ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
เพื่อเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็วและติดตามตลาดโฟกัสใน 15 นาที
ในโลกของมนุษยชาติ จะไม่มีคำกล่าวใด ๆ ที่ไม่มีจุดยืนใด ๆ หรือคำพูดใด ๆ ที่ไม่มีจุดประสงค์ใด ๆ
อัตราเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน และเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจเชิงนโยบายของธนาคารกลาง ทัศนคติและคำพูดของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยังมีอิทธิพลต่อการกระทำของเทรดเดอร์ในตลาดอีกด้วย
เงินทำให้โลกหมุนไป และสกุลเงินเป็นสินค้าถาวร ตลาดฟอเร็กซ์เต็มไปด้วยความประหลาดใจและความคาดหวัง
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
เพลิดเพลินกับกิจกรรมที่น่าตื่นเต้น ที่นี่ที่ FastBull
ข่าวด่วนล่าสุดและเหตุการณ์ทางการเงินทั่วโลก
ฉันมีประสบการณ์ 5 ปีในการวิเคราะห์ทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนามหภาคและการตัดสินแนวโน้มระยะกลางและระยะยาว ความสนใจของฉันอยู่ที่การพัฒนาของตะวันออกกลาง ตลาดเกิดใหม่ ถ่านหิน ข้าวสาลี และสินค้าเกษตรอื่นๆ
7 ปีของตลาดหุ้น การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โลหะมีค่า และประสบการณ์การซื้อขายและการวิเคราะห์อื่น ๆ โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐาน การสนับสนุนทางเทคนิค มีอคติต่อตรรกะธุรกรรมจากบนลงล่าง โดยเน้นที่วัฏจักรมหภาคและการควบคุมความเสี่ยง การคาดการณ์เชิงทฤษฎีอุปสงค์และอุปทานอเนกประสงค์ การเปลี่ยนแปลงของราคา สร้างสมดุลระหว่างผลกระทบของธุรกรรม การกระจายชิปและอารมณ์ตลาด และคงที่
อัปเดตล่าสุด
สร้างทัศนคติการลงทุนที่ดี
วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ปรัชญาการลงทุนของเขาประกอบด้วยการสร้างกรอบความคิดระยะยาว ขจัดญาณรบกวนของตลาด ไม่เก็งกำไร และเน้นย้ำว่าการลงทุนต้องมีมีจิตใจที่มั่นคงและเป้าหมายที่ชัดเจน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง
แม้ว่าระบบกฎหมายและกรอบการกำกับดูแลในฮ่องกงจะค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ตลาดหุ้นยังคงเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายพิเศษหลายประการ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่าง HKD และ USD นักลงทุนต่างชาติอาจเผชิญกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความผันผวนของนโยบายและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นฮ่องกงด้วย
โครงสร้างต้นทุนและภาษีเมื่อลงทุนในหุ้นฮ่องกง
ต้นทุนการซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมหุ้น ค่าอากรแสตมป์ ค่าธรรมเนียมการชำระบัญชี ฯลฯ สำหรับนักลงทุนต่างชาติอาจมีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินเพิ่มเติมเป็นดอลลาร์ฮ่องกงและภาษีอื่น ๆ ตามข้อบังคับท้องถิ่น
การวิเคราะห์อุตสาหกรรมฮ่องกง:อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็น
อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็นของฮ่องกง ได้แก่ รถยนต์ การศึกษา การท่องเที่ยว การจัดเลี้ยง เครื่องแต่งกาย และภาคส่วนอื่นๆ อีกมากมาย จากบริษัทจดทะเบียน 643 แห่งนั้น 35% เป็นบริษัทในจีนแผ่นดินใหญ่และคิดเป็น 65% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด ดังนั้นอุตสาหกรรมนี้จึงได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากเศรษฐกิจจีน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด
ไม่มีข้อมูล
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม
สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
วอชิงตัน--31 ม.ค.--รอยเตอร์
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจตำแหน่งงานว่างและการเข้า-ออกงาน (JOLTS) ในวันอังคาร โดยระบุว่า ยอดเปิดรับสมัครงานในสหรัฐพุ่งขึ้น 101,000 ตำแหน่ง สู่ 9.026 ล้านตำแหน่งในวันสุดท้ายของเดือนธ.ค. โดยทะยานขึ้นจาก 8.925 ล้านตำแหน่งในเดือนพ.ย. โดยตัวเลขของเดือนพ.ย.นี้ได้รับการปรับทบทวนขึ้นจากระดับ 8.79 ล้านตำแหน่งที่เคยรายงานไว้ในครั้งแรกด้วย และสิ่งนี้บ่งชี้ว่า ตลาดแรงงานสหรัฐอาจจะอยู่ในภาวะที่แข็งแกร่งมากเกินไป และปัจจัยดังกล่าวอาจจะเป็นอุปสรรคขัดขวางธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในไตรมาสแรกของปีนี้ โดยก่อนหน้านี้ยอดเปิดรับสมัครงานในสหรัฐเคยพุ่งขึ้นแตะสถิติสูงสุดที่ 12.0 ล้านตำแหน่งในเดือนมี.ค. 2022 และสามารถรักษาระดับความแข็งแกร่งไว้ได้เป็นอย่างดีในช่วงที่ผ่านมา ถึงแม้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาแล้ว 5.25% นับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2022 ทั้งนี้ อัตราการเปิดรับสมัครงานในสหรัฐทรงตัวที่ 5.4% ในเดือนธ.ค. ในขณะที่สัดส่วนตำแหน่งงานว่างต่อคนว่างงานอยู่ที่ 1.44 ตำแหน่งต่อคนว่างงานหนึ่งคนในเดือนธ.ค. ซึ่งเท่ากับระดับในเดือนพ.ย. แต่ดิ่งลงจากสัดส่วนตำแหน่งงานว่าง 2 ตำแหน่งต่อคนว่างงานหนึ่งคนที่เคยทำไว้ในเดือนมี.ค. 2022
มีสัญญาณบ่งชี้ว่า ตลาดแรงงานสหรัฐชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปด้วยเช่นกัน เพราะว่ายอดการลาออกจากงานในสหรัฐดิ่งลง 132,000 คน สู่ 3.392 ล้านคนในเดือนธ.ค. ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2021 หรือจุดต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปี และถือเป็นการรูดลงเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน ในขณะที่อัตราการลาออกจากงาน ซึ่งถือเป็นมาตรวัดความเชื่อมั่นในตลาดแรงงาน ทรงตัวที่ 2.2% ในเดือนธ.ค. โดยยอดการลาออกจากงานในสหรัฐนี้ได้รับแรงกดดันจากยอดการลาออกจากงานในภาคการแพทย์และสังคมสงเคราะห์ที่รูดลง 71,000 คนในเดือนธ.ค. ทั้งนี้ อัตราการลาออกจากงานที่ระดับต่ำบ่งชี้ว่า ค่าแรงจะชะลอการปรับขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐชะลอตัวลงตามไปด้วย
ยอดการเปิดรับสมัครงานในภาคบริการธุรกิจและวิชาชีพพุ่งขึ้น 239,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. และยอดการเปิดรับสมัครงานก็ทะยานขึ้นในภาคโรงงาน, ภาคการค้าปลีก, ภาคการแพทย์กับสังคมสงเคราะห์ และภาคกิจกรรมทางการเงินด้วย อย่างไรก็ดี ยอดการเปิดรับสมัครงานในภาคบริการอาหารและที่พักดิ่งลง 121,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. และยอดการเปิดรับสมัครงานในภาคการค้าส่งรูดลง 83,000 ตำแหน่ง ทั้งนี้ ยอดการจ้างพนักงานใหม่ในสหรัฐปรับขึ้น 67,000 ตำแหน่ง สู่ 5.621 ล้านตำแหน่งในเดือนธ.ค. โดยได้รับแรงหนุนจากยอดการจ้างพนักงานใหม่ในภาคบริการธุรกิจและวิชาชีพ, ภาคบริการอาหารและที่พัก และภาครัฐบาลระดับรัฐกับรัฐบาลท้องถิ่น อย่างไรก็ดี ยอดการจ้างพนักงานใหม่ในภาคการแพทย์กับสังคมสงเคราะห์ดิ่งลง 119,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. ในขณะที่อัตราการจ้างพนักงานใหม่ในสหรัฐปรับขึ้นจาก 3.5% ในเดือนพ.ย. สู่ 3.6% ในเดือนธ.ค.
ยอดการปลดพนักงานออกในสหรัฐพุ่งขึ้น 85,000 คน สู่ 1.616 ล้านคนในเดือนธ.ค. โดยได้รับแรงหนุนยอดการปลดพนักงานออกในภาคการขนส่ง, โกดังสินค้า กับสาธารณูปโภค โดยบริษัทยูไนเต็ด พาร์เซล เซอร์วิส (UPS) ของสหรัฐเพิ่งประกาศในวันอังคารว่า ทางบริษัทวางแผนจะปลดพนักงานออก 12,000 ตำแหน่ง ทางด้านอัตราการปลดพนักงานออกทรงตัวที่ 1.0% ในเดือนธ.ค.เป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน ในขณะที่บริษัทสหรัฐส่วนใหญ่ยังคงกักตุนคนงานไว้ หลังจากที่ทางบริษัทเคยประสบความยากลำบากในการหาพนักงานใหม่หลังเกิดวิกฤติโรคระบาด
กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขการจ้างงานเดือนม.ค.ในวันศุกร์นี้ โดยโพลล์รอยเตอร์คาดว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตรในสหรัฐอาจเพิ่มขึ้น 180,000 ตำแหน่งในเดือนม.ค. หลังจากพุ่งขึ้น 216,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. ส่วนอัตราการว่างงานอาจปรับขึ้นจาก 3.7% ในเดือนธ.ค. สู่ 3.8% ในเดือนม.ค.--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินส่วนใหญ่ท่ามกลางภาวะซื้อขายผันผวนในวันพฤหัสบดี โดยได้แรงหนุนจากข้อมูลตลาดแรงงานที่ดีเกินคาด ซึ่งลดการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งในปีนี้ ทั้งนี้ รายงานการจ้างงานแห่งชาติของเอดีพีพบว่า การจ้างงานในภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 164,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นรายเดือนมากที่สุดตั้งแต่เดือนส.ค. และมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 115,000 ตำแหน่ง ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 18,000 ราย สู่ระดับ 202,000 รายในรอบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 30 ธ.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 216,000 ราย Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 102.430 ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี
เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 102.40 ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ
หลังจากแข็งค่าแตะระดับสูงสุดรอบ 2 สัปดาห์ในวันพุธ
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 144.62 เยนในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี แข็งค่าขึ้นจากระดับ 143.29
ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยดอลลาร์แข็งค่าสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ และปรับตัวขึ้น 3
วันติดต่อกันแล้ว
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0943 ดอลลาร์ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี แข็งค่าขึ้นจากระดับ
1.0921 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพุธ เนื่องจากข้อมูลอัตราเงินเฟ้อในยุโรปเพิ่มขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อในฝรั่งเศสเพิ่มขึ้นตามคาดในเดือนธ.ค.ส่วนอัตราเงินเฟ้อในเยอรมนีเพิ่มขึ้น มาที่ 3.7% ในเดือนธ.ค. จาก 3.2% ในเดือนพ.ย.
ดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq ปิดลดลงในวันพฤหัสบดี โดยปรับตัวลงต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี แต่ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกเล็กน้อยเนื่องจากหุ้นกลุ่มการเงิน และข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่ง โดยดัชนี S&P 500 ร่วงลง 3 วันติดต่อกันแล้ว ซึ่งนับเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2015 เนื่องจากนักลงทุนยังคงขายทำกำไรออกมา หลังการพุ่งขึ้นมากในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปีที่แล้ว นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะยาวทำให้เทรดเดอร์ขายหุ้นกลุ่มเติบโต และเข้าซื้อหุ้นกลุ่มอื่นๆแทน
Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดเพิ่มขึ้น 0.03% ที่ 37,440.34
ดัชนี S&P 500 ปิดลดลง 0.34% ที่ 4,688.68
ดัชนี Nasdaq ปิดบวก 0.56% สู่ 14,510.3
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ปิดลดลงท่ามกลางภาวะซื้อขายผันผวนในวันพฤหัสบดี ขณะที่ปริมาณสต็อกน้ำมันเบนซิน และน้ำมันกลั่นที่เพิ่มขึ้นมากได้บดบังปริมาณสต็อกน้ำมันดิบที่ลดลงมากเกินคาด โดยสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐรายงานว่า สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 10.9 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 237 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นเทียบรายสัปดาห์มากที่สุดในรอบกว่า 30 ปี ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 10.1 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 125.9 ล้านบาร์เรล แต่สต็อกน้ำมันดิบลดลง 5.5 ล้านบาร์เรล Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนก.พ.ปิดลดลง 0.51 ดอลลาร์ หรือ 0.7% ที่ 72.19 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมี.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนปิดลดลง 0.66 ดอลลาร์ หรือ 0.8% ที่ 77.59 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐทรงตัวในวันพฤหัสบดี หลังจากร่วงลง 4 วัน ขณะที่นักลงทุนรอดูข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐ ซึ่งอาจมีอิทธิพลต่อแนวทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดยราคาทองสปอตบวก 0.2% มาที่ 2,044.39 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยนายจิม วิคออฟ นักวิเคราะห์อาวุโสจากคิทโก เมทัลส์กล่าวว่า "นักลงทุนในตลาดทองต้องการปัจจัยกระตุ้นใหม่เพื่อกระตุ้นให้ราคาพุ่งขึ้น แต่ถ้าข้อมูลการจ้างงานออกมาแข็งแกร่งขึ้น นั่นก็จะลดแรงกดดันต่อราคาไปได้บ้าง และอาจจะลดการคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของเฟด" Eikon source text
--จบ--
วอชิงตัน--27 ต.ค.--รอยเตอร์
สำนักงานวิเคราะห์เศรษฐกิจในกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐเพิ่มขึ้น 4.9% ในไตรมาสสามเมื่อเทียบเป็นตัวเลขเต็มปี (annualized) ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4/2021 หรือสูงที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ +4.3% โดยอัตราการเติบโตในไตรมาสสามนี้เร่งตัวขึ้นจาก 2.1% ในไตรมาสสอง และอยู่สูงกว่าอัตราการเติบโตศักยภาพ หรืออัตราการเติบโตที่จะไม่กระตุ้นให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ โดยเจ้าหน้าที่เฟดคาดว่าอัตราการเติบโตศักยภาพนี้อยู่ที่ราว 1.8% ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐได้รับแรงหนุนจากปัจจัยบวกต่าง ๆ ในไตรมาสสาม ซึ่งรวมถึงตลาดแรงงานที่ตึงตัว เพราะปัจจัยนี้ส่งผลให้ค่าแรงปรับสูงขึ้น และสิ่งนี้ช่วยกระตุ้นปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค ส่วนปัจจัยบวกอื่น ๆ รวมถึงการที่ภาคธุรกิจปรับเพิ่มสต็อกสินค้าคงคลังอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง และการลงทุนในภาคที่อยู่อาศัยที่ฟื้นตัวขึ้นในไตรมาสสาม หลังจากหดตัวลงมานาน 9 ไตรมาสติดต่อกัน โดยการลงทุนในภาคที่อยู่อาศัยพุ่งขึ้น 3.9% ในไตรมาสสาม หลังจากดิ่งลง 2.2% ในไตรมาสสอง และรูดลง 5.3% ในไตรมาสแรก
รายจ่ายภาครัฐบาลปรับขึ้นในไตรมาสสาม แต่การลงทุนทางธุรกิจในสหรัฐปรับลดลง 0.1% ในไตรมาสสาม ซึ่งถือเป็นการปรับลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี หลังจากพุ่งขึ้น 7.4% ในไตรมาสสอง ในขณะที่การลงทุนในอุปกรณ์ซึ่งรวมถึงคอมพิวเตอร์ดิ่งลง 3.8% ในไตรมาสสาม หลังจากพุ่งขึ้น 7.7% ในไตรมาสสอง และการก่อสร้างโรงงานและสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ในภาคธุรกิจชะลอตัวลง โดยการลงทุนในส่วนนี้ปรับขึ้นเพียง 1.6% ในไตรมาสสาม หลังจากทะยานขึ้น 16.1% ในไตรมาสสอง โดยการลงทุนก่อสร้างโรงงานเคยได้รับแรงหนุนในช่วงก่อนหน้านี้จากนโยบายของรัฐบาลสหรัฐภายใต้ประธานาธิบดีโจ ไบเดนที่กระตุ้นให้มีการก่อสร้างโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในสหรัฐ ทั้งนี้ มีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะไม่สามารถรักษาอัตราการเติบโตที่สูงมากในไตรมาสสามได้ต่อไปอย่างยั่งยืน เพราะว่าเศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาสสี่มีแนวโน้มว่าจะได้รับแรงกดดันจากปัจจัยหลายประการ ซึ่งรวมถึงการผละงานประท้วงของคนงานโรงงานรถยนต์ในสหรัฐ, ผลกระทบที่ล่าช้าจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาแล้วรวมกัน 5.25% นับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2022 เป็นต้นมา และการที่ชาวสหรัฐหลายล้านคนเริ่มกลับมาชำระหนี้การศึกษาอีกครั้งในเดือนต.ค. โดยนักเศรษฐศาสตร์ประเมินว่ายอดชำระหนี้ดังกล่าวอยู่ที่ราว 7.0 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 0.3% ของรายได้ส่วนบุคคลสุทธิ
รายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐแสดงให้เห็นว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานชะลอตัวลงอย่างมากในไตรมาสสามด้วย โดยดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน ปรับขึ้นเพียง 2.4% ในไตรมาสสาม ซึ่งถือเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4/2020 เป็นต้นมา และชะลอตัวลงจาก 3.7% ในไตรมาสสอง และ 5.0% ในไตรมาสแรก โดยเฟดใช้ดัชนี PCE พื้นฐานเป็นมาตรวัดภาวะเงินเฟ้อ ทั้งนี้ ปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค ซึ่งครองสัดส่วนสูงกว่า 2 ใน 3 ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในสหรัฐ พุ่งขึ้น 4.0% ในไตรมาสสาม หลังจากปรับขึ้นเพียง 0.8% ในไตรมาสสอง โดยปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคส่งผลบวก 2.69% ต่ออัตราการเติบโตของจีดีพีในไตรมาสสาม ในขณะที่การใช้จ่ายทั้งในภาคสินค้าและภาคบริการต่างก็ส่งผลบวกต่อจีดีพีด้วยเช่นกัน โดยการใช้จ่ายในภาคบริการส่งผลบวก 1.6% ต่อจีดีพี, การใช้จ่ายซื้อสินค้าคงทนส่งผลบวก 0.6% ต่อจีดีพี และการใช้จ่ายในสินค้าไม่คงทนส่งผลบวก 0.5% ต่ออัตราการเติบโตของจีดีพีในไตรมาสสาม
การใช้จ่ายภาครัฐบาลส่งผลบวก 0.8% ต่ออัตราการเติบโตของจีดีพีในไตรมาสสาม, การลงทุนถาวรส่งผลบวก 0.2% และสต็อกสินค้าคงคลังภาคเอกชนส่งผลบวก 1.32% ต่อจีดีพี อย่างไรก็ดี ภาคการค้าส่งผลลบสุทธิต่อจีดีพี ในขณะที่ยอดนำเข้าส่งผลลบ 0.8% ต่อจีดีพี และยอดส่งออกส่งผลบวก 0.7% ต่อจีดีพีในไตรมาสสาม ทั้งนี้ สต็อกสินค้าคงคลังในสหรัฐพุ่งขึ้น 8.06 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาสสาม แต่ภาคธุรกิจปรับเพิ่มสต็อกสินค้าคงคลังโดยพึ่งพาการนำเข้า และส่งผลให้สหรัฐขาดดุลการค้าเล็กน้อย ซึ่งส่งผลลบเล็กน้อยต่อจีดีพี ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐที่ไม่รวมภาคการค้าและสต็อกสินค้าคงคลังเติบโต 3.5% ในไตรมาสสาม
ค่าแรงชะลอการปรับขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่ยังคงปรับขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าอัตราเงินเฟ้อ และปัจจัยนี้ส่งผลบวกต่อกำลังซื้อของภาคครัวเรือน อย่างไรก็ดี ภาษีส่วนบุคคลปรับเพิ่มขึ้นในไตรมาสสาม และปัจจัยนี้ส่งผลให้รายได้สุทธิของภาคครัวเรือนหลังหักภาษีร่วงลง 1.0% ดังนั้นผู้บริโภคจึงนำเงินออมออกมาใช้จ่าย และส่งผลให้อัตราการออมเงินดิ่งลงสู่ 3.8% ในไตรมาสสาม จาก 5.2% ในไตรมาสสอง ทางด้านนักเศรษฐศาสตร์ประเมินว่า เงินออมส่วนเกินที่ชาวสหรัฐเคยเก็บสะสมไว้ในช่วงที่เกิดวิกฤติโรคระบาดอาจจะหมดลงภายในไตรมาสแรกของปี 2024--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--9 ส.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับลงในวันอังคาร หลังจากมีข่าวว่าบริษัทมูดี้ส์ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารขนาดเล็กถึงขนาดกลางหลายแห่งของสหรัฐ และระบุว่าอาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือธนาคารที่ใหญ่ที่สุดบางแห่งของสหรัฐลงด้วย โดยมูดี้ส์เตือนว่า ความแข็งแกร่งด้านความน่าเชื่อถือของภาคธนาคารอาจจะถูกทดสอบจากความเสี่ยงด้านการระดมทุน และความสามารถในการทำกำไรที่ลดลง ทั้งนี้ มูดี้ส์ลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคาร 10 แห่งลง 1 ขั้น และประกาศทบทวนโดยมีแนวโน้มปรับลดลงสำหรับธนาคารขนาดใหญ่อีก 6 แห่ง อาทิ แบงก์ ออฟ นิวยอร์ค เมลลอน, ยูเอส แบนคอร์ป, สเตท สตรีท และทรูอิสต์ ไฟแนนเชียล โดยข่าวนี้ทำให้นักลงทุนกังวลกับสถานะของภาคธนาคารสหรัฐและเศรษฐกิจสหรัฐ ทางด้านหุ้นธนาคารโกลด์แมน แซคส์และแบงก์ ออฟ อเมริกาดิ่งลงราว 1.9%, หุ้นแบงก์ ออฟ นิวยอร์ค เมลลอนรูดลง 1.3% และหุ้นทรูอิสต์ร่วงลง 0.6% ในวันอังคาร
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับลง 0.45% สู่ 35,314.49, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.42% สู่ 4,499.38 และดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลง 0.79% สู่ 13,884.32 ในวันอังคาร โดยดัชนี S&P ดิ่งลงมาแล้ว 2% จากช่วงต้นเดือนส.ค. ส่วน Nasdaq รูดลงมาแล้ว 3.2% จากช่วงต้นเดือนนี้ ในขณะที่ดัชนีทั้งสองตัวนี้ปิดตลาดในแดนลบเป็นจำนวน 5 วันในช่วง 6 วันทำการที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ดัชนีทั้งสองตัวนี้เพิ่งพุ่งขึ้นในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา และอยู่ห่างจากสถิติสูงสุดไม่มากนัก
หุ้น 8 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดในแดนลบในวันอังคาร โดยหุ้นกลุ่มที่ดิ่งลงอย่างรุนแรงรวมถึงหุ้นกลุ่มวัสดุ, หุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย และหุ้นกลุ่มการเงิน ในขณะที่ดัชนี KBW สำหรับหุ้นกลุ่มธนาคารระดับภูมิภาคของสหรัฐดิ่งลง 1.4% และดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐรูดลง 1.1% ในวันอังคาร โดยดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารดิ่งลงมาแล้ว 2.5% จากช่วงต้นปีนี้ โดยได้รับแรงกดดันจากวิกฤติภาคธนาคารในช่วงต้นปีนี้ ซึ่งสวนทางกับดัชนี S&P 500 ที่พุ่งขึ้นมาแล้ว 17.2% จากช่วงต้นปีนี้ ทั้งนี้ ข่าวเรื่องการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในภาคธนาคารส่งผลให้ดัชนีความผันผวน CBOE หรือดัชนี VIX ที่ใช้วัดระดับความกังวลในตลาดหุ้นสหรัฐ พุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 2 เดือนในระหว่างช่วงการซื้อขายวันอังคาร
ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานของสหรัฐร่วงลงในช่วงแรก โดยได้รับแรงกดดันจากตัวเลขภาคการค้าที่น่าผิดหวังของจีน อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานปรับขึ้นมาปิดตลาดบวกขึ้น 0.5% ในวันอังคาร โดยได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน
หุ้นกลุ่มการแพทย์พุ่งขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นบริษัทอีไล ลิลลีที่ทะยานขึ้น 14.9% สู่สถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ หลังจากทางบริษัทเปิดเผยผลกำไรรายไตรมาสที่สดใส นอกจากนี้ หุ้นบริษัทผู้ผลิตยาทั่วโลกก็ได้รับแรงหนุนจากข่าวเกี่ยวกับบริษัทโนโว นอร์ดิสก์ของเดนมาร์กด้วย หลังจากโนโว นอร์ดิสก์ประกาศว่า ยา Wegovy ที่ใช้รักษาโรคอ้วนของทางบริษัทช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจ ทั้งนี้ หุ้นยูไนเต็ด พาร์เซล เซอร์วิส (UPS) ซึ่งเป็นบริษัทขนส่งพัสดุ ร่วงลง 0.9% หลังจาก UPS ปรับลดคาดการณ์รายได้ประจำปี--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--19 มิ.ย.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับลงในวันศุกร์ตามหุ้นบริษัทไมโครซอฟท์และหุ้นบริษัทขนาดใหญ่แห่งอื่น ๆ หลังจากเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) 2 คนแสดงความเห็นแบบสายเหยี่ยว ซึ่งสวนทางกับการคาดการณ์ของนักลงทุนในช่วงก่อนหน้านี้ที่ว่า เฟดอาจใกล้ที่จะยุติวัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ หุ้นไมโครซอฟท์ดิ่งลง 1.7% ในวันศุกร์ หลังจากเพิ่งทำสถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ในวันพฤหัสบดี ส่วนหุ้นอะเมซอนดอทคอมรูดลง 1.3% ในวันศุกร์ ในขณะที่หน่วยงานควบคุมกฎระเบียบด้านการแข่งขันของอังกฤษอนุมัติแผนการขนาด 1.7 พันล้านดอลลาร์ของอะเมซอนในการเข้าซื้อกิจการบริษัทไอโรบอท คอร์ป ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องดูดฝุ่น โดยหุ้นไอโรบอทพุ่งขึ้น 21%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับลง 0.32% สู่ 34,299.12, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.37% สู่ 4,409.59 หลังจากเพิ่งปิดตลาดที่ระดับปิดสูงสุดรอบ 14 เดือนในวันพฤหัสบดี ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลง 0.68% สู่ 13,689.57 หลังจากเพิ่งปิดตลาดที่ระดับปิดสูงสุดรอบ 14 เดือนในวันพฤหัสบดี ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้น 1.2% จากสัปดาห์ที่แล้ว, ดัชนี S&P 500 ทะยานขึ้น 2.6% ในสัปดาห์นี้ และปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนบวกเป็นสัปดาห์ที่ 5 ติดต่อกัน ส่วนดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 3.2% ในสัปดาห์นี้ ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนบวกเป็นสัปดาห์ที่ 8 ติดต่อกัน และระยะ 8 สัปดาห์นี้ถือว่ายาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2019
เทรดเดอร์คาดว่า มีโอกาส 69.2% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. แต่เฟดอาจจะหยุดพักจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงหลังจากนั้น และเทรดเดอร์คาดว่ามีความเป็นไปได้ที่เฟดอาจจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนธ.ค. อย่างไรก็ดี ผู้กำหนดนโยบายของเฟดส่งสัญญาณแบบสายเหยี่ยวในวันศุกร์ โดยนายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ หนึ่งในผู้ว่าการเฟดกล่าวเตือนว่า "อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานไม่ได้ชะลอตัวลงตามแบบที่ผมเคยคาดไว้" ส่วนนายโธมัส บาร์คิน ประธานเฟดสาขาริชมอนด์กล่าวว่า เขายอมรับได้กับการที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป เพราะว่าอัตราเงินเฟ้อยังไม่ได้มีแนวโน้มว่าะชะลอตัวลงสู่ 2%
มหาวิทยาลัยมิชิแกนรายงานในวันศุกร์ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้นจาก 59.2 ในเดือนพ.ค. สู่ 63.9 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดรอบ 4 เดือน ในขณะที่ผู้บริโภคคาดว่า อัตราเงินเฟ้อสหรัฐในช่วง 1 ปีข้างหน้าจะอยู่ที่ 3.3% ซึ่งถือเป็นตัวเลขคาดการณ์ที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2021 หรือต่ำที่สุดในรอบกว่า 2 ปี โดยตัวเลขคาดการณ์ใหม่นี้ดิ่งลงจาก 4.2% ที่เคยคาดไว้ในเดือนพ.ค. นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังคาดการณ์อีกด้วยว่า อัตราเงินเฟ้อสหรัฐในอีก 5 ปีข้างหน้าจะอยู่ที่ 3.0% โดยขยับลงจาก 3.1% ที่เคยคาดไว้ในเดือนพ.ค. โดยตัวเลขคาดการณ์นี้เคลื่อนตัวอยู่ในกรอบ 2.9-3.1% มาเป็นเวลานานถึง 22 เดือนในช่วง 23 เดือนที่ผ่านมา
หุ้น 8 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดในแดนลบในวันศุกร์ โดยดัชนีหุ้นกลุ่มบริการการสื่อสารดิ่งลง 1% และถือเป็นกลุ่มที่ดิ่งลงมากที่สุด ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) ร่วงลง 0.83% และถือเป็นกลุ่มที่ปรับลงมากเป็นอันดับสอง ทั้งนี้ หุ้นเอ็นวิเดียขยับขึ้น 0.1% หลังจากธนาคารมอร์แกน สแตนเลย์ปรับขึ้นราคาเป้าหมายของหุ้นเอ็นวิเดีย และระบุว่าหุ้นเอ็นวิเดียถือเป็น top pick ในบรรดาหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐ--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--27 เม.ย.--รอยเตอร์
ดัชนี Nasdaq ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกขึ้นเล็กน้อยในวันพุธ หลังจากบริษัทไมโครซอฟท์ คอร์ปเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และปัจจัยดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อย่างไรก็ดี ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์และดัชนี S&P 500 ปรับลงในวันพุธ เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลกับความอ่อนแอของเศรษฐกิจสหรัฐและวิกฤติภาคธนาคาร ทั้งนี้ หุ้นไมโครซอฟท์พุ่งขึ้น 7.2% หลังจากไมโครซอฟท์เปิดเผยยอดขายและผลกำไรรายไตรมาสที่แข็งแกร่ง ซึ่งรวมถึงยอดขายผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยผลประกอบการของไมโครซอฟท์ช่วยหนุนหุ้นตัวอื่น ๆ ในกลุ่มเทคโนโลยีให้พุ่งขึ้นด้วย ซึ่งรวมถึงหุ้นอะเมซอนดอทคอมที่พุ่งขึ้น 2.3% ในขณะที่อะเมซอนทำธุรกิจประมวลผลระบบคลาวด์, หุ้นดาตาด็อกที่ทะยานขึ้น 10.5% โดยดาตาด็อกทำธุรกิจวิเคราะห์ข้อมูล และหุ้นสโนว์เฟลคที่พุ่งขึ้น 8.5% โดยสโนว์เฟลคถือเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านระบบคลาวด์ข้อมูล
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.68% สู่ 33,301.87, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.38% สู่ 4,055.99 และดัชนี Nasdaq ปิดบวกขึ้น 0.47% สู่ 11,854.35 ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้น 1.7% และถือเป็นหุ้นกลุ่มใหญ่เพียงกลุ่มเดียวจากทั้งหมด 11 กลุ่มในสหรัฐที่ปิดตลาดในแดนบวกในวันพุธ ทางด้านดัชนีหุ้นกลุ่มการขนส่งดิ่งลง 3.6% ในวันพุธ ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 11 เดือน โดยหุ้นกลุ่มการขนส่งได้รับแรงกดดันจากความกังวลทางเศรษฐกิจในสหรัฐ หลังจากสหรัฐรายงานตัวเลขยอดสั่งซื้อสินค้าทุนที่อ่อนแอในวันพุธ และหลังจากบริษัทยูไนเต็ด พาร์เซล เซอร์วิส (UPS) ซึ่งเป็นบริษัทขนส่งพัสดุคาดการณ์รายได้ตลอดทั้งปีในระดับต่ำในวันอังคาร
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันพุธว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าทุนยกเว้นอาวุธและเครื่องบิน หรือยอดสั่งซื้อสินค้าทุนพื้นฐาน ซึ่งถือเป็นมาตรวัดแผนการลงทุนทางธุรกิจ ร่วงลง 0.4% ในเดือนมี.ค. หลังจากปรับลง 0.7% ในเดือนก.พ. และเทียบกับโพลล์รอยเตอร์ที่คาดว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าทุนพื้นฐานอาจขยับลงเพียง 0.1% ในเดือนมี.ค. ทางด้านยอดขนส่งสินค้าทุนพื้นฐานปรับลง 0.4% ในเดือนมี.ค. หลังจากปรับลง 0.4% ในเดือนก.พ. และสิ่งนี้บ่งชี้ว่ารายจ่ายด้านอุปกรณ์ในภาคธุรกิจอาจจะเป็นปัจจัยที่ถ่วงเศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาสแรก
หุ้นธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิก ซึ่งถือเป็นธนาคารระดับภูมิภาคในสหรัฐดิ่งลง 29.8% ในวันพุธ และรูดลงแตะสถิติต่ำสุดใหม่เป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน โดยการดิ่งลงของหุ้นเฟิร์สท์ รีพับลิกมีส่วนกดดันดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐให้รูดลง 1.4% ในวันพุธ นอกจากนี้ หุ้นเฟิร์สท์ รีพับลิกก็ดิ่งลงมาแล้ว 96.1% จากช่วงต้นปีนี้ด้วย ทั้งนี้ นักลงทุนกังวลกับข่าวที่ว่า รัฐบาลสหรัฐไม่เต็มใจที่จะจัดทำมาตรการช่วยเหลือเฟิร์สท์ รีพับลิก หลังจากยอดเงินฝากในธนาคารแห่งนี้ดิ่งลงกว่า 1.00 แสนล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรก อย่างไรก็ดี หุ้นแพคเวสท์ แบงคอร์ป ซึ่งเป็นธนาคารระดับภูมิภาคในสหรัฐพุ่งขึ้น 7.5% หลังจากแพคเวสท์รายงานผลกำไรไตรมาสแรกที่ดีเกินคาด และรายงานว่าการถอนเงินฝากเข้าสู่เสถียรภาพแล้ว
หุ้นแอลฟาเบทซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิลขยับลง 0.1% ถึงแม้แอลฟาเบทรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกที่ดีเกินคาด และประกาศแผนซื้อคืนหุ้น 7.0 หมื่นล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ บริษัท 163 แห่งในดัชนี S&P 500 เปิดเผยผลประกอบการไตรมาสแรกออกมาแล้ว และบริษัท 79.8% ในกลุ่มนี้เปิดเผยผลกำไรที่ดีเกินคาด ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 66% ทางด้านนักวิเคราะห์คาดการณ์ในตอนนี้ว่า บริษัทในดัชนี S&P 500 อาจมีผลกำไรลดลงเพียง 3.2% ในไตรมาสแรก หลังจากที่เพิ่งคาดการณ์ในวันก่อนหน้านั้นว่า บริษัทกลุ่มนี้อาจมีผลกำไรหดตัวลง 3.9% ในไตรมาสแรก--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--1 ก.พ.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดพุ่งขึ้นในวันอังคาร หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ดัชนีต้นทุนการจ้างงาน (ECI) ซึ่งถือเป็นมาตรวัดต้นทุนแรงงานในวงกว้างที่สุดในสหรัฐ ปรับขึ้น 1.0% ในไตรมาส 4/2022 เมื่อเทียบรายไตรมาส ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4/2021 และอยู่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ +1.1% หลังจากดัชนี ECI ปรับขึ้น 1.2% ในไตรมาสเดือนก.ค.-ก.ย. 2022 ทางด้านค่าแรงและเงินเดือนในสหรัฐปรับขึ้น 1.0% ในไตรมาส 4/2022 ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4/2021 ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ นักลงทุนบางรายมองว่า รายงานตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในช่วงที่ผ่านมากำลังประสบความสำเร็จในการทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 1.09% สู่ 34,086.04, ดัชนี S&P 500 ปิดทะยานขึ้น 1.46% สู่ 4,076.6 และดัชนี Nasdaq ปิดพุ่งขึ้น 1.67% สู่ 11,584.55 ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดเดือนม.ค.ด้วยการพุ่งขึ้น 6.2% จากเดือนธ.ค. ส่วนดัชนี Nasdaq ทะยานขึ้น 10.7% ในเดือนม.ค. ซึ่งถือเป็นอัตราการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดสำหรับเดือนม.ค.ในแต่ละปีนับตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา
นักลงทุนในตลาดสัญญาล่วงหน้าคาดการณ์ว่า มีโอกาส 97.9% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 4.50-4.75% ในการประชุมวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ. และมีโอกาสเพียง 2.1% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ 4.75-5.00% ในการประชุมวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ.
หุ้นทั้ง 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดในแดนบวกในวันอังคาร โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มวัสดุกับหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่พุ่งขึ้นกว่า 2% ทั้งนี้ นักลงทุนจับตาดูผลประกอบการของบริษัทสหรัฐในช่วงนี้ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิลในกลุ่มน้ำมันพุ่งขึ้น 2.2% ในวันอังคาร หลังจากเอ็กซอนรายงานว่ามีผลกำไรสุทธิ 5.6 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2022 ซึ่งถือเป็นการทำสถิติสูงสุดใหม่สำหรับอุตสาหกรรมน้ำมันในชาติตะวันตก ทางด้านหุ้นยูไนเต็ด พาร์เซล เซอร์วิส (UPS) ทะยานขึ้น 4.7% หลังจาก UPS เปิดเผยผลกำไรรายไตรมาสที่สูงเกินคาด
หุ้นเจเนอรัล มอเตอร์ส (GM) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์พุ่งขึ้น 8.3% หลังจาก GM คาดการณ์ผลกำไรปี 2023 ที่สูงเกินคาด ทั้งนี้ หุ้นแคเทอร์พิลลาร์ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องจักรดิ่งลง 3.5% หลังจากทางบริษัทรายงานว่า ผลกำไรไตรมาส 4 ดิ่งลง 29% ส่วนหุ้นแมคโดนัลด์รูดลง 1.3% หลังจากแมคโดนัลด์ประกาศเตือนว่า ภาวะเงินเฟ้อจะส่งผลลบต่ออัตราผลกำไรในปี 2023--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน