ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
เพื่อเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็วและติดตามตลาดโฟกัสใน 15 นาที
ในโลกของมนุษยชาติ จะไม่มีคำกล่าวใด ๆ ที่ไม่มีจุดยืนใด ๆ หรือคำพูดใด ๆ ที่ไม่มีจุดประสงค์ใด ๆ
อัตราเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน และเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจเชิงนโยบายของธนาคารกลาง ทัศนคติและคำพูดของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยังมีอิทธิพลต่อการกระทำของเทรดเดอร์ในตลาดอีกด้วย
เงินทำให้โลกหมุนไป และสกุลเงินเป็นสินค้าถาวร ตลาดฟอเร็กซ์เต็มไปด้วยความประหลาดใจและความคาดหวัง
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
เพลิดเพลินกับกิจกรรมที่น่าตื่นเต้น ที่นี่ที่ FastBull
ข่าวด่วนล่าสุดและเหตุการณ์ทางการเงินทั่วโลก
ฉันมีประสบการณ์ 5 ปีในการวิเคราะห์ทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนามหภาคและการตัดสินแนวโน้มระยะกลางและระยะยาว ความสนใจของฉันอยู่ที่การพัฒนาของตะวันออกกลาง ตลาดเกิดใหม่ ถ่านหิน ข้าวสาลี และสินค้าเกษตรอื่นๆ
7 ปีของตลาดหุ้น การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โลหะมีค่า และประสบการณ์การซื้อขายและการวิเคราะห์อื่น ๆ โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐาน การสนับสนุนทางเทคนิค มีอคติต่อตรรกะธุรกรรมจากบนลงล่าง โดยเน้นที่วัฏจักรมหภาคและการควบคุมความเสี่ยง การคาดการณ์เชิงทฤษฎีอุปสงค์และอุปทานอเนกประสงค์ การเปลี่ยนแปลงของราคา สร้างสมดุลระหว่างผลกระทบของธุรกรรม การกระจายชิปและอารมณ์ตลาด และคงที่
อัปเดตล่าสุด
สร้างทัศนคติการลงทุนที่ดี
วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ปรัชญาการลงทุนของเขาประกอบด้วยการสร้างกรอบความคิดระยะยาว ขจัดญาณรบกวนของตลาด ไม่เก็งกำไร และเน้นย้ำว่าการลงทุนต้องมีมีจิตใจที่มั่นคงและเป้าหมายที่ชัดเจน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง
แม้ว่าระบบกฎหมายและกรอบการกำกับดูแลในฮ่องกงจะค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ตลาดหุ้นยังคงเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายพิเศษหลายประการ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่าง HKD และ USD นักลงทุนต่างชาติอาจเผชิญกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความผันผวนของนโยบายและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นฮ่องกงด้วย
โครงสร้างต้นทุนและภาษีเมื่อลงทุนในหุ้นฮ่องกง
ต้นทุนการซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมหุ้น ค่าอากรแสตมป์ ค่าธรรมเนียมการชำระบัญชี ฯลฯ สำหรับนักลงทุนต่างชาติอาจมีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินเพิ่มเติมเป็นดอลลาร์ฮ่องกงและภาษีอื่น ๆ ตามข้อบังคับท้องถิ่น
การวิเคราะห์อุตสาหกรรมฮ่องกง:อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็น
อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็นของฮ่องกง ได้แก่ รถยนต์ การศึกษา การท่องเที่ยว การจัดเลี้ยง เครื่องแต่งกาย และภาคส่วนอื่นๆ อีกมากมาย จากบริษัทจดทะเบียน 643 แห่งนั้น 35% เป็นบริษัทในจีนแผ่นดินใหญ่และคิดเป็น 65% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด ดังนั้นอุตสาหกรรมนี้จึงได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากเศรษฐกิจจีน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด
ไม่มีข้อมูล
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม
สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
กรุงเทพฯ--10 มิ.ย.--รอยเตอร์
ดอลลาร์สหรัฐดีดขึ้นในวันศุกร์ หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่งเกินคาด และตัวเลขดังกล่าวบ่งชี้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะใช้เวลานานก่อนที่จะเริ่มต้นวัฏจักรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงต่อไปในปีนี้ ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐพุ่งขึ้น 272,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 185,000 ตำแหน่ง แต่ทางกระทรวงได้ปรับทบทวนตัวเลขการจ้างงานของเดือนมี.ค.และเม.ย.ให้ต่ำลงจากเดิม 15,000 ตำแหน่ง ส่วนค่าแรงเฉลี่ยต่อชั่วโมงปรับขึ้น 0.4% ในเดือนพ.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากปรับขึ้น 0.2% ในเดือนเม.ย. ในขณะที่ค่าแรงแบบเทียบรายปีพุ่งขึ้น 4.1% ในเดือนพ.ค. หลังจากปรับขึ้น 4.0% ในเดือนเม.ย.เมื่อเทียบรายปี ทางด้านอัตราการว่างงานปรับขึ้นจาก 3.9% ในเดือนเม.ย. สู่ 4% ในเดือนพ.ค. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 104.92 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 104.11 ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี โดยการพุ่งขึ้นในวันศุกร์ถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย. โดยดัชนีดอลลาร์ปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการแข็งค่าขึ้นราว 0.2% จากสัปดาห์ที่แล้ว
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 156.70 เยนในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ โดยพุ่งขึ้นจากระดับปิดตลาดวันพฤหัสบดีที่ 155.60 เยน และเทียบกับจุดสูงสุดรอบ 34 ปีที่ 160.245 เยนที่เคยทำไว้ในวันที่ 29 เม.ย. อย่างไรก็ดี ดอลลาร์/เยนปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการอ่อนค่าลง 0.39% จากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการร่วงลงรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปลายเดือนเม.ย.
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0800 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันศุกร์ โดยร่วงลงจาก 1.0888 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี และปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการอ่อนค่าลง 0.38% จากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการร่วงลงรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ช่วงสัปดาห์วันที่ 8-14 เม.ย.
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับลงเล็กน้อยในวันศุกร์ หลังจากแกว่งตัวผันผวนในระหว่างวัน โดยตลาดหุ้นได้รับผลกระทบจากตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐที่พุ่งขึ้นสูงเกินคาดในเดือนพ.ค. ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐอยู่ในภาวะแข็งแกร่ง แต่ตัวเลขการจ้างงานดังกล่าวทำให้นักลงทุนกังวลว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเวลาที่ช้าเกินคาด โดยเทรดเดอร์คาดการณ์ในวันศุกร์ว่า มีโอกาสเพียง 56% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. และเทรดเดอร์ก็จะรอดูดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานอออกมาในวันที่ 12 มิ.ย. และจะรอดูผลการประชุมกำหนดนโยบายของเฟดในวันที่ 11-12 มิ.ย.ด้วย โดยเทรดเดอร์คาดว่า เฟดจะตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.25-5.50% ตามเดิมในการประชุมครั้งนี้ แต่เทรดเดอร์จะจับตาดูว่า เฟดจะเปิดโอกาสสำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย.หรือไม่ ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค, กลุ่มวัสดุ และกลุ่มบริการการสื่อสาร ถือเป็นหุ้น 3 กลุ่มที่ถ่วงตลาดหุ้นสหรัฐลงมากที่สุดในวันศุกร์ แต่หุ้นกลุ่มการเงินกับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีถือเป็นหุ้น 2 กลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด ทางด้านหุ้นบริษัทเอ็นวิเดียขยับลง 0.09% ในขณะที่มูลค่าของเอ็นวิเดียปรับลงสู่ระดับต่ำกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์อีกครั้ง Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับลง 0.22% สู่ 38,798.99 ในวันศุกร์ แต่ดัชนีปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการบวกขึ้น 0.29% จากสัปดาห์ที่แล้ว
ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.11% สู่ 5,346.99 ในวันศุกร์ หลังจากพุ่งขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ได้ในระหว่างวัน โดยดัชนีปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการพุ่งขึ้น 1.32% จากสัปดาห์ที่แล้ว
ดัชนี Nasdaq ปิดปรับลง 0.23% สู่ 17,133.13 ในวันศุกร์ แต่ดัชนีปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการทะยานขึ้น 2.38% จากสัปดาห์ที่แล้ว
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ขยับลงเล็กน้อยในวันศุกร์ โดยได้รับแรงกดดันจากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐที่พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งเกินคาดในเดือนพ.ค. เพราะตัวเลขดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนปรับลดการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเร็ว ๆ นี้ อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันได้รับแรงหนุนเข้ามาบ้าง หลังจากเจ้าชายอับดุลอาซิซ บิน ซัลมาน รมว.พลังงานของซาอุดิอาระเบียกล่าวในวันพฤหัสบดีว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร (โอเปกพลัส) อาจจะระงับการปรับเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมัน หรืออาจจะปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันลงไปได้อีก ถ้าหากกลุ่มโอเปกพลัสมองว่าตลาดน้ำมันไม่ได้อยู่ในภาวะที่แข็งแกร่งมากพอ ทางด้านนายอเล็กซานเดอร์ โนแวค รองนายกรัฐมนตรีรัสเซียกล่าวว่า กลุ่มโอเปกพลัสอาจจะปรับแก้ข้อตกลงได้ถ้าหากมีความจำเป็น ทั้งนี้ บริษัทเบเกอร์ ฮิวจ์รายงานในวันศุกร์ว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่ใช้งานในสหรัฐดิ่งลง 4 แท่น สู่ 492 แท่นในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 7 มิ.ย. โดยระดับ 492 แท่นนี้ถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2022 ส่วนคณะกรรมการการค้าสัญญาล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์ของสหรัฐ (CFTC) รายงานในวันศุกร์ว่า นักเก็งกำไรปรับลดการถือครองสถานะซื้อสุทธิในสัญญาล่วงหน้าและออปชั่นน้ำมันดิบสหรัฐลง 53,327 สัญญา สู่ 118,401 สัญญาในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 4 มิ.ย. ทางด้านสำนักงานศุลกากรจีนรายงานในวันศุกร์ว่า ปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบในจีนดิ่งลง 8.7% ในเดือนพ.ค.เมื่อเทียบรายปี โดยดิ่งลงสู่ 46.97 ล้านตัน หรือ 11.06 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนพ.ค. จาก 12.11 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนพ.ค.ปีก่อน ในขณะที่โรงกลั่นน้ำมันในจีนปรับลดการนำเข้าน้ำมันดิบ เนื่องจากมีการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นจำนวนมาก, อัตราผลกำไรจากการกลั่นน้ำมันอยู่ในระดับต่ำ และอุปสงค์ในผลิตภัณฑ์น้ำมันอยู่ในระดับต่ำ Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนก.ค.ขยับลง 2 เซนต์ มาปิดตลาดที่ 75.53 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการดิ่งลง 1.9% จากสัปดาห์ที่แล้ว
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนส.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนปรับลง 25 เซนต์ มาปิดตลาดที่ 79.62 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการรูดลง 2.5% จากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนลบเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐดิ่งลง 82.90 ดอลลาร์ หรือ 3.49% สู่ 2,292.71 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ และปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการดิ่งลง 1.47% จากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนลบเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน โดยราคาทองได้รับแรงกดดันจากตัวเลขการจ้างงานในสหรัฐที่พุ่งขึ้นสูงเกินคาดในเดือนพ.ค. เพราะตัวเลขดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนปรับลดการคาดการณ์เรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในปีนี้ ทางด้านเทรดเดอร์คาดการณ์ในวันศุกร์ว่า เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพียง 0.37% ในปีนี้ หลังจากที่เคยคาดไว้ก่อนหน้านั้นว่า เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.48% ในปีนี้ ทั้งนี้ ราคาทองได้รับแรงกดดันจากข่าวที่ว่า จีนซึ่งถือเป็นประเทศผู้ใช้ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก ไม่ได้เข้าซื้อทองในเดือนพ.ค.ด้วย หลังจากที่จีนเคยเข้าซื้อทองมานาน 18 เดือนติดต่อกัน Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นิวยอร์ค--9 เม.ย.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า มูลค่าหุ้นสหรัฐเคลื่อนตัวอยู่ใกล้ระดับที่สูงที่สุดในรอบราว 2 ปีในช่วงนี้ และมูลค่าหุ้นดังกล่าวอาจจะเผชิญกับบททดสอบในเร็ว ๆ นี้จากฤดูการรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทสหรัฐที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการในวันศุกร์ที่ 12 เม.ย. เมื่อธนาคารเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค, ซิตี้กรุ๊ป และเวลส์ ฟาร์โก แอนด์ โคเปิดเผยผลประกอบการออกมา และสายการบินเดลต้า แอร์ไลน์กับบริษัทแบล็คร็อคก็จะเปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสออกมาในเร็ว ๆ นี้ด้วย ทั้งนี้ ค่าพีอีเรโชของหุ้นในดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐอยู่ที่ 20.7 เท่าของตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรสำหรับช่วง 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งใกล้เคียงกับจุดสูงสุดในรอบกว่า 2 ปีที่ 21.2 เท่าที่เคยทำไว้ในช่วงปลายเดือนมี.ค. ในขณะที่ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 9% จากช่วงต้นปีนี้ แต่อาจจะเป็นเรื่องที่ยากมากยิ่งขึ้นที่ตลาดหุ้นสหรัฐจะยังคงทะยานขึ้นในอัตราที่แข็งแกร่งแบบนี้ได้อีกในช่วงหลังจากนี้
ถ้าหากบริษัทสหรัฐเปิดเผยผลกำไรที่ปรับขึ้นน้อยเกินคาด นักลงทุนก็อาจจะเทขายหุ้นออกมา โดยเฉพาะในช่วงที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งขึ้นในช่วงนี้ ซึ่งส่งผลให้พันธบัตรมีความน่าดึงดูดเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับหุ้น ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 2 ปีพุ่งขึ้นจาก 4.732% ในช่วงท้ายวันศุกร์ สู่ 4.789% ในช่วงท้ายวันจันทร์ และปรับขึ้นต่อไปสู่ 4.801% ในช่วงเช้าวันนี้ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 28 พ.ย. 2023 ทางด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นจาก 4.378% ในช่วงท้ายวันศุกร์ สู่ 4.424% ในช่วงท้ายวันจันทร์ หลังจากทะยานขึ้นแตะ 4.464% ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันจันทร์ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. หรือจุดสูงสุดรอบ 4 เดือน และอยู่ที่ 4.396% ในวันนี้
นักลงทุนจะจับตาดูความเห็นของบริษัทต่าง ๆ ที่มีต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและภาวะเงินเฟ้อ เพื่อใช้ในการประเมินว่า ภาวะเศรษฐกิจแบบพอเหมาะพอดีในช่วงนี้จะยังคงดำเนินต่อไปได้หรือไม่ โดยภาวะดังกล่าวคือภาวะที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจยังคงรักษาระดับความแข็งแกร่งเอาไว้ได้ แต่อัตราเงินเฟ้อของผู้บริโภคยังคงชะลอตัวลงต่อไป ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจปรับขึ้น 5% ในไตรมาสแรกเมื่อเทียบรายปี โดยปรับลดลงจากระดับ +7.2% ที่เคยคาดการณ์กันไว้ในช่วงต้นไตรมาสแรก และชะลอตัวลงจากอัตราการเติบโตที่ 10.1% ในไตรมาส 4/2023 โดยอัตรา +5% นี้จะถือว่าต่ำที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 2/2023 เป็นต้นมา ในขณะที่อัตราผลกำไรได้รับแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูง, การพุ่งขึ้นของต้นทุนสินค้าโภคภัณฑ์ และการที่ภาคเอกชนมีอำนาจน้อยลงในการกำหนดราคา ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง
นักลงทุนจะจับตาดูผลประกอบการของบริษัทขนาดยักษ์ของสหรัฐในช่วงนี้ด้วย หลังจากราคาหุ้นของบริษัทกลุ่ม "Magnificent 7" หรือบริษัทขนาดยักษ์ 7 แห่งที่ประกอบด้วย บริษัทแอปเปิล, ไมโครซอฟท์, แอลฟาเบท, อะเมซอนดอทคอม, เอ็นวิเดีย, เมตา แพลตฟอร์มส์ และเทสลา ปรับตัวในทิศทางที่แตกต่างกันในช่วงนี้ โดยหุ้นเอ็นวิเดียซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปมีราคาพุ่งขึ้นมาแล้ว 78% จากช่วงต้นปีนี้ แต่หุ้นเทสลามีราคาอยู่ที่ 172.98 ดอลลาร์ในช่วงนี้ โดยดิ่งลงมาแล้วราว 30% จาก 248.48 ดอลลาร์ในช่วงปลายปีที่แล้ว ในขณะที่เทสลายกเลิกแผนการผลิตรถยนต์ราคาถูก
นักลงทุนจะจับตาดูว่า ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของสหรัฐในช่วงนี้จะส่งผลบวกต่อรายได้และผลกำไรของบริษัทที่มักปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจหรือไม่ ซึ่งบริษัทในกลุ่มนี้รวมถึงบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มพลังงาน โดยหุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวได้ดีเป็นส่วนใหญ่ในปีนี้ ในขณะที่การพุ่งขึ้นในตลาดหุ้นสหรัฐกระจายออกไปในวงกว้าง แทนที่จะกระจุกตัวอยู่แต่ในหุ้นเติบโตและหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com ; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--14 มี.ค.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอ่อนค่าลงในวันพุธ หลังจากที่เพิ่งแข็งค่าขึ้นในวันอังคาร โดยได้รับแรงหนุนจากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐที่อยู่ในระดับสูงเกินคาด ในขณะที่นักลงทุนรอดูตัวเลขเศรษฐกิจต่าง ๆ ของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในสัปดาห์นี้ เพื่อใช้ในการประเมินว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเมื่อใด โดยตัวเลขที่นักลงทุนรอดูรวมถึงยอดค้าปลีก, ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) และยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันพฤหัสบดี ทั้งนี้ สกายลาร์ มอนต์โกเมอรี โคนิง ผู้อำนวยการฝ่ายแผนยุทธศาสตร์มหภาคของบริษัททีเอส ลอมบาร์ดระบุในเอกสารวิจัยว่า "ดัชนีดอลลาร์ยังคงปรับตัวตามการคาดการณ์เรื่องการผ่อนคลายนโยบายการเงินของเฟด และในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนก็มีความกังวลมากยิ่งขึ้นว่า เฟดอาจจะเลื่อนกำหนดในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยออกไปสู่ปี 2025 หรือกังวลว่าอัตราเงินเฟ้อจะพุ่งสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นการบีบบังคับให้เฟดต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง และสิ่งนี้ก็แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนกลับมากังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจจะเข้าสู่ภาวะ no landing" หรือภาวะที่เศรษฐกิจสหรัฐเติบโตสูงกว่าระดับศักยภาพและอัตราเงินเฟ้ออยู่สูงกว่าระดับศักยภาพ โดยที่เศรษฐกิจไม่ได้เข้าสู่ภาวะถดถอย นอกจากนี้ เธอยังกล่าวเสริมว่า เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งเกินคาดในช่วงนี้ "ดอลลาร์จึงมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้น ถึงแม้อาจจะเผชิญกับอุปสรรคบ้างเป็นบางครั้ง" Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 102.75 ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยอ่อนค่าลงจาก 102.92 ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร อย่างไรก็ดี ดัชนีดอลลาร์ยังคงพุ่งขึ้นมาแล้วราว 1.5% จากช่วงต้นปีนี้
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 147.74 เยนในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยปรับขึ้นจากระดับปิดตลาดวันอังคารที่ 147.68 เยน หลังจากดอลลาร์/เยนเพิ่งพุ่งขึ้นในวันอังคารในอัตราที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบ 1 เดือน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0946 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพุธ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 1.0924 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร
ดัชนีดาวโจนส์ของตลาดหุ้นสหรัฐขยับขึ้นในวันพุธ แต่ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ปรับลงในวันพุธ ในขณะที่นักลงทุนเทขายทำกำไรหุ้นกลุ่มชิป โดยดัชนีฟิลาเดลเฟียสำหรับหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐดิ่งลง 2.5% ในวันพุธ แต่ดัชนีฟิลาเดลเฟียยังคงพุ่งขึ้นมาแล้ว 17% จากช่วงต้นปีนี้ ทางด้านหุ้นบริษัทเอ็นวิเดียรูดลง 1.1% ในวันพุธ ในขณะที่นักลงทุนรอดูข่าวเกี่ยวกับงานประชุมผู้พัฒนาเทคโนโลยีหน่วยประมวลผลกราฟิกส์ (GTC) สำหรับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่จัดโดยเอ็นวิเดียในวันที่ 18-21 มี.ค. และรอดูข่าวเกี่ยวกับ AI ในช่วงนี้ด้วย ส่วนหุ้นบริษัทอินเทลดิ่งลง 4.4% หลังจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า กระทรวงกลาโหมสหรัฐยกเลิกแผนการให้เงิน 2.5 พันล้านดอลลาร์แก่อินเทล ทั้งนี้ หุ้นบริษัทแมคโดนัลด์สดิ่งลง 3.9% หลังจากหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของแมคโดนัลด์สระบุว่า ยอดขายต่างประเทศอาจจะปรับลดลงในไตรมาสปัจจุบัน ส่วนหุ้นบริษัทดอลลาร์ ทรีซึ่งทำธุรกิจเครือข่ายร้านขายสินค้าราคาถูกรูดลง 14.2% หลังจากดอลลาร์ ทรีประกาศว่าจะปิดห้างร้านเกือบ 1,000 แห่ง และทางบริษัทมียอดขาดทุนสุทธิในไตรมาสที่แล้ว โดยเป็นผลจากการด้อยค่าความนิยมลงกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดขยับขึ้น 0.1% สู่ 39,043.32
ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.19% สู่ 5,165.31
ดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลง 0.54% สู่ 16,177.77
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX พุ่งขึ้นในวันพุธ โดยได้รับแรงหนุนจากตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบและน้ำมันเบนซินในคลังสหรัฐที่ดิ่งลงอย่างรุนแรงเกินคาด และจากข่าวที่ว่ายูเครนใช้โดรนโจมตีโรงกลั่นน้ำมันของรัสเซีย ซึ่งส่งผลให้เกิดเหตุเพลิงไหม้ที่โรงกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทรอสเนฟท์ ในขณะที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซียกล่าวว่า การโจมตีดังกล่าวเป็นความพยายามในการสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีรัสเซียในสัปดาห์นี้ นอกจากนี้ ปธน.ปูตินยังกล่าวอีกด้วยว่า รัสเซียมีความพร้อมทางเทคนิคในการทำสงครามนิวเคลียร์ แต่เขายังไม่เห็นความจำเป็นในการใช้อาวุธนิวเคลียร์ในยูเครน และเขากล่าวเสริมว่า ถ้าหากสหรัฐส่งทหารเข้าไปในยูเครน สิ่งนี้ก็จะถือเป็นการยกระดับความขัดแย้งขึ้นเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานในวันพุธว่า สต็อกน้ำมันดิบในคลังสหรัฐดิ่งลง 1.5 ล้านบาร์เรล สู่ 447 ล้านบาร์เรลในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 8 มี.ค. ซึ่งสวนทางกับโพลล์รอยเตอร์ที่คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบอาจปรับขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินในคลังสหรัฐรูดลง 5.7 ล้านบาร์เรล สู่ 234.1 ล้านบาร์เรล ซึ่ถือเป็นการรูดลงเป็นสัปดาห์ที่ 6 ติดต่อกัน และเทียบกับโพลล์รอยเตอร์ที่คาดว่า สต็อกน้ำมันเบนซินอาจปรับลดลงเพียง 1.9 ล้านบาร์เรล ทางด้านสต็อกน้ำมัน distillate ในคลังสหรัฐ ซึ่งครอบคลุมน้ำมันดีเซลและน้ำมัน heating oil ปรับขึ้น 888,000 บาร์เรล สู่ 117.9 ล้านบาร์เรล Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนเม.ย.ทะยานขึ้น 2.16 ดอลลาร์ หรือ 2.8% มาปิดตลาดที่ 79.72 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนพุ่งขึ้น 2.11 ดอลลาร์ หรือ 2.6% มาปิดตลาดที่ 84.03 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งถือเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 6 พ.ย. 2023 หรือระดับปิดสูงสุดในรอบ 4 เดือน
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 16.41 ดอลลาร์ สู่ 2,174.40 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ ในขณะที่นักลงทุนยังคงคาดการณ์ตามเดิมว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 11-12 มิ.ย. นอกจากนี้ ราคาทองก็ได้รับแรงหนุนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความกังวลเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศด้วย ทั้งนี้ นายบ็อบ ฮาเบอร์คอร์น นักยุทธศาสตร์การลงทุนตลาดของบริษัทอาร์เจโอ ฟิวเจอร์สกล่าวว่า การปรับขึ้นของราคาทองในวันพุธเกิดจากคำสั่งช้อนซื้อเก็งกำไร และเขากล่าวเสริมว่า "นักลงทุนมองว่า ราคาทองจะได้รับแรงหนุนไม่ว่าสถานการณ์จะออกมาเป็นอย่างไรก็ตาม เพราะว่าถ้าหากเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย ราคาทองก็จะพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง แต่ถ้าหากเฟดไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ย นักลงทุนก็จะกังวลกับภาวะเงินเฟ้อ และความกังวลดังกล่าวก็อาจจะหนุนราคาทองให้สูงขึ้น" Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--13 มี.ค.--รอยเตอร์
ดอลลาร์สหรัฐแกว่งตัวผันผวนในระหว่างช่วงการซื้อขายวันอังคาร หลังจากสหรัฐรายงานตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่สูงเกินคาดในเดือนก.พ. และรายงานตัวเลขดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนปรับลดการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 11-12 มิ.ย. โดยดอลลาร์พุ่งขึ้นในช่วงแรกหลังจากมีการรายงานตัวเลขอัตราเงินเฟ้อ ก่อนที่จะร่วงลงในเวลาต่อมา และดีดขึ้นมาปิดตลาดในแดนบวกในวันอังคาร ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันอังคารว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทั่วไปของสหรัฐปรับขึ้น 0.4% ในเดือนก.พ.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งตรงกับตัวเลขคาดการณ์ ส่วนดัชนี CPI ทั่วไปแบบเทียบรายปีปรับขึ้น 3.2% ในเดือนก.พ. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ +3.1% ทางด้านดัชนี CPI พื้นฐานที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงานปรับขึ้น 0.4% ในเดือนก.พ.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ +0.3% ส่วนดัชนี CPI พื้นฐานแบบเทียบรายปีปรับขึ้น 3.8% ในเดือนก.พ. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ +3.7% Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 102.92 ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร โดยแข็งค่าขึ้นจาก 102.79 ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 147.68 เยนในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร โดยปรับขึ้นจากระดับปิดตลาดวันจันทร์ที่ 146.94 เยน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0924 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร ซึ่งใกล้เคียงกับระดับ 1.0926 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันจันทร์ หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 1.0980 ดอลลาร์ในวันศุกร์ที่ 8 มี.ค. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 12 ม.ค. หรือจุดสูงสุดในรอบ 2 เดือน
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันอังคาร ในขณะที่หุ้นออราเคิลซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านฐานข้อมูลทะยานขึ้น 11.7% และแตะสถิติสูงสุดใหม่ หลังจากออราเคิลเปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสที่แข็งแกร่งในวันจันทร์ และออราเคิลเตรียมที่จะออกแถลงการณ์ร่วมกันกับบริษัทเอ็นวิเดีย ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยหุ้นเอ็นวิเดียทะยานขึ้น 7.2% ในวันอังคาร ในขณะที่ดัชนีฟิลาเดลเฟียสำหรับหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐพุ่งขึ้น 2.1% ในวันอังคาร หลังจากที่ปิดตลาดในแดนลบมานานติดต่อกัน 2 วัน ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐด้วย เพราะถึงแม้สหรัฐรายงานตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่สูงเกินคาดในวันอังคาร ตัวเลขดังกล่าวก็ไม่ได้ทำให้นักลงทุนปรับเปลี่ยนการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยนักลงทุนในตลาดสัญญาล่วงหน้าคาดการณ์ในวันอังคารว่า มีโอกาส 69% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 11-12 มิ.ย. โดยปรับลดลงจากโอกาส 71% ที่เคยคาดไว้ในช่วงเย็นวันจันทร์ Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.61% สู่ 39,005.49
ดัชนี S&P 500 ปิดพุ่งขึ้น 1.12% สู่ 5,175.27 ซึ่งถือเป็นสถิติระดับปิดสูงสุดใหม่
ดัชนี Nasdaq ปิดทะยานขึ้น 1.54% สู่ 16,265.64
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ปรับลงในวันอังคาร หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐ โดย EIA คาดว่า ปริมารการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐอาจพุ่งขึ้น 260,000 บาร์เรลต่อวัน สู่ 13.19 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2024 โดยปรับเปลี่ยนจากเดิมที่เคยคาดว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบอาจปรับขึ้นเพียง 170,000 บาร์เรลต่อวันในปีนี้ นอกจากนี้ ราคาน้ำมันก็ได้รับแรงกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจด้วย ในขณะที่สำนักงานสถิติแรงงาน (BLS) ในกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันอังคารว่า ราคาผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเดือนก.พ. โดยเป็นผลจากต้นทุนที่สูงขึ้นในส่วนของราคาน้ำมันเบนซินและค่าที่พัก และรายงานตัวเลขนี้ส่งผลให้นักลงทุนคาดการณ์กันว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงจนกว่าจะถึงเดือนมิ.ย. อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันยังคงได้รับแรงหนุนเข้ามาบ้างในวันอังคารจากความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ ในขณะที่การเจรจาต่อรองเรื่องการหยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสเผชิญกับทางตัน และอิสราเอลยังคงสู้รบกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนด้วย ทั้งนี้ หลังจากตลาด NYMEX ปิดทำการในวันอังคาร การปิโตรเลียมสหรัฐ (API) ซึ่งเป็นหน่วยงานของเอกชน ได้เปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันสหรัฐประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 8 มี.ค. โดยระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบในคลังสหรัฐดิ่งลง 5.521 ล้านบาร์เรล, สต็อกน้ำมันเบนซินในคลังสหรัฐรูดลง 3.75 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมัน distillate ในคลังสหรัฐดิ่งลง 1.16 ล้านบาร์เรล ทางด้านกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ได้เปิดเผยรายงานรายเดือนในวันอังคาร โดยกลุ่มโอเปกคาดว่า อุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกอาจเพิ่มขึ้น 2.25 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2024 และอาจเพิ่มขึ้น 1.85 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2025 ซึ่งเท่ากับตัวเลขที่เคยคาดไว้ในเดือนที่แล้ว Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนเม.ย.ปรับลง 37 เซนต์ มาปิดตลาดที่ 77.56 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนปรับลง 29 เซนต์ มาปิดตลาดที่ 81.92 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐดิ่งลง 24.48 ดอลลาร์ หรือ 1.12% สู่ 2,157.99 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร และออกห่างจากสถิติสูงสุดที่ 2,194.99 ดอลลาร์ที่เคยทำไว้ในวันศุกร์ ในขณะที่ราคาทองได้รับแรงกดดันจากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่สูงเกินคาดในสหรัฐ เพราะตัวเลขดังกล่าวบ่งชี้ว่า มีโอกาสน้อยลงที่เฟดจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเร็ว ๆ นี้ ทั้งนี้ อาคาช โดชิ จากบริษัทซิตี้ รีเสิร์ชกล่าวว่า ราคาทองอาจจะสร้างฐานในช่วงนี้ และอาจจะเข้าสู่เสถียรภาพที่ระดับราว 2,100 ดอลลาร์ และอาจจะพุ่งขึ้นเหนือระดับ 2,200 ดอลลาร์ได้ก่อนสิ้นไตรมาสสองของปีนี้ Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--29 ก.พ.--รอยเตอร์
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเยนและยูโรในวันพุธ ในขณะที่นักลงทุนรอดูตัวเลขดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันพฤหัสบดีนี้ โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มักจะใช้ดัชนี PCE เป็นมาตรวัดภาวะเงินเฟ้อ โดยนักลงทุนคาดว่า ดัชนี PCE ทั่วไปในเดือนม.ค.อาจปรับขึ้น 0.3% เมื่อเทียบรายเดือน และอาจปรับขึ้น 2.4% เมื่อเทียบรายปี ส่วนดัชนี PCE พื้นฐานในเดือนม.ค.อาจปรับขึ้น 0.4% เมื่อเทียบรายเดือน และอาจปรับขึ้น 2.8% เมื่อเทียบรายปี โดยนักลงทุนจะใช้รายงาน PCE นี้ในการประเมินว่า เฟดมีแนวโน้มจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อใด นอกจากนี้ นักลงทุนก็จะรอดูตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของเยอรมนี, ฝรั่งเศส และสเปนที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพฤหัสบดี และรอดูตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันศุกร์ด้วย ทั้งนี้ นายโมฮัมหมัด อัล-ซาราฟ นักยุทธศาสตร์การลงทุนสกุลเงินของธนาคารดันสเกอกล่าวว่า "มีโอกาสที่อัตราเงินเฟ้อจะยังคงชะลอตัวลงต่อไปในยูโรโซน ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้ในเร็ว ๆ นี้ และเราก็คาดว่า ถ้าหากอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐลดลงได้ยากกว่าในยูโรโซน ปัจจัยนี้ก็จะหนุนดอลลาร์ให้อยู่ในระดับแข็งแกร่ง" Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 103.93 ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 103.84 ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 150.67 เยนในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยปรับขึ้นจากระดับปิดตลาดวันอังคารที่ 150.50 เยน หลังจากขึ้นไปแตะ 150.84 เยนในระหว่างวัน และเข้าใกล้จุดสูงสุดรอบ 3 เดือนที่ 150.88 เยนที่เคยทำไว้ในวันที่ 13 ก.พ.
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0836 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพุธ โดยอ่อนค่าลงจาก 1.0844 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร
ตลาดหุ้นสหรัฐขยับลงเล็กน้อยในวันพุธ ในขณะที่นักลงทุนรอดูตัวเลขดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ประจำเดือนม.ค.ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันพฤหัสบดีนี้ โดยนักลงทุนจะใช้ตัวเลขดังกล่าวในการประเมินว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเมื่อใด หลังจากตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI), ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) และตัวเลขเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่แข็งแกร่งในสหรัฐทำให้นักลงทุนคาดการณ์กันในตอนนี้ว่า เฟดอาจจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 11-12 มิ.ย. แทนที่จะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค.เหมือนอย่างที่เคยคาดการณ์กันไว้ในช่วงก่อนการรายงานตัวเลขเหล่านี้ ทางด้านซูซาน คอลลินส์ ประธานเฟดสาขาบอสตันกล่าวในวันพุธว่า เฟดควรจะใช้เวลาในการประเมินตัวเลขเศรษฐกิจต่าง ๆ ก่อนที่จะตัดสินใจปรับเปลี่ยนนโยบายใด ๆ เพื่อจะได้เป็นการสร้างความมั่นใจว่า เฟดจะสามารถบรรลุเป้าหมายทั้งสองประการของเฟด ซึ่งได้แก่เป้าหมายในการสร้างภาวะการจ้างงานเต็มที่และการสร้างเสถียรภาพของราคา ทั้งนี้ หุ้นบริษัทยูไนเต็ดเฮลธ์ที่ทำธุรกิจประกันสุขภาพดิ่งลง 2.95% ในวันพุธ และถือเป็นหุ้นที่ถ่วงดัชนีดาวโจนส์ลงมากที่สุด หลังจากมีข่าวออกมาในวันอังคารว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐเริ่มเปิดการสอบสวนยูไนเต็ดเฮลธ์ในคดีต่อต้านการผูกขาด ทางด้านหุ้นบริษัทแอพพลายด์ แมทีเรียลส์ ซึ่งเป็นผู้จัดหาอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์รูดลง 2.62% ในวันพุธ หลังจากทางบริษัทได้รับหมายเรียกจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) ในเดือนก.พ. เพื่อให้ทางบริษัทมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการส่งออกสินค้าให้แก่ลูกค้าบางรายในจีน Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดขยับลง 0.06% สู่ 38,949.02
ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.17% สู่ 5,069.76
ดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลง 0.55% สู่ 15,947.74
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ปรับลงในวันพุธ หลังจากเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่า เฟดจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในอนาคตอันใกล้นี้ โดยนายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์คกล่าวว่า ถึงแม้แรงกดดันเงินเฟ้อลดลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงที่ผ่านมา เขาก็ยังไม่พร้อมที่จะประกาศว่า เฟดได้ทำทุกอย่างที่จำเป็นต้องทำแล้วในการทำให้อัตราเงินเฟ้อกลับคืนสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% ทางด้านมิเชลล์ โบว์แมน หนึ่งในผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณในวันอังคารว่า เธอจะไม่รีบร้อนปรับลดอัตราดอกเบี้ยสหรัฐลง เนื่องจากมีความเสี่ยงด้านสูงต่อภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคขัดขวางความคืบหน้าในการควบคุมภาวะเงินเฟ้อ และความเสี่ยงดังกล่าวอาจจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นได้อีกด้วย ทั้งนี้ ราคาน้ำมันได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากการพุ่งขึ้นของสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐ หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานในวันพุธว่า สต็อกน้ำมันดิบในคลังสหรัฐพุ่งขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 5 ติดต่อกัน โดยพุ่งขึ้น 4.2 ล้านบาร์เรล สู่ 447.2 ล้านบาร์เรลในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 23 ก.พ. ในขณะที่นักวิเคราะห์ในโพลล์รอยเตอร์คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบอาจปรับขึ้นเพียง 2.7 ล้านบาร์เรล ทางด้านสต็อกน้ำมันเบนซินในคลังสหรัฐร่วงลงเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน โดยดิ่งลง 2.8 ล้านบาร์เรล สู่ 244.2 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมัน Distillate ในคลังสหรัฐ ซึ่งครอบคลุมน้ำมันดีเซลและน้ำมัน heating oil ปรับลดลง 510,000 บาร์เรล สู่ 121.1 ล้านบาร์เรล นอกจากนี้ EIA ยังรายงานอีกด้วยว่า อัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันในสหรัฐพุ่งขึ้น 0.9% สู่ 81.5% แต่อัตราดังกล่าวยังคงอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีสำหรับช่วงนี้ของปี โดยอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันอยู่ต่ำกว่า 83% ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ซึ่งถือว่ายาวนานที่สุดในรอบเกือบ 3 ปี Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนเม.ย.ปรับลง 33 เซนต์ หรือ 0.42% มาปิดตลาดที่ 78.54 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนเม.ย.ที่ตลาดกรุงลอนดอนขยับขึ้น 3 เซนต์ หรือ 0.04% มาปิดตลาดที่ 83.68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 4.98 ดอลลาร์ สู่ 2,034.62 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ ในขณะที่เทรดเดอร์รอดูตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่จะได้รับการรายงานออกมาในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงตัวเลขดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ที่รัฐบาลสหรัฐจะรายงานออกมาในวันพฤหัสบดี และเทรดเดอร์รอฟังถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่อาจบ่งชี้ถึงกำหนดเวลาที่เฟดจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยด้วย ทั้งนี้ นายบ็อบ ฮาเบอร์คอร์น นักยุทธศาสตร์การลงทุนตลาดของบริษัทอาร์เจโอ ฟิวเจอร์สกล่าวว่า "บรรยากาศการซื้อขายทองอยู่ในภาวะสงบเงียบในวันพุธ ก่อนที่จะมีการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจออกมาในวันพฤหัสบดี และเราก็คาดว่าราคาทองจะพุ่งขึ้นเหนือระดับ 2,050 ดอลลาร์ได้ก็ต่อเมื่อ มีการรายงานว่าอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง" Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--27 ก.พ.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินปรับลงในวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนรอดูตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวที่จะได้รับการรายงานออกมาในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะตัวเลขยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันอังคาร และดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพฤหัสบดี โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มักจะใช้ดัชนี PCE เป็นมาตรวัดภาวะเงินเฟ้อ และนักลงทุนก็จะใช้ตัวเลขเหล่านี้ในการประเมินว่า เฟดอาจจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อใด ทั้งนี้ นักลงทุนคาดการณ์ในตอนนี้ว่า แทบไม่มีโอกาสที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค. และนักลงทุนคาดว่า เฟดอาจจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 11-12 มิ.ย. หลังจากสหรัฐรายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ประจำเดือนม.ค.ที่แข็งแกร่งเกินคาดในช่วงกลางเดือนก.พ. Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 103.77 ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยอ่อนค่าลงจาก 103.95 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 150.69 เยนในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยปรับขึ้นจากระดับปิดตลาดวันศุกร์ที่ 150.50 เยน
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0847 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันจันทร์ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 1.0818 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันศุกร์ โดยยูโรแข็งค่าขึ้นในช่วง 8 วันจาก 9 วันทำการที่ผ่านมา
ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลงเล็กน้อยในวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนรอดูตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะตัวเลขยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันอังคาร และดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพฤหัสบดี โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มักจะใช้ดัชนี PCE เป็นมาตรวัดภาวะเงินเฟ้อ และนักลงทุนก็รอดูตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และกิจกรรมภาคการผลิตของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในสัปดาห์นี้ด้วย เพราะตัวเลขเหล่านี้อาจจะส่งผลกระทบต่อกำหนดเวลาที่เฟดจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ ดัชนี Nasdaq ขยับลงเพียงเล็กน้อยในวันจันทร์ เพราะว่าดัชนีได้รับแรงหนุนจากหุ้นบริษัทไมครอน เทคโนโลยีที่พุ่งขึ้น 4.02% ในขณะที่ไมครอนเริ่มต้นการผลิตเซมิคอนดักเตอร์หน่วยความจำความเร็วสูงจำนวนมาก เพื่อใช้ในชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของบริษัทเอ็นวิเดีย ทางด้านดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐพุ่งขึ้น 1.05% ในวันจันทร์ อย่างไรก็ดี หุ้นแอลฟาเบทซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิลดิ่งลง 4.44% หลังจากแอลฟาเบทประกาศแผนที่จะเปิดตัวเครื่องมือ AI อีกครั้งในอีกหลายสัปดาห์ข้างหน้า หลังจากแผนดังกล่าวหยุดชะงักลงในสัปดาห์ที่แล้ว Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับลง 0.16% สู่ 39,069.23
ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.38% สู่ 5,069.53 ในวันจันทร์ โดยก่อนหน้านี้ดัชนี S&P 500 เพิ่งปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนบวกมาได้นานถึง 15 สัปดาห์ในช่วง 17 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นครั้งที่สองในรอบ 50 ปีที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ส่วนครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นในปี 1989
ดัชนี Nasdaq ปิดขยับลง 0.13% สู่ 15,976.25
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX พุ่งขึ้นในวันจันทร์ โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์น้ำมันดีเซลในยุโรป ในขณะที่อุปทานน้ำมันในยุโรปประสบปัญหาจากมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย และจากการขาดตอนของการขนส่งน้ำมันผ่านทะเลแดง นอกจากนี้ กำลังการกลั่นน้ำมันของสหรัฐก็ดิ่งลงในช่วงที่ผ่านมา และปัจจัยนี้มีส่วนทำให้อุปทานน้ำมันดีเซลตึงตัวมากยิ่งขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาด้วย และส่งผลลบต่อยอดส่งออกน้ำมันดีเซลจากสหรัฐสู่ยุโรปในเดือนนี้ โดยค่าการกลั่นน้ำมันดีเซลในสหรัฐได้พุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 4 เดือนที่ระดับสูงกว่า 48 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในเดือนนี้ ทั้งนี้ กองบัญชาการกลางของสหรัฐรายงานว่า กลุ่มฮูตีในเยเมนพยายามโจมตีเรือขนส่งน้ำมันที่ติดธงชาติสหรัฐในวันเสาร์ที่ 24 ก.พ. ทางด้านนายเจค ซุลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาวกล่าวต่อสถานี CNN ในวันอาทิตย์ว่า ผู้เจรจาต่อรองของสหรัฐ, อียิปต์, กาตาร์ และอิสราเอลได้ตกลงกันเรื่องโครงร่างของข้อตกลงเรื่องตัวประกันในการเจรจาที่กรุงปารีส แต่การเจรจาต่อรองยังคงดำเนินต่อไป Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนเม.ย.ทะยานขึ้น 1.09 ดอลลาร์ หรือ 1.43% มาปิดตลาดที่ 77.58 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนเม.ย.ที่ตลาดกรุงลอนดอนพุ่งขึ้น 91 เซนต์ หรือ 1.11% มาปิดตลาดที่ 82.53 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับลง 5.03 ดอลลาร์ สู่ 2,030.69 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนรอดูตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวที่จะได้รับการรายงานออกมาในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐที่จะได้รับการรายงานออกมาในวันพฤหัสบดี โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มักจะใช้ดัชนี PCE เป็นมาตรวัดภาวะเงินเฟ้อ และนักลงทุนก็จะใช้ตัวเลขนี้ในการประเมินว่า เฟดอาจจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อใด โดยนักลงทุนคาดว่า ดัชนี PCE อาจปรับขึ้น 0.4% เมื่อเทียบรายเดือน ทั้งนี้ นายจิม วิคคอฟ นักวิเคราะห์ของบริษัทคิทโค เมทัลส์กล่าวว่า "ถ้าหากดัชนี PCE อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น สิ่งนี้ก็จะส่งผลลบต่อราคาททอง แต่ราคาทองจะยังคงรักษาระดับ 2,000 ดอลลาร์เอาไว้ได้ โดยราคาทองจะดิ่งผ่านระดับ 2,000 ดอลลาร์ลงไปได้ก็ต่อเมื่อ มีการรายานตัวเลขเศรษฐกิจในสัปดาห์นี้ที่แข็งแกร่งเกินคาดเป็นอย่างมาก" Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
กรุงเทพฯ--15 ก.พ.--รอยเตอร์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินปรับลงในวันพุธหลังจากพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 3 เดือนในระหว่างวัน โดยก่อนหน้านี้ดอลลาร์เพิ่งพุ่งขึ้นในวันอังคาร โดยได้รับแรงหนุนจากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือนม.ค.ของสหรัฐที่อยู่ในระดับแข็งแกร่งเกินคาด เพราะตัวเลขดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนปรับลดการคาดการณ์เรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทั้งนี้ สำนักงานสถิติแรงงาน (BLS) ในกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันอังคารว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐแบบเทียบรายปีปรับขึ้น 3.1% ในเดือนม.ค. หลังจากพุ่งขึ้น 3.4% ในเดือนธ.ค.เมื่อเทียบรายปี และออกห่างจากจุดสูงสุดของวัฏจักรที่ 9.1% ที่เคยทำไว้ในเดือนมิ.ย. 2022 แต่ตัวเลขดังกล่าวอยู่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ +2.9% สำหรับเดือนม.ค. ทางด้านนักลงทุนในตลาดสัญญาล่วงหน้า fed funds คาดการณ์ในตอนนี้ว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.25-5.50% ตามเดิมในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค. และคาดว่ามีโอกาสสูงเกือบถึง 80% ที่เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 11-12 มิ.ย. โดยนักลงทุนคาดการณ์กันอีกด้วยว่า เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพียง 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในปีนี้ หลังจากที่เคยคาดการณ์เมื่อสองสัปดาห์ก่อนว่า เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 5 ครั้งในปีนี้ Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 104.68 ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยอ่อนค่าลงจาก 104.86 ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร หลังจากปรับขึ้นแตะ 104.97 ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดรอบ 3 เดือน
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 150.55 เยนในช่วงท้ายตลาดวันพุธ โดยปรับลงจากระดับปิดตลาดวันอังคารที่ 150.79 เยน หลังจากดอลลาร์เพิ่งทะยานขึ้นแตะ 150.88 เยนในวันอังคาร ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. หรือจุดสูงสุดรอบ 3 เดือน โดยดอลลาร์/เยนพุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 6% จากช่วงต้นปีนี้ หรือทะยานขึ้นมาแล้วราว 10 เยนจากช่วงต้นปีนี้
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0725 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพุธ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 1.0709 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร หลังจากดิ่งลงแตะ 1.0693 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดรอบ 3 เดือน
ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันพุธ โดยได้รับแรงหนุนจากการทะยานขึ้นของหุ้นบริษัทสำคัญหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงหุ้นเอ็นวิเดีย ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปสำหรับปัญญาประดิษฐ์ (AI) รายใหญ่ ก่อนที่เอ็นวิเดียจะเปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสในสัปดาห์หน้า โดยหุ้นเอ็นวิเดียพุ่งขึ้นราว 2.5% ในวันพุธ และส่งผลให้มูลค่าตามราคาตลาดของเอ็นวิเดียทะยานขึ้นมาอยู่ที่ 1.825 ล้านล้านดอลลาร์ และส่งผลให้เอ็นวิเดียก้าวขึ้นมาครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่ามากเป็นอันดับ 3 ในตลาดหุ้นสหรัฐ โดยแทนที่บริษัทแอลฟาเบท ในขณะที่หุ้นแอลฟาเบทปรับขึ้น 0.55% ในวันพุธ ซึ่งส่งผลให้แอลฟาเบทมีมูลค่าตามราคาตลาดอยู่ที่ 1.821 ล้านล้านดอลลาร์ ทางด้านหุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์พุ่งขึ้น 2.86% ในวันพุธ ส่วนหุ้นเทสลาทะยานขึ้น 2.55% ในวันพุธ และหุ้นสองตัวนี้ก็มีส่วนช่วยหนุนดัชนี S&P 500 ขึ้นด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ตลาดหุ้นก็ได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นบริษัทลิฟท์และบริษัทอูเบอร์ ซึ่งเป็นสองบริษัทผู้ให้บริการเรียกรถด้วย โดยหุ้นลิฟท์พุ่งขึ้น 35% หลังจากลิฟท์เปิดเผยผลกำไรที่สูงเกินคาด และประกาศว่าลิฟท์จะมีตัวเลขกระแสเงินสดอิสระเป็นบวกได้เป็นครั้งแรกในปี 2024 ส่วนหุ้นอูเบอร์พุ่งขึ้น 14.7% สู่สถิติสูงสุดใหม่ โดยได้รับแรงหนุนจากแผนซื้อคืนหุ้นขนาด 7 พันล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น มีอยู่ 9 กลุ่มใหญ่ที่ปิดตลาดวันพุธในแดนบวก โดยดัชนีหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมพุ่งขึ้น 1.67% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุด ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มบริการการสื่อสารทะยานขึ้น 1.42% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากเป็นอันดับสอง ทางด้านดัชนี Russell 2000 สำหรับหุ้นบริษัทขนาดเล็กของสหรัฐทะยานขึ้น 2.4% ในวันพุธ โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นบริษัทซูเปอร์ ไมโคร คอมพิวเตอร์ที่ทะยานขึ้นกว่า 11% โดยบริษัทแห่งนี้ทำธุรกิจขายอุปกรณ์เซิร์ฟเวอร์ Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.40% สู่ 38,424.27
ดัชนี S&P 500 ปิดพุ่งขึ้น 0.96% สู่ 5,000.62
ดัชนี Nasdaq ปิดทะยานขึ้น 1.30% สู่ 15,859.15
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ดิ่งลงในวันพุธ ในขณะที่มีความกังวลกันว่าอุปสงค์น้ำมันในสหรัฐอาจจะลดลงในอนาคต หลังจากนายไมค์ เทอร์เนอร์ ประธานคณะกรรมาธิการข่าวกรองประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐออกแถลงการณ์ในวันพุธเพื่อเตือนว่า "มีภัยคุกคามอย่างร้ายแรงต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐ" แต่เขาไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมในเรื่องนี้ และสิ่งนี้ก็สร้างความกังวลต่อนักลงทุนบางราย ทั้งนี้ ราคาน้ำมันได้รับแรงกดดันจากตัวเลขสต็อกน้ำมันด้วย โดยสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานในวันพุธว่า สต็อกน้ำมันดิบในคลังสหรัฐพุ่งขึ้น 12.0 ล้านบาร์เรล สู่ 439.5 ล้านบาร์เรลในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 9 ก.พ. ถึงแม้โพลล์รอยเตอร์คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบอาจปรับขึ้นเพียง 2.6 ล้านบาร์เรล โดย EIA ระบุอีกด้วยว่า ปริมาณการนำน้ำมันดิบเข้ากลั่นในโรงกลั่นสหรัฐดิ่งลง 298,000 บาร์เรลต่อวัน สู่ 14.54 ล้านบาร์เรลต่อวันในสัปดาห์ล่าสุด และอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันรูดลง 1.8% สู่ 80.6% ในสัปดาห์ล่าสุด ซึ่งต่างก็ถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2022 ซึ่งเป็นเดือนที่โรงกลั่นน้ำมันหลายแห่งในสหรัฐปิดทำการเพราะพายุฤดูหนาวเอลเลียต Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนมี.ค.รูดลง 1.23 ดอลลาร์ หรือ 1.6% มาปิดตลาดที่ 76.64 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนเม.ย.ที่ตลาดกรุงลอนดอนดิ่งลง 1.17 ดอลลาร์ หรือ 1.4% มาปิดตลาดที่ 81.60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐขยับขึ้น 0.26 ดอลลาร์ สู่ 1,992.39 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันพุธ หลังจากดิ่งลงแตะ 1,984.09 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค. หรือจุดต่ำสุดรอบ 2 เดือน โดยราคาทองยังคงได้รับแรงกดดันจากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือนม.ค.ที่แข็งแกร่งเกินคาดในสหรัฐ เพราะตัวเลขดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนปรับลดการคาดการณ์เรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อย่างไรก็ดี ราคาพัลลาเดียมพุ่งขึ้นกว่า 8% ในวันพุธ Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน