ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
เพื่อเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็วและติดตามตลาดโฟกัสใน 15 นาที
ในโลกของมนุษยชาติ จะไม่มีคำกล่าวใด ๆ ที่ไม่มีจุดยืนใด ๆ หรือคำพูดใด ๆ ที่ไม่มีจุดประสงค์ใด ๆ
อัตราเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน และเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจเชิงนโยบายของธนาคารกลาง ทัศนคติและคำพูดของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยังมีอิทธิพลต่อการกระทำของเทรดเดอร์ในตลาดอีกด้วย
เงินทำให้โลกหมุนไป และสกุลเงินเป็นสินค้าถาวร ตลาดฟอเร็กซ์เต็มไปด้วยความประหลาดใจและความคาดหวัง
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
เพลิดเพลินกับกิจกรรมที่น่าตื่นเต้น ที่นี่ที่ FastBull
ข่าวด่วนล่าสุดและเหตุการณ์ทางการเงินทั่วโลก
ฉันมีประสบการณ์ 5 ปีในการวิเคราะห์ทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนามหภาคและการตัดสินแนวโน้มระยะกลางและระยะยาว ความสนใจของฉันอยู่ที่การพัฒนาของตะวันออกกลาง ตลาดเกิดใหม่ ถ่านหิน ข้าวสาลี และสินค้าเกษตรอื่นๆ
7 ปีของตลาดหุ้น การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โลหะมีค่า และประสบการณ์การซื้อขายและการวิเคราะห์อื่น ๆ โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐาน การสนับสนุนทางเทคนิค มีอคติต่อตรรกะธุรกรรมจากบนลงล่าง โดยเน้นที่วัฏจักรมหภาคและการควบคุมความเสี่ยง การคาดการณ์เชิงทฤษฎีอุปสงค์และอุปทานอเนกประสงค์ การเปลี่ยนแปลงของราคา สร้างสมดุลระหว่างผลกระทบของธุรกรรม การกระจายชิปและอารมณ์ตลาด และคงที่
อัปเดตล่าสุด
สร้างทัศนคติการลงทุนที่ดี
วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ปรัชญาการลงทุนของเขาประกอบด้วยการสร้างกรอบความคิดระยะยาว ขจัดญาณรบกวนของตลาด ไม่เก็งกำไร และเน้นย้ำว่าการลงทุนต้องมีมีจิตใจที่มั่นคงและเป้าหมายที่ชัดเจน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง
แม้ว่าระบบกฎหมายและกรอบการกำกับดูแลในฮ่องกงจะค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ตลาดหุ้นยังคงเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายพิเศษหลายประการ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่าง HKD และ USD นักลงทุนต่างชาติอาจเผชิญกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความผันผวนของนโยบายและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นฮ่องกงด้วย
โครงสร้างต้นทุนและภาษีเมื่อลงทุนในหุ้นฮ่องกง
ต้นทุนการซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมหุ้น ค่าอากรแสตมป์ ค่าธรรมเนียมการชำระบัญชี ฯลฯ สำหรับนักลงทุนต่างชาติอาจมีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินเพิ่มเติมเป็นดอลลาร์ฮ่องกงและภาษีอื่น ๆ ตามข้อบังคับท้องถิ่น
การวิเคราะห์อุตสาหกรรมฮ่องกง:อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็น
อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็นของฮ่องกง ได้แก่ รถยนต์ การศึกษา การท่องเที่ยว การจัดเลี้ยง เครื่องแต่งกาย และภาคส่วนอื่นๆ อีกมากมาย จากบริษัทจดทะเบียน 643 แห่งนั้น 35% เป็นบริษัทในจีนแผ่นดินใหญ่และคิดเป็น 65% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด ดังนั้นอุตสาหกรรมนี้จึงได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากเศรษฐกิจจีน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด
ไม่มีข้อมูล
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม
สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
นายอาเจย์ บังกา ประธานธนาคารโลกกล่าวว่า ธนาคารโลกจะเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นกรรมสิทธิ์มากขึ้น ซึ่งรวมถึงข้อมูลการผิดนัดชำระหนี้ โดยเริ่มตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันเพื่อดึงดูดการลงทุนของภาคเอกชนเข้ามาในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนามากขึ้น
กลุ่มธนาคารโลกระดมทุนส่วนบุคคล 4.1 หมื่นล้านดอลลาร์สำหรับตลาดเกิดใหม่ และระดมทุนอีก 4.2 หมื่นล้านดอลลาร์จากภาคเอกชนเพื่อการออกหุ้นกู้ในปีที่แล้ว โดยยอดรวมทั้งหมดจะยังไม่มีการเปิดเผยในปีนี้ แต่เขากล่าวว่า จำเป็นต้องมีความคืบหน้ามากกว่านี้ และธนาคารโลกได้จัดการกับหลายเรื่องเพื่อจัดการกับอุปสรรคที่ฉุดรั้งการลงทุนของภาคเอกชนในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา
เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาชะลอตัวลง โดยอัตราการขยายตัวลดลงสู่ระดับ 4% จาก 6% ในเวลา 2 ทศวรรษ และทุกๆ 1% ที่สูญหายไปนั้นทำให้ประชาชนเข้าสู่ภาวะยากจน 100 ล้านคน ขณะที่ระดับหนี้ก็เพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ กลุ่มประเทศกำลังพัฒนายังเผชิญกับช่องว่างที่คาดไม่ถึงระหว่างกลุ่มคนหนุ่มสาว 1.1 พันล้านคนที่คาดว่าจะเข้าสู่ภาคแรงงานในทศวรรษหน้า และการสร้างงานที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 325 ล้านตำแหน่ง
ตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป ธนาคารโลก และกลุ่มสถาบันด้านการพัฒนาจะเริ่มเผยแพร่ข้อมูลการฟื้นฟูภาคเอกชนตามระดับรายได้ของแต่ละประเทศ ซึ่งเป็นขั้นตอนหนึ่งที่จะสร้างแรงบันดาลใจสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน และธนาคารโลกจะเผยแพร่ข้อมูลการผิดนัดชำระของภาคเอกชนที่จำแนกตามอันดับความน่าเชื่อถือ รวมทั้งการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐ และสถิติอัตราการฟื้นฟูที่ย้อนไปตั้งแต่ปี 1985
เขาระบุว่า "การดำเนินการเหล่านี้สนับสนุนเป้าหมายเดียวคือการดึงเม็ดเงินทุนจากภาคเอกชนมายังกลุ่มประเทศกำลังพัฒนามากขึ้นเพื่อทำให้เกิดผลกระทบและสร้างการจ้างงาน"--จบ--
Eikon source text
กรุงเทพฯ--31 ส.ค.--รอยเตอร์
ดอลลาร์สหรัฐร่วงลงแตะจุดต่ำสุดรอบ 2 สัปดาห์เมื่อเทียบกับยูโรและตะกร้าสกุลเงินในวันพุธ หลังจากบริษัท ADP รายงานในวันพุธว่า การจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐปรับขึ้นน้อยเกินคาดในเดือนส.ค. โดยการจ้างงานภาคเอกชนปรับขึ้นเพียง 177,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 195,000 ตำแหน่ง หลังจากการจ้างงานภาคเอกชนพุ่งขึ้น 371,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. โดยรายงานตัวเลขนี้ช่วยสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยุติวัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ นักลงทุนรอดูตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของยุโรปและตัวเลขดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพฤหัสบดีที่ 31 ส.ค. และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนส.ค.ที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานออกมาในวันศุกร์ที่ 1 ก.ย. โดยนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์คาดว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตรอาจเพิ่มขึ้น 170,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 187,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 103.12 ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยอ่อนค่าลงจาก 103.55 ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร หลังจากร่วงลงแตะจุดต่ำสุดรอบ 2 สัปดาห์ที่ 102.92 ในระหว่างวัน
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 146.24 เยนในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยแข็งค่าขึ้นจากระดับปิดตลาดวันอังคารที่ 145.87 เยน หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 147.375 เยนในวันอังคาร ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย. 2022 หรือจุดสูงสุดในรอบเกือบ 10 เดือน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0924 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพุธ โดยปรับขึ้นจาก 1.0877 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร หลังจากแข็งค่าขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 2 สัปดาห์ที่ 1.0945 ดอลลาร์ในระหว่างวัน
ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นในวันพุธ ในขณะที่รายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอในสหรัฐช่วยสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.25-5.50% ตามเดิมในการประชุมวันที่ 19-20 ก.ย. ทั้งนี้ บริษัท ADP รายงานในวันพุธว่า การจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐปรับขึ้นน้อยเกินคาดในเดือนส.ค. โดยการจ้างงานภาคเอกชนปรับขึ้นเพียง 177,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 195,000 ตำแหน่ง ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้เปิดเผยผลการประเมินครั้งที่ 2 สำหรับตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 2 ออกมาในวันพุธ โดยระบุว่าจีดีพีเติบโตเพียง 2.1% ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบเป็นตัวเลขเต็มปี (annualized) โดยปรับลดลงจากการประเมินครั้งแรกที่ +2.4% และอยู่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ +2.4% Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดขยับขึ้น 0.11% สู่ 34,890.24
ดัชนี S&P 500 ปิดบวกขึ้น 0.38% สู่ 4,514.87
ดัชนี Nasdaq ปิดปรับขึ้น 0.54% สู่ 14,019.31 ซึ่งถือเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ปรับขึ้นในวันพุธ ในขณะที่สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานในวันพุธว่า สต็อกน้ำมันดิบในคลังสหรัฐดิ่งลง 10.6 ล้านบาร์เรล สู่ 422.9 ล้านบาร์เรลในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 25 ส.ค. โดยระดับ 422.9 ล้านบาร์เรลนี้ถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค. 2022 ในขณะที่โพลล์รอยเตอร์คาดไว้ก่อนหน้านี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบในคลังอาจปรับลดลงเพียง 3.3 ล้านบาร์เรล นอกจากนี้ EIA ยังรายงานอีกด้วยว่า สต็อกน้ำมันเบนซินในคลังสหรัฐลดลง 0.2 ล้านบาร์เรล สู่ 217.4 ล้านบาร์เรล, สต็อกน้ำมัน distillate ในคลังสหรัฐ ซึ่งครอบคลุมน้ำมันดีเซลและน้ำมัน heating oil พุ่งขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรล สู่ 117.9 ล้านบาร์เรล, อัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันดิ่งลง 1.2% สู่ 93.3% และอุปสงค์น้ำมันเบนซินอยู่ที่ราว 9.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในขณะที่มีการคาดการณ์กันว่าอุปสงค์น้ำมันเบนซินอาจจะดิ่งลงอย่างรุนแรงในช่วงหลังจากนี้ เนื่องจากฤดูร้อนในสหรัฐใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว ทั้งนี้ ราคาน้ำมันปรับขึ้นได้ไม่มากนักในวันพุธ เนื่องจากราคาน้ำมันได้รับแรงกดดันจากความกังวลเรื่องความอ่อนแอทางเศรษฐกิจในจีน ในขณะที่มีรายงานระบุว่า โรงกลั่นน้ำมันในจีนจะปรับเพิ่มยอดการส่งออกน้ำมันดีเซลขึ้นสู่ระดับสูงกว่า 1 ล้านตันในเดือนก.ย. โดยได้รับแรงกระตุ้นจากอัตราผลกำไรที่ระดับสูงในการส่งออกน้ำมัน และจากการคาดการณ์ที่ว่ารัฐบาลจีนจะปรับเพิ่มโควต้าการส่งออก Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนต.ค.ปรับขึ้น 47 เซนต์ มาปิดตลาดที่ 81.63 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนต.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนปรับขึ้น 37 เซนต์ มาปิดตลาดที่ 85.86 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันพุธ โดยสัญญาเบรนท์เดือนต.ค.จะครบกำหนดส่งมอบในวันพฤหัสบดี ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย.ปรับขึ้น 33 เซนต์ มาปิดตลาดที่ 85.21 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันพุธ
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 5.12 ดอลลาร์ สู่ 1,942.24 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 1,948.79 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 2 ส.ค. หรือจุดสูงสุดในรอบเกือบ 1 เดือน โดยราคาทองได้รับแรงหนุนจากรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอในสหรัฐ เพราะตัวเลขดังกล่าวช่วยสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.25-5.50% ตามเดิมในการประชุมวันที่ 19-20 ก.ย. ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีปรับลงจาก 4.122% ในช่วงท้ายวันอังคาร สู่ 4.118% ในช่วงท้ายวันพุธ หลังจากดิ่งลงแตะ 4.087% ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค. โดยการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) ส่งผลบวกต่อราคาทอง เพราะทองเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ดอกเบี้ย Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
รายงานวิจัยโดยแอตแลนติก เคาน์ซิล ซึ่งเป็นสถาบันคลังสมองในสหรัฐ พบว่า ประเทศทั้งหมด 130 ประเทศ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 98% ของเศรษฐกิจโลกกำลังทำการศึกษาสกุลเงินดิจิทัลของตนเอง โดยเกือบครึ่งอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาที่มีความก้าวหน้า, ในขั้นตอนนำร่อง หรือเปิดตัวแล้ว และความก้าวหน้าที่มีนัยสำคัญในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมาบ่งชี้ว่า ประเทศในกลุ่มจี-20 ทั้งหมด ยกเว้นอาร์เจนตินา กำลังอยู่ในขั้นตอนที่ก้าวหน้า
11 ประเทศ ซึ่งรวมถึงหลายประเทศในแถบทะเลแคริบเบียน และไนจีเรีย ได้ออกสกุลเงินดิจิทัลธนาคารกลาง (CBDC) แล้ว ขณะที่โครงการทดลองนำร่องในจีนก็เข้าถึงประชากร 260 ล้านคน และครอบคลุมสถานการณ์การใช้ 200 สถานการณ์นับตั้งแต่อี-คอมเมิร์ซไปจนถึงการจ่ายเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ส่วนประเทศเกิดใหม่ขนาดใหญ่อีก 2 ประเทศ ซึ่งได้แก่อินเดียและบราซิล มีแผนที่จะออกสกุลเงินดิจิทัลในปีหน้า และธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) จะเริ่มโครงการนำร่องเงินยูโรดิจิทัลก่อนการเปิดตัวที่อาจจะเกิดขึ้นในปี 2028 และอีกกว่า 20 ประเทศจะดำเนินขั้นตอนที่สำคัญสู่โครงการนำร่องในปีนี้
แต่โครงการดอลลาร์ดิจิทัลของสหรัฐมีความคืบหน้าสำหรับรูปแบบธนาคารกับธนาคารเท่านั้น ส่วนการดำเนินงานในรูปแบบการใช้รายย่อยโดยประชาชนในวงกว้างนั้น "หยุดชะงัก" ขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนสั่งให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลประเมินความเสี่ยง และประโยชน์ของการออกดอลลาร์ดิจิทัลในเดือนมี.ค.ปีที่แล้ว
การผลักดันให้มี CBDC ของทั่วโลกเกิดขึ้นในขณะที่การใช้เงินสดลดลง และทางการหาทางป้องกันอันตรายต่ออำนาจในการพิมพ์ธนบัตรจากบิทคอยน์ และบริษัทกลุ่ม "บิ๊กเทค" ขณะที่มาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียและเวเนซุเอลาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็เป็นปัจจัยขับเคลื่อนอีกตัวด้วย ซึ่งรวมถึงยุโรปที่ต้องการรับประกันว่า จะมีทางเลือกนอกเหนือไปจากเครือข่ายการชำระเงินของวีซ่า, มาสเตอร์การ์ด และสวิฟท์
สวีเดนยังคงเป็นหนึ่งในประเทศที่ก้าวหน้าที่สุดขงอยุโรปในโครงการนำร่อง CBDC ขณะที่ธนาคารกลางอังกฤษก็กำลังเดินหน้าโครงการการออกเงินปอนด์ดิจิทัล ซึ่งอาจจะใช้ได้ภายในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษนี้ ส่วนออสเตรเลีย, ไทย, เกาหลีใต้ และรัสเซียก็ล้วนตั้งใจที่จะดำเนินโครงการนำร่องต่อไปในปีนี้--จบ--
Eikon source text
27 ธ.ค.--รอยเตอร์
บริษัทมาสเตอร์การ์ดระบุในรายงานที่ออกมาในวันจันทร์ว่า ยอดค้าปลีกในสหรัฐเพิ่มขึ้น 7.6% ในช่วงระหว่างวันที่ 1 พ.ย.จนถึงวันที่ 24 ธ.ค. ซึ่งครอบคลุมช่วงเวลาส่วนใหญ่ในช่วงเทศกาลวันหยุดของสหรัฐ ในขณะที่มาตรการลดราคาสินค้าช่วยดึงดูดผู้บริโภคให้มาจับจ่ายซื้อสินค้าราคาถูก ทั้งนี้ อัตราการเติบโตดังกล่าวอยู่สูงกว่าระดับ 7.1% ที่มาสเตอร์การ์ดเคยคาดการณ์ไว้ในเดือนก.ย. โดยในตอนนั้นมาสเตอร์การ์ดคาดว่าผู้บริโภคจะหันมาซื้อสินค้าลดราคาตั้งแต่ในเดือนต.ค.
อย่างไรก็ดี อัตราการเติบโตของยอดค้าปลีกในเทศกาลวันหยุดปีนี้อยู่ต่ำกว่าระดับ +8.5% ในปีที่แล้ว ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ใกล้จุดสูงสุดในรอบหลายสิบปี, การพุ่งขึ้นของอัตราดอกเบี้ย และความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยส่งผลให้ผู้บริโภคใช้จ่ายเงินอย่างระมัดระวัง
บริษัทค้าปลีกหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงบริษัทอะเมซอนดอทคอมและบริษัทวอลมาร์ท ได้ปรับลดราคาสินค้าครั้งใหญ่ในปีนี้เพื่อระบายสต็อกสินค้าที่ล้นคลัง และเพื่อทำให้ปริมาณสต็อกสินค้าคงคลังกลับคืนสู่ระดับปกติ โดยการทำเช่นนี้ส่งผลให้ยอดซื้อสินค้าหลายประเภท ซึ่งรวมถึงของเล่นและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อยู่ในระดับสูงในช่วง 5 วันสำคัญที่เริ่มตั้งแต่วันขอบคุณพระเจ้าไปจนถึงวันไซเบอร์ มันเดย์ โดยช่วงเวลาดังกล่าวตรงกับวันที่ 24-28 พ.ย.ในปีนี้ อย่างไรก็ดี ยอดขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ดิ่งลง 5.3% ในช่วงวันที่ 1 พ.ย.-24 ธ.ค.
ยอดขายเสื้อผ้าพุ่งขึ้น 4.4% ในช่วงเทศกาลวันหยุดที่กินเวลานานเกือบ 2 เดือน ส่วนยอดขายในร้านอาหารทะยานขึ้น 15.1% และส่งผลบวกต่อยอดค้าปลีกโดยรวม ทั้งนี้ ยอดขายสินค้าออนไลน์พุ่งขึ้น 10.6% ในช่วงเทศกาลวันหยุดปีนี้ หลังจากทะยานขึ้น 11% ในช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว
รายงานสเปนดิงพัลซ์ของบริษัทมาสเตอร์การ์ดนี้ครอบคลุมยอดค้าปลีกทั้งในร้านและทางออนไลน์ โดยครอบคลุมทุกรูปแบบการชำระเงิน แต่ไม่รวมยอดขายรถยนต์--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ลอนดอน--30 ธ.ค.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ได้ระบุถึง 4 กระแสความเคลื่อนไหวสำคัญในตลาดสกุลเงินดิจิทัลในปีนี้ โดยความเคลื่อนไหวแรกคือการที่บิทคอยน์ยังคงครองตำแหน่งสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลกต่อไปตามเดิม โดยราคาบิทคอยน์เคยพุ่งขึ้นกว่า 120% จากวันที่ 1 ม.ค. จนถึงระดับสูงเกือบถึง 65,000 ดอลลาร์ในช่วงกลางเดือนเม.ย. โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยหลายประการ ซึ่งรวมถึงเงินลงทุนที่หลั่งไหลมาจากนักลงทุนสถาบัน, การที่บริษัทขนาดใหญ่ อย่างเช่นเทสลาและมาสเตอร์การ์ด หันมายอมรับบิทคอยน์มากยิ่งขึ้น และการที่ธนาคารในย่านวอลล์สตรีทยอมรับบิทคอยน์มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ นักลงทุนสนใจลงทุนในบิทคอยน์มากยิ่งขึ้นด้วย เนื่องจากอุปทานบิทคอยน์อยู่ในวงจำกัด ดังนั้นบิทคอยน์จึงมีคุณสมบัติในการรับประกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำมากก็มีส่วนช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลกำไรอย่างรวดเร็ว อย่างเช่น บิทคอยน์ด้วยเช่นกัน
บิทคอยน์เคยดิ่งลง 35% ในเดือนพ.ค.ปีนี้ ก่อนจะพุ่งขึ้นสู่สถิติสูงสุดใหม่ที่ 69,000 ดอลลาร์ในเดือนพ.ย. โดยได้รับแรงหนุนจากอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงทั้งในสหรัฐและยุโรป ทางด้านนักวิเคราะห์มองว่า นักลงทุนที่เคยลงทุนในหุ้นและพันธบัตรรัฐบาลได้ทยอยเข้ามาลงทุนในบิทคอยน์ในช่วงนี้
กระแสที่ 2 คือการพุ่งขึ้นของเหรียญมีม หรือเหรียญที่พัฒนามาจากวัฒนธรรมในโลกอินเทอร์เน็ต อย่างเช่น โดชคอยน์และเหรียญชิบะ อินุ ซึ่งมักจะเป็นเหรียญที่แทบไม่มีประโยชน์ในทางปฏิบัติ โดยตัวอย่างความเคลื่อนไหวของเหรียญกลุ่มนี้คือราคาโดชคอยน์ที่พุ่งขึ้นกว่า 12,000% สู่สถิติสูงสุดในเดือนพ.ค. ก่อนจะดิ่งลงเกือบ 80% เมื่อถึงกลางเดือนธ.ค. ทางด้านเหรียญชิบะ อินุได้พุ่งขึ้นจนกลายเป็นหนึ่งใน 10 สกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลกเป็นเวลาสั้น ๆ ทั้งนี้ ปรากฏการณ์เหรียญมีมนี้มีความเกี่ยวพันกับกระแสการลงทุนของเทรดเดอร์รายย่อยในปีนี้ ซึ่งเป็นการที่เทรดเดอร์รายย่อยร่วมมือกันทางระบบออนไลน์ในการทุ่มเงินลงทุนในหุ้นบางตัว อย่างเช่นหุ้นบริษัทเกมสต็อป คอร์ป และส่งผลให้กองทุนเฮดจ์ฟันด์จำเป็นต้องเข้าซื้อชดเชยการทำชอร์ตเซลในหุ้นดังกล่าว นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังระบุอีกด้วยว่า การที่เทรดเดอร์รายย่อยต้องกักตัวอยู่บ้าน และมีเงินออมเพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่มีการประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ ก็มีส่วนกระตุ้นให้เทรดเดอร์รายย่อยหันมาลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลด้วย
กระแสที่ 3 คือความเคลื่อนไหวด้านกฎระเบียบในสกุลเงินดิจิทัล ในขณะที่ผู้ควบคุมกฎระเบียบในหลายประเทศกังวลว่า สกุลเงินดิจิทัลอาจจะถูกใช้ในการฟอกเงิน และอาจจะกลายเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพทางการเงินทั่วโลก ในขณะที่นักลงทุนจำนวนมากเข้ามาลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล ทั้งนี้ เนื่องจากมีการคาดการณ์กันว่าอาจจะมีการประกาศกฎระเบียบใหม่ออกมาในอนาคต นักลงทุนจึงกังวลกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดการปราบปรามการลงทุนในด้านนี้ โดยเฉพาะหลังจากที่รัฐบาลจีนเคยออกกฎควบคุมสกุลเงินคริปโตในเดือนพ.ค. โดยเหตุการณ์ในครั้งนั้นส่งผลให้บิทคอยน์ดิ่งลงเกือบ 50% ในช่วงนั้น และส่งผลให้ตลาดสกุลเงินดิจิทัลโดยรวมรูดลงตามไปด้วย
กระแสที่ 4 คือกระแสความนิยมในสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีลักษณะเฉพาะตัว ไม่สามารถทำซ้ำได้ (NFT) โดยสินทรัพย์กลุ่มนี้ได้รับความนิยมพุ่งขึ้นสูงมากในปีนี้ และส่งผลให้งานศิลปะดิจิทัลของบีเพิล ซึ่งเป็นศิลปินชาวสหรัฐ สามารถขายได้ในราคาสูงเกือบถึง 70 ล้านดอลลาร์ในเดือนมี.ค.ปีนี้ ทั้งนี้ ยอดขาย NFT พุ่งขึ้นแตะ 1.07 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาสสาม โดยทะยานขึ้นกว่า 8 เท่าจากไตรมาสสอง ในขณะที่วอลุ่มการซื้อขายพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดในเดือนส.ค. ซึ่งส่งผลให้นักเก็งกำไรสามารถนำ NFT ที่ตนเองเพิ่งซื้อไว้ออกขายทำกำไรได้อย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่วันต่อมา ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ระบุว่า กระแสความนิยมใน NFT นี้ได้รับแรงหนุนจากปัจจัยหลายประการ ซึ่งรวมถึงการเกิดขึ้นของกลุ่มเศรษฐีใหม่ที่ร่ำรวยมาจากสกุลเงินดิจิทัล, การคาดการณ์ที่ว่า NFT จะกลายเป็นศูนย์กลางของโลกเสมือนจริงในอนาคต และการที่ราคาสินทรัพย์แบบดั้งเดิม อย่างเช่นราคาบ้านพุ่งขึ้นสูงมาก จนส่งผลให้คนรุ่นหนุ่มสาวหันไปลงทุนใน NFT และสกุลเงินดิจิทัลแทน อย่างไรก็ดี นักลงทุนสถาบันส่วนใหญ่อาจจะยังคงหลีกเลี่ยงจากการลงทุนใน NFT ในช่วงนี้ เนื่องจากกฎระเบียบในด้านนี้ยังคงขาดความสมบูรณ์--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--12 ต.ค.--รอยเตอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันจันทร์ หลังจากแกว่งตัวผันผวนในระหว่างวัน ในขณะที่นักลงทุนกังวลกับฤดูการรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในวันพุธนี้เมื่อธนาคารเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โคเปิดเผยผลประกอบการออกมา โดยนักลงทุนกำลังกังวลว่า ปัญหาด้านห่วงโซ่อุปทาน และการพุ่งขึ้นของราคาพลังงานกับปัจจัยในการผลิตอื่น ๆ อาจจะสร้างความเสียหายต่อผลกำไรของบริษัทสหรัฐ ทั้งนี้ ตลาดหุ้นปรับขึ้นในช่วงเช้า ก่อนจะร่วงลงในช่วงบ่ายวันจันทร์ โดยหุ้นเจพีมอร์แกนดิ่งลง 2.1% และหุ้นอะเมซอนดอทคอมรูดลง 1.3% ในขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินของสหรัฐดิ่งลง 1% และดัชนีหุ้นกลุ่มบริการการสื่อสารของสหรัฐรูดลง 1.5%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 0.72% สู่ 34,496.06, ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.69% สู่ 4,361.19 และดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลง 0.64% สู่ 14,486.20 ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2020 ในช่วงแรก โดยได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน ก่อนจะร่วงลงมาปิดตลาดในแดนลบ อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานทะยานขึ้นมาแล้ว 50.1% จากช่วงต้นปีนี้ ในขณะที่ดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นเพียง 16.9% จากช่วงต้นปีนี้
นักวิเคราะห์คาดว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจพุ่งขึ้น 29.6% ในไตรมาสสามเมื่อเทียบรายปี อย่างไรก็ดี นักลงทุนกังวลว่า ปัญหาการขาดตอนในห่วงโซ่อุปทานและปัญหาภาวะเงินเฟ้ออาจจะสร้างความเสียหายต่อผลกำไรของบริษัทสหรัฐ และปัจจัยนี้อาจจะส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐแกว่งตัวผันผวน ทั้งนี้ นายคริสโตเฟอร์ ฮาร์วีย์กล่าวว่า นักวิเคราะห์คาดว่าบริษัทสหรัฐบางแห่งจะเปิดเผยผลกำไรที่แข็งแกร่งออกมา เพราะว่า "ถ้าหากบริษัทของคุณเป็นบริษัทขนาดใหญ่ คุณก็จะสามารถรับมือกับปัญหาเหล่านี้ได้" ในขณะที่อุปสงค์ยังคงอยู่ในระดับแข็งแกร่ง
หุ้นวีซ่า อิงค์ดิ่งลง 2.2% ส่วนหุ้นมาสเตอร์การ์ดรูดลง 2.2% และถือเป็นหุ้นสองตัวที่มีส่วนกดดันดัชนี S&P 500 ลงอย่างมากในวันจันทร์--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน