยังยืดเยื้อ และสถานการณ์จีน-สหรัฐยังคงตึงเครียดมากขึ้น แม้มีความพยายามดึงให้ผู้นำของสองประเทศใกล้ชิดกันมากขึ้นก็ตาม
นายคริสเตียน ซิววิ่ง ซีอีโอดอยช์แบงก์กล่าวว่า ตลาดฟื้นตัวได้ไว แม้เกิดเหตุการณ์ทั่วโลก แต่ความสงบนิ่งมีความเปราะบางต่อความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์ใหม่
ด้านนายเดวิด โซโลมอน ซีอีโอโกลด์แมน แซคส์กล่าวว่า "ขณะที่เราต้องการให้ระบบการเงินปลอดภัยและแข็งแกร่ง แต่ผมคิดว่า การคุมเข้มกฎระเบียบภาคธนาคารนั้นมากเกินไป และถ้านำมาปฏิบัติ วิธีที่กฎเหล่านี้ถูกจัดทำ นั่นเป็นการสร้างความตึงตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมที่มีนัยสำคัญต่อระบบในขณะที่ผมไม่คิดว่า นั่นเป็นผลประโยชน์ที่ดีที่สุดด้านกิจกรรมและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ"--จบ--
Eikon source text
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน