ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
เพื่อเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็วและติดตามตลาดโฟกัสใน 15 นาที
ในโลกของมนุษยชาติ จะไม่มีคำกล่าวใด ๆ ที่ไม่มีจุดยืนใด ๆ หรือคำพูดใด ๆ ที่ไม่มีจุดประสงค์ใด ๆ
อัตราเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน และเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจเชิงนโยบายของธนาคารกลาง ทัศนคติและคำพูดของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยังมีอิทธิพลต่อการกระทำของเทรดเดอร์ในตลาดอีกด้วย
เงินทำให้โลกหมุนไป และสกุลเงินเป็นสินค้าถาวร ตลาดฟอเร็กซ์เต็มไปด้วยความประหลาดใจและความคาดหวัง
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
เพลิดเพลินกับกิจกรรมที่น่าตื่นเต้น ที่นี่ที่ FastBull
ข่าวด่วนล่าสุดและเหตุการณ์ทางการเงินทั่วโลก
ฉันมีประสบการณ์ 5 ปีในการวิเคราะห์ทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนามหภาคและการตัดสินแนวโน้มระยะกลางและระยะยาว ความสนใจของฉันอยู่ที่การพัฒนาของตะวันออกกลาง ตลาดเกิดใหม่ ถ่านหิน ข้าวสาลี และสินค้าเกษตรอื่นๆ
7 ปีของตลาดหุ้น การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โลหะมีค่า และประสบการณ์การซื้อขายและการวิเคราะห์อื่น ๆ โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐาน การสนับสนุนทางเทคนิค มีอคติต่อตรรกะธุรกรรมจากบนลงล่าง โดยเน้นที่วัฏจักรมหภาคและการควบคุมความเสี่ยง การคาดการณ์เชิงทฤษฎีอุปสงค์และอุปทานอเนกประสงค์ การเปลี่ยนแปลงของราคา สร้างสมดุลระหว่างผลกระทบของธุรกรรม การกระจายชิปและอารมณ์ตลาด และคงที่
อัปเดตล่าสุด
สร้างทัศนคติการลงทุนที่ดี
วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ปรัชญาการลงทุนของเขาประกอบด้วยการสร้างกรอบความคิดระยะยาว ขจัดญาณรบกวนของตลาด ไม่เก็งกำไร และเน้นย้ำว่าการลงทุนต้องมีมีจิตใจที่มั่นคงและเป้าหมายที่ชัดเจน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง
แม้ว่าระบบกฎหมายและกรอบการกำกับดูแลในฮ่องกงจะค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ตลาดหุ้นยังคงเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายพิเศษหลายประการ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่าง HKD และ USD นักลงทุนต่างชาติอาจเผชิญกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความผันผวนของนโยบายและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นฮ่องกงด้วย
โครงสร้างต้นทุนและภาษีเมื่อลงทุนในหุ้นฮ่องกง
ต้นทุนการซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมหุ้น ค่าอากรแสตมป์ ค่าธรรมเนียมการชำระบัญชี ฯลฯ สำหรับนักลงทุนต่างชาติอาจมีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินเพิ่มเติมเป็นดอลลาร์ฮ่องกงและภาษีอื่น ๆ ตามข้อบังคับท้องถิ่น
การวิเคราะห์อุตสาหกรรมฮ่องกง:อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็น
อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็นของฮ่องกง ได้แก่ รถยนต์ การศึกษา การท่องเที่ยว การจัดเลี้ยง เครื่องแต่งกาย และภาคส่วนอื่นๆ อีกมากมาย จากบริษัทจดทะเบียน 643 แห่งนั้น 35% เป็นบริษัทในจีนแผ่นดินใหญ่และคิดเป็น 65% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด ดังนั้นอุตสาหกรรมนี้จึงได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากเศรษฐกิจจีน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด
ไม่มีข้อมูล
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม
สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการตรวจสอบภาวะวิกฤติประจำปีพบว่า ธนาคารสหรัฐที่ใหญ่ที่สุดมีเงินทุนเพียงพอที่จะต้านทานภาวะปั่นป่วนทางเศรษฐกิจและตลาดที่ร้ายแรง แต่ธนาคารได้รับผลขาดทุนตามสมมติฐานมากขึ้นในปีนี้เนื่องจากพอร์ทการลงทุนที่มีความเสี่ยงมากขึ้น
รายงานพบว่า ธนาคารขนาดใหญ่ 31 แห่งจะต้านทานอัตราว่างงานที่พุ่งสูง, ภาวะผันผวนรุนแรงของตลาด และการดิ่งลงของตลาดสินเชื่อจำนองเพื่อที่อยู่อาศัย และเพื่อการพาณิชย์ และยังคงมีเงินทุนเพียงพอที่จะปล่อยสินเชื่อต่อไปได้ นอกจากนี้ เฟดยังพบว่า ระดับของเงินทุนที่มีคุณภาพสูงของธนาคารเหล่านี้จะลดลงสู่ระดับ 9.9% มาที่ระดับต่ำสุด ซึ่งยังคงสูงเกินเกณฑ์ขั้นต่ำอยู่กว่าสองเท่า
แต่ธนาคารได้รับผลขาดทุนมากขึ้นในปีนี้ และเฟดระบุว่า ผลขาดทุนที่สูงขึ้นดังกล่าวมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงพอร์ทการลงทุนของธนาคารต่างๆ โดยธนาคารที่ถูกทดสอบจะมีผลขาดทุนรวมกัน 6.85 แสนล้านดอลลาร์ภายใต้ฉากทัศน์ร้ายแรงตามสมมติฐาน และโดยเฉลี่ย ธนาคารมีสัดส่วนเงินทุนลดลง 2.8% ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดตั้งแต่ปี 2018
เฟดระบุว่า บัตรเครดิตเป็นสาเหตุที่เฉพาะเจาะจงของผลขาดทุนสำหรับธนาคาร โดยมีสัดส่วนมากกว่า 25% ของผลขาดทุนตามสมมติฐาน และเฟดตั้งข้อสังเกตว่า บัญชีบัตรเครดิตของธนาคารขนาดใหญ่พุ่งขึ้นกว่า 1.00 แสนล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว และอัตราการค้างชำระหนี้พุ่งกว่า 40%--จบ--
Eikon source text
26 มิ.ย.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ของธนาคารเจพีมอร์แกนประเมินว่า การที่พันธบัตรรัฐบาลอินเดียจะได้รับการบรรจุรวมไว้ในดัชนีพันธบัตรรัฐบาลตลาดเกิดใหม่ (GBI-EM) ของเจพีมอร์แกนในเร็ว ๆ นี้ จะส่งผลให้มีเงินลงทุน 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ไหลออกจากตลาดพันธบัตรของแอฟริกาใต้, โปแลนด์ และไทยรวมกัน โดยนักวิเคราะห์คาดว่า จะมีเงินลงทุนไหลออกจากไทย 3.2 พันล้านดอลลาร์, ไหลออกจากแอฟริกาใต้ 4.7 พันล้านดอลลาร์, ไหลออกจากโปแลนด์ 3.3 พันล้านดอลลาร์, ไหลออกจากสาธารณรัฐเช็ก 2.9 พันล้านดอลลาร์ และไหลออกจากชิลี 2.5 พันล้านดอลลาร์ โดยเงินลงทุนเหล่านี้จะไหลเข้าสู่พันธบัตรอินเดีย ทั้งนี้ จะเริ่มมีการบรรจุพันธบัตรรัฐบาลอินเดียเข้าไว้ในดัชนี GBI-EM ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 28 มิ.ย. โดยจะมีการปรับเพิ่มน้ำหนักครั้งละ 1% และจะใช้เวลาราว 10 เดือนในการปรับเพิ่มน้ำหนักของพันธบัตรอินเดียในดัชนีนี้จนชนระดับเพดานที่ 10% ในเดือนมี.ค. 2025
น้ำหนักของประเทศอื่น ๆ ในดัชนีนี้จะลดลง โดยน้ำหนักของไทยในดัชนีนี้จะลดลงจาก 9.19% ในปัจจุบัน สู่ 7.59% ในเดือนมี.ค. 2025, น้ำหนักของแอฟริกาใต้ในดัชนีนี้จะลดลงจาก 8.27% ในปัจจุบัน สู่ 6.83% ในเดือนมี.ค. 2025 และน้ำหนักของโปแลนด์ในดัชนีนี้จะลดลงจาก 8.08% ในปัจจุบัน สู่ 6.68% ในเดือนมี.ค. 2025 ทั้งนี้ ทีมนักยุทธศาสตร์การลงทุนของเจพีมอร์แกนที่นำโดยนายไมเคิล แฮร์ริสันกล่าวว่า "ในส่วนของนักลงทุนในตลาดเกิดใหม่นั้น เรามองว่าการรวมอินเดียเข้าไว้ในดัชนีถือเป็นเกมที่มีผู้แพ้และผู้ชนะ และเราก็คาดว่าจะมีเงินลงทุนไหลออกจากตลาดพันธบัตรประเทศตลาดเกิดใหม่ประเทศอื่น ๆ เพื่อไหลเข้าสู่อินเดีย"
คาดกันว่าภูมิภาคยุโรป, ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (EMEA) จะเป็นภูมิภาคที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดในส่วนของน้ำหนักในดัชนี โดยคาดกันว่าน้ำหนักของ EMEA ในดัชนีตลาดเกิดใหม่อาจดิ่งลงสู่ 26.2% ในเดือนมี.ค. 2025 โดยลดลงจากระดับราว 32% ในช่วงต้นเดือนนี้ และดิ่งลงจาก 40% ในปี 2021 ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่จะมีการปลดรัสเซียออกจากดัชนีนี้หลังจากเกิดสงครามยูเครนในช่วงต้นปี 2022 ทั้งนี้ ดัชนีพันธบัตรของเจพีมอร์แกนและของหน่วยงานอื่น ๆ ถือเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อตลาด เพราะว่ากองทุนต่าง ๆ มักจะใช้ดัชนีเหล่านี้เป็นเกณฑ์อ้างอิงในการทำงาน และใช้เป็นตัวกำหนดว่าทางกองทุนควรจะซื้อหรือขายพันธบัตรใด
หลังจากเจพีมอร์แกนประกาศในเดือนก.ย. 2023 เรื่องแผนการรวมพันธบัตรอินเดียไว้ในดัชนี นักลงทุนต่างชาติก็ได้เข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลอินเดียไปแล้วเป็นมูลค่ากว่า 1.0 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา และส่งผลให้การถือครองพันธบัตรอินเดียโดยนักลงทุนต่างชาติพุ่งขึ้นสู่สถิติสูงสุดใหม่ ทั้งนี้ นายแฮร์ริสันกล่าวว่า "มีการประเมินกันว่าจะมีเงินลงทุน 2.0-2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ไหลเข้าสู่อินเดียโดยเป็นผลจากดัชนีนี้ และตัวเลขเงินลงทุนไหลเข้าเพราะดัชนีในช่วงที่ผ่านมาก็บ่งชี้ว่า มีเงินลงทุนไหลเข้าอินเดียไปแล้วราว 32-40% ของปริมาณเงินไหลเข้าทั้งหมดที่คาดไว้"
คาดกันว่าจีน, อินโดนีเซีย และเม็กซิโกจะไม่ถูกปรับลดน้ำหนักในดัชนี GBI-EM ลงจากระดับเพดานที่ 10% โดยน้ำหนักของประเทศตลาดเกิดใหม่ในเอเชียในดัชนีนี้มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้น แต่น้ำหนักของภูมิภาคลาตินอเมริกามีแนวโน้มที่จะปรับลดลงเล็กน้อย--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--24 มิ.ย.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า หุ้นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในสหรัฐพุ่งขึ้นสูงมากในปีนี้ และก็อาจจะถึงเวลาที่หุ้นกลุ่มนี้จะชะลอตัวลงแล้ว และปัจจัยนี้ก็อาจจะส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มอื่น ๆ ในสหรัฐที่เคยปรับตัวอย่างอ่อนแอในช่วงต้นปีนี้ ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นมาแล้ว 14.6% จากช่วงต้นปีนี้ แต่การพุ่งขึ้นส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในหุ้นกลุ่มใหญ่เพียง 2 กลุ่มจากทั้งหมด 11 กลุ่ม ซึ่งได้แก่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) ที่พุ่งขึ้น 28.2% จากช่วงต้นปีนี้ และหุ้นกลุ่มบริการการสื่อสารที่ทะยานขึ้น 24.3% จากช่วงต้นปีนี้ ส่วนหุ้นกลุ่มอื่น ๆ ปรับขึ้นในอัตราที่น้อยกว่านี้มาก ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคที่พุ่งขึ้น 9.5% จากช่วงต้นปีนี้, หุ้นกลุ่มการเงินที่ทะยานขึ้น 9.4%, หุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นที่บวกขึ้น 8.7%, หุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับขึ้น 7.5%, หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่บวกขึ้น 7.3%, หุ้นกลุ่มการแพทย์ที่ปรับขึ้น 7.3%, หุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่บวกขึ้น 4.2% และหุ้นกลุ่มวัสดุที่ปรับขึ้น 3.9% ทางด้านหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ดิ่งลงมาแล้ว 5.0% จากช่วงต้นปีนี้
นักลงทุนหลายรายคาดว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐมีแนวโน้มที่แข็งแกร่งในระยะยาว โดยได้รับแรงหนุนจากผลกำไรของบริษัทกลุ่มนี้ และจากกระแสความนิยมในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยปัจจัยดังกล่าวมีส่วนช่วยหนุนให้หุ้นบริษัทเอ็นวิเดียพุ่งขึ้นมาแล้ว 155% จากช่วงต้นปีนี้ อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นที่พุ่งสูงก็ส่งผลให้นักลงทุนกังวลกันว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอาจทะยานขึ้นอย่างร้อนแรงจนเกินไปในช่วงที่ผ่านมา และนักลงทุนก็มองว่า หุ้นบริษัทขนาดเล็ก และหุ้นคุณค่า ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มการเงินและหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม อาจจะเหมาะต่อการเข้าช้อนซื้อในช่วงนี้ ทั้งนี้ นายไมเคิล เพอร์เวส ซีอีโอของบริษัททอลล์แบคเคน แคปิตัล แอดไวเซอร์สกล่าวว่า "หุ้นเอ็นวิเดียพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วมากในช่วงที่ผ่านมา และการพุ่งขึ้นแบบนี้ก็ส่งผลให้คุณไม่ต้องการที่จะเทขายหุ้นดังกล่าวออกมาเป็นคนสุดท้าย" และเขากล่าวเสริมว่า "นักลงทุนต้องการจะลงทุนในการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้น ดังนั้นถ้าหากนักลงทุนขายหุ้นเอ็นวิเดียออกมา ก็มีแนวโน้มสูงที่เงินลงทุนจะไหลเข้าสู่หุ้นคุณค่าและหุ้นกลุ่มวัฏจักรเศรษฐกิจ"
ถ้าหากนักลงทุนโยกย้ายเงินลงทุนออกจากหุ้นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ การทำเช่นนี้ก็จะช่วยลดความกังวลเรื่องการกระจุกตัวในตลาดหุ้นในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยบริษัทเอสแอนด์พี ดาวโจนส์ อินไดเซสรายงานว่า การลงทุนในดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 14% นับตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ แต่ราว 60% ของผลตอบแทนดังกล่าวมาจากบริษัทเพียงแค่ 5 แห่งเท่านั้น ซึ่งได้แก่บริษัทเอ็นวิเดีย, ไมโครซอฟท์, เมตา แพลตฟอร์มส์, แอลฟาเบท และอะเมซอนดอทคอม ทั้งนี้ เริ่มมีสัญญาณบ่งชี้ถึงการชะลอตัวในภาคเทคโนโลยีปรากฏออกมาแล้วในช่วงนี้ โดยหุ้นเอ็นวิเดียดิ่งลงมาแล้วราว 10% จากจุดสูงสุดของวันพฤหัสบดีที่ 20 มิ.ย. และส่งผลให้บริษัทเอ็นวิเดียก้าวลงจากตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
นายเพอร์เวสตั้งข้อสังเกตว่า มีสัญญาณบางประการที่บ่งชี้ว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นมากเกินไปแล้ว โดยสัญญาณดังกล่าวรวมถึงดัชนี RSI สำหรับหุ้นบริษัทที่ใหญ่ที่สุด 6 แห่งในตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งเป็นดัชนีที่ใช้วัดความเร็วและขนาดความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นกลุ่มนี้ โดยดัชนีดังกล่าวได้พุ่งขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ ทั้งนี้ นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยก็คาดการณ์ในทางบวกต่อตลาดหุ้นเป็นอย่างมากด้วย และนักลงทุนบางรายมองว่าสิ่งนี้ถือเป็นเครื่องบ่งชี้แบบสวนกระแส เพราะสิ่งนี้หมายความว่า เป็นเรื่องยากที่จะเกิดเหตุการณ์ที่สร้างความประหลาดใจในทางบวกต่อนักลงทุนได้
ผลสำรวจความเชื่อมั่นของสมาคมนักลงทุนรายย่อยสหรัฐ (AAII) อยู่ที่ระดับ 44% ในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 19 มิ.ย. ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวราว 8% ทางด้านแบงก์ ออฟ อเมริกา โกลบัล รีเสิร์ชระบุในผลสำรวจล่าสุดว่า ระดับความเชื่อมั่นของผู้จัดการกองทุนพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปลายปี 2021 ในขณะที่นักลงทุนปรับลดการถือครองเงินสด และปรับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้น ทั้งนี้ ถึงแม้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีย่อตัวลงในอนาคต ก็ไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่านักลงทุนจะหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นเติบโตเป็นเวลานาน เพราะว่าดัชนี Nasdaq 100 พุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 400% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่ดัชนี Russell 1000 สำหรับหุ้นกลุ่มคุณค่าของสหรัฐปรับขึ้นเพียงราว 70% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มคุณค่าก็บวกขึ้น 5.6% จากช่วงต้นปีนี้ ในขณะที่ดัชนีหุ้นบริษัทขนาดเล็กของสหรัฐปรับลง 0.5% จากช่วงต้นปีนี้--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
แมรี่ เออร์โดส ซีอีโอฝ่ายบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่งของเจพีมอร์แกน เชสกล่าวว่า บริษัทกำลังเห็นสัญญาณเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นในจีน ซึ่งจะส่งเสริมธุรกิจของบริษัทในจีน หลังจากที่ซบเซามาระยะหนึ่ง
การใช้จ่ายของผู้บริโภคของจีนกำลังแสดงสัญญาณการฟื้นตัวขึ้น และขณะที่จีนยังคงเผชิญกับปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ แต่รัฐบาลก็กำลังหาทางแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ซึ่งเป็น "สัญญาณบวกทั้งคู่"
บริษัทสหรัฐกำลังประเมินแนวโน้มของพวกเขาในจีน ขณะที่เศรษฐกิจจีนกำลังฟื้นตัวอย่างไม่ต่อเนื่อง และความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐย่ำแย่ลง สำหรับธนาคารต่างๆ ตลาดทุนที่ซบเซาถ่วงกิจกรรมในจีน และนักลงทุนกำลังจับตาผลของมาตรการหนุนของรัฐบาลต่อเศรษฐกิจ
เธอกล่าวว่า "สิ่งแวดล้อมทางธุรกิจในจีนท้าทายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ความเชื่อมั่นเริ่มเปลี่ยนเป็นสดใสมากขึ้นในเดือนมี.ค." พร้อมทั้งระบุว่า "นักลงทุนระยะยาวรู้และเข้าใจว่า จีนเป็นตลาดที่สำคัญมาก และเราจะยังคงเติบโตและขยายธุรกิจของเราในจีนต่อไป"
เจพีมอร์แกนเป็นบริษัทต่างประเทศแห่งแรกที่ถือครองบริษัทหลักทรัพย์ในจีนในปี 2021 และฝ่ายบริหารสินทรัพย์ในจีนมีพนักงาน 400 คน และเจพีมอร์แกนเป็นหนึ่งในบริษัทที่ลดตำแหน่งงานในจีนในปีนี้--จบ--
Eikon source text
ฝ่ายวิจัยโลกจากแบงก์ ออฟ อเมริกาเปิดเผยว่า นักลงทุนเทขายหุ้นคุณค่าของสหรัฐ และซื้อหุ้นเติบโตในรอบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 12 มิ.ย. ซึ่งมีการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อที่ชะลอตัวกว่าคาด ซึ่งทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรลดลง
ข้อมูลที่อ้างอิงจากอีพีเอฟอาร์พบว่า มีคำสั่งซื้อหุ้นเติบโตของสหรัฐ 1.8 พันล้านดอลลาร์ และคำสั่งขายหุ้นคุณค่าคิดเป็นมูลค่า 2.6 พันล้านดอลลาร์ในสัปดาห์ดังกล่าว
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐไม่เปลี่ยนแปลงในเดือนพ.ค. ซึ่งสวนทางกับที่คาดไว้ และทำให้ตลาดคาดการณ์มากขึ้นว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ โดยตามปกติ หุ้นกลุ่มเติบโตมักจะทำผลงานได้ดีในภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ
มีการถือครองเงินสด 4.0 หมื่นล้านดอลลาร์ในรอบสัปดาห์ดังกล่าวด้วย และนักลงทุนซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 1.8 พันล้านดอลลาร์ และตราสารหนี้ที่มีอันดับน่าลงทุน 7.7 พันล้านดอลลาร์
เฟดคาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งในปีนี้ ลดลงจากที่คาดไว้ในเดือนมี.ค.ว่าจะมีการลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง--จบ--
Eikon source text
นายไมเคิล วิลสัน ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุนของมอร์แกน สแตนเลย์กล่าวว่า ตลาดตราสารหนี้อาจจะได้รับประโยชน์ ถ้าหากประธานาธิบดีโจ ไบเดนชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง ขณะที่ฝ่ายบริหารของเขาจะพยายามปรับขึ้นภาษีเพื่อชดเชยงบรายจ่ายของรัฐบาลบางส่วน แต่ถ้าหากนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตปธน.ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 5 พ.ย. "นั่นก็จะเป็นผลดีกว่าสำหรับเศรษฐกิจ แต่เลวร้ายลงสำหรับตราสารหนี้"
ในรอบ 12-18 เดือนที่ผ่านมา นักลงทุนชื่นชอบหุ้นขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพสูง ซึ่งมีการทบทวนผลกำไร ซึ่งก็ทำให้เกิดอัลฟาสำหรับหุ้นเหล่านี้ โดยอัลฟาคือมาตรวัดผลการดำเนินงานของผู้จัดการกองทุนเชิงรุกที่บ่งชี้ความสามารถในการสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าดัชนีอ้างอิง
บริษัทและนักวิเคราะห์แก้ไขผลกำไรเพื่อรวมข้อมูลใหม่เกี่ยวกับผลการดำเนินงาน หรือเพื่อรวมการเปลี่ยนแปลงในภาวะเศรษฐกิจ
เขากล่าวว่า กฎการอพยพเข้าเมืองภายใต้การบริหารของทั้งคู่จะถูกจับตาอย่างใกล้ชิด ขณะที่ชัยชนะของนายไบเดนจะ "เอื้อหนุนมากขึ้นสำหรับอุปทานแรงงานและเงินเฟ้อ" ส่วนชัยชนะของนายทรัมป์จะ "ปิดพรมแดน" ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความวิตกด้านเงินเฟ้อขึ้นมาอีกครั้ง
เขายังคาดว่า ภาคพลังงานและภาคการเงิน รวมทั้งหุ้นขนาดเล็กจะพุ่งขึ้น ถ้านายทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง และบริษัทขนาดใหญ่จะได้รับประโยชน์จากการชนะการเลือกตั้งของนายไบเดน--จบ--
Eikon source text
สิงคโปร์/ลอนดอน--28 พ.ค.--รอยเตอร์
ตลาดเงินนิวยอร์คปิดทำการในวันจันทร์เนื่องในวันเมโมเรียล เดย์ของสหรัฐ ในขณะที่ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินปรับลงในวันจันทร์ และมีแนวโน้มว่าอาจจะปิดตลาดเดือนพ.ค.ในแดนลบ ซึ่งจะถือเป็นการปิดตลาดรายเดือนในแดนลบเป็นเดือนแรกของปีนี้ ทางด้านนักลงทุนรอดูตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐ, ยูโรโซน และกรุงโตเกียวของญี่ปุ่น ที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันศุกร์ที่ 31 พ.ค. เพื่อใช้ตัวเลขเหล่านี้ในการประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยทั่วโลก นอกจากนี้ นักลงทุนก็จะรอดูตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของเยอรมนีในวันพุธนี้ด้วย ทั้งนี้ นักลงทุนจะใช้ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของเยอรมนีและยูโรโซนในการประเมินว่า ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 6 มิ.ย.เหมือนที่เทรดเดอร์คาดการณ์กันไว้หรือไม่ ทางด้านนายฟิลิป เลน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของอีซีบีกล่าวในวันจันทร์ว่า จังหวะความเร็วในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของอีซีบีจะขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 104.56 ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยอ่อนค่าลงจาก 104.74 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ และดัชนีดอลลาร์มีแนวโน้มว่าอาจจะปิดตลาดเดือนพ.ค.ด้วยการดิ่งลง 1.5% จากเดือนเม.ย. ซึ่งจะถือเป็นการดิ่งลงรายเดือนครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2023
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 156.86 เยนในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยปรับลงจากระดับปิดตลาดวันศุกร์ที่ 156.99 เยน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0858 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันจันทร์ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 1.0845 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันศุกร์ หลังจากปรับขึ้น 0.9% ในสัปดาห์ที่แล้ว
ยูโรไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากผลสำรวจของสถาบัน Ifo ที่ออกมาในวันจันทร์ โดย Ifo รายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจของเยอรมนีทรงตัวที่ 89.3 ในเดือนพ.ค. ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 90.4 โดยรายงานนี้บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจเยอรมนีอาจจะฟื้นตัวอย่างเชื่องช้าในปีนี้
นักลงทุนรอดูดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันศุกร์นี้ เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มักใช้ดัชนี PCE เป็นมาตรวัดภาวะเงินเฟ้อ โดยนักลงทุนคาดว่าอัตราเงินเฟ้อของดัชนี PCE ในเดือนเม.ย.อาจอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับเดือนมี.ค. ทั้งนี้ นายคริส เวสตัน นักยุทธศาสตร์การลงทุนของบริษัทเพพเพอร์สโตนกล่าวว่า "นักลงทุนคาดการณ์ในตอนนี้ว่า มีโอกาสราว 50% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในเดือนก.ย. และนักลงทุนคาดว่าเฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงรวมกันราว 0.57% ในปีนี้ ดังนั้นนักลงทุนจะปรับเปลี่ยนการคาดการณ์ดังกล่าวก็ต่อเมื่อสหรัฐรายงานดัชนี PCE ที่แตกต่างไปจากที่คาดไว้เป็นอย่างมาก" และเขากล่าวเสริมว่า "ถ้าหากดัชนี PCE พื้นฐานของสหรัฐอยู่สูงกว่า 3% ตัวเลขดังกล่าวก็อาจจะส่งผลให้นักลงทุนปรับเปลี่ยนการคาดการณ์ได้ และสิ่งนี้จะส่งผลบวกต่อดอลลาร์ แต่ถ้าหากดัชนี PCE พื้นฐานอยู่ต่ำกว่า 2.7% นักลงทุนทั่วทั้งตลาดการเงินก็จะลดความกังวลเรื่องภาวะเงินเฟ้อ"
นักลงทุนรอดูดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของกรุงโตเกียวที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันศุกร์ เพราะตัวเลขนี้อาจจะบ่งชี้ถึงแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของทั้งประเทศญี่ปุ่น ส่วนเยนมีแนวโน้มว่าอาจจะปิดตลาดเดือนพ.ค.ในแดนบวกได้สำเร็จ ซึ่งจะถือเป็นการปิดตลาดรายเดือนในแดนบวกได้เป็นครั้งแรกของปีนี้ โดยเยนได้รับแรงหนุนจากความเป็นไปได้ที่ทางการญี่ปุ่นอาจเข้ามาแทรกแซงตลาดในช่วงปลายเดือนเม.ย.และต้นเดือนพ.ค. หลังจากดอลลาร์/เยนเพิ่งพุ่งขึ้นแตะ 160.245 เยนในวันที่ 29 เม.ย. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1990 หรือจุดสูงสุดรอบ 34 ปี อย่างไรก็ดี เยนไม่ได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (JGB) ในช่วงนี้ เพราะว่าส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทน JGB กับพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปียังคงอยู่ที่ระดับสูงเกือบถึง 3.50%--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน