ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
เพื่อเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็วและติดตามตลาดโฟกัสใน 15 นาที
ในโลกของมนุษยชาติ จะไม่มีคำกล่าวใด ๆ ที่ไม่มีจุดยืนใด ๆ หรือคำพูดใด ๆ ที่ไม่มีจุดประสงค์ใด ๆ
อัตราเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน และเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจเชิงนโยบายของธนาคารกลาง ทัศนคติและคำพูดของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยังมีอิทธิพลต่อการกระทำของเทรดเดอร์ในตลาดอีกด้วย
เงินทำให้โลกหมุนไป และสกุลเงินเป็นสินค้าถาวร ตลาดฟอเร็กซ์เต็มไปด้วยความประหลาดใจและความคาดหวัง
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
เพลิดเพลินกับกิจกรรมที่น่าตื่นเต้น ที่นี่ที่ FastBull
ข่าวด่วนล่าสุดและเหตุการณ์ทางการเงินทั่วโลก
ฉันมีประสบการณ์ 5 ปีในการวิเคราะห์ทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนามหภาคและการตัดสินแนวโน้มระยะกลางและระยะยาว ความสนใจของฉันอยู่ที่การพัฒนาของตะวันออกกลาง ตลาดเกิดใหม่ ถ่านหิน ข้าวสาลี และสินค้าเกษตรอื่นๆ
7 ปีของตลาดหุ้น การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โลหะมีค่า และประสบการณ์การซื้อขายและการวิเคราะห์อื่น ๆ โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐาน การสนับสนุนทางเทคนิค มีอคติต่อตรรกะธุรกรรมจากบนลงล่าง โดยเน้นที่วัฏจักรมหภาคและการควบคุมความเสี่ยง การคาดการณ์เชิงทฤษฎีอุปสงค์และอุปทานอเนกประสงค์ การเปลี่ยนแปลงของราคา สร้างสมดุลระหว่างผลกระทบของธุรกรรม การกระจายชิปและอารมณ์ตลาด และคงที่
อัปเดตล่าสุด
สร้างทัศนคติการลงทุนที่ดี
วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ปรัชญาการลงทุนของเขาประกอบด้วยการสร้างกรอบความคิดระยะยาว ขจัดญาณรบกวนของตลาด ไม่เก็งกำไร และเน้นย้ำว่าการลงทุนต้องมีมีจิตใจที่มั่นคงและเป้าหมายที่ชัดเจน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง
แม้ว่าระบบกฎหมายและกรอบการกำกับดูแลในฮ่องกงจะค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ตลาดหุ้นยังคงเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายพิเศษหลายประการ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่าง HKD และ USD นักลงทุนต่างชาติอาจเผชิญกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความผันผวนของนโยบายและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นฮ่องกงด้วย
โครงสร้างต้นทุนและภาษีเมื่อลงทุนในหุ้นฮ่องกง
ต้นทุนการซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมหุ้น ค่าอากรแสตมป์ ค่าธรรมเนียมการชำระบัญชี ฯลฯ สำหรับนักลงทุนต่างชาติอาจมีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินเพิ่มเติมเป็นดอลลาร์ฮ่องกงและภาษีอื่น ๆ ตามข้อบังคับท้องถิ่น
การวิเคราะห์อุตสาหกรรมฮ่องกง:อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็น
อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็นของฮ่องกง ได้แก่ รถยนต์ การศึกษา การท่องเที่ยว การจัดเลี้ยง เครื่องแต่งกาย และภาคส่วนอื่นๆ อีกมากมาย จากบริษัทจดทะเบียน 643 แห่งนั้น 35% เป็นบริษัทในจีนแผ่นดินใหญ่และคิดเป็น 65% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด ดังนั้นอุตสาหกรรมนี้จึงได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากเศรษฐกิจจีน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด
ไม่มีข้อมูล
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม
สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
3 ก.ย.--รอยเตอร์
หลังจากหน่วยงานควบคุมกฎระเบียบของสหรัฐอนุมัติให้มีการจัดตั้งกองทุนสปอตบิทคอยน์ ETF จำนวน 10 แห่งในช่วงต้นปีนี้ กองทุนเหล่านี้ก็มีขนาดรวมกันสูงกว่า 5.2 หมื่นล้านดอลลาร์แล้วในช่วงปลายเดือนส.ค. หรือในเวลาราว 8 เดือนนับตั้งแต่เริ่มต้นก่อตั้ง ซึ่งถือเป็นการขยายตัวอย่างรวดเร็วเกินคาดเป็นอย่างมาก เพราะว่านายแมทธิว ฮูแกน ซีอีโอของบริษัทบิทไวส์เคยกล่าวในเดือนต.ค. 2023 ว่า เขาคาดว่ากองทุนสปอตบิทคอยน์ ETF จะดึงดูดเงินลงทุนได้ 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 5 ปีแรก ทั้งนี้ ฮูแกนกล่าวว่า "ผมไม่ได้คาดการณ์ในทางบวกมากพอในตอนนั้น" และเขากล่าวเสริมว่า "เราจะต้องวัดขนาดธุรกิจนี้โดยใช้หน่วยเป็นแสนล้านดอลลาร์"
ถึงแม้กองทุนสปอตบิทคอยน์ ETF เติบโตอย่างรวดเร็วมากในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา การที่ธุรกิจนี้จะได้รับการยอมรับในวงกว้างในฐานะสินทรัพย์กระแสหลักก็อาจจะดำเนินไปอย่างเชื่องช้าและไม่ราบรื่นในช่วงต่อจากนี้ โดยอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ถือเป็นหมุดหมายสำคัญสำหรับธุรกิจนี้เพิ่งเกิดขึ้นในเดือนส.ค. เมื่อธนาคารมอร์แกน สแตนเลย์ตัดสินใจอนุญาตให้ที่ปรึกษาทางการเงินของมอร์แกน สแตนเลย์ ซึ่งมีจำนวนรวมกันราว 15,000 คน สามารถให้คำแนะนำแก่ลูกค้าเรื่องการลงทุนในกองทุนบิทคอยน์ ETF อย่างน้อย 2 กองทุน ซึ่งได้แก่กองทุนไอแชร์ส บิทคอยน์ ทรัสต์ และกองทุนฟิเดลิตี ไวส์ ออริจิน บิทคอยน์ ฟันด์ ทั้งนี้ นายจอห์น ฮอฟฟ์แมน จากกองทุนเกรย์สเกล ฟันด์ระบุว่า "สิ่งที่ไม่อาจจะยอมรับได้ในตอนนี้ ก็คือการไม่ประเมินมูลค่าและไม่ทำความเข้าใจในผลิตภัณฑ์เหล่านี้" และเขากล่าวเสริมว่า "ความเสี่ยงสำหรับธุรกิจบริหารความมั่งคั่งในตอนนี้ได้พลิกไปเป็นความเสี่ยงที่เกิดจากการไม่เข้าไปลงทุน"
กระแสเงินลงทุนที่ไหลเข้าสู่กองทุน ETF แห่งใหม่เหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากนักลงทุนรายย่อย โดยมีนักลงทุนสถาบันขนาดใหญ่เพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่เปิดเผยสถานะการลงทุนในกองทุนเหล่านี้ โดยนักลงทุนสถาบันเหล่านี้รวมถึงกองทุนเฮดจ์ฟันด์ และคณะกรรมการการลงทุนของรัฐวิสคอนซิน ทั้งนี้ การที่มอร์แกน สแตนเลย์ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในประเด็นนี้ บ่งชี้ว่ากองทุนคริปโต ETF อาจจะต้องใช้เวลาอีกนานก่อนที่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนกระแสหลัก โดยนายแอนดรูว์ ลอม ทนายความของบริษัทนอร์ตัน โรส ฟุลไบรท์ระบุว่า "มอร์แกน สแตนเลย์ถูกมองว่าล้ำหน้ามากในเรื่องนี้ และนั่นแสดงให้เห็นว่า การที่มอร์แกน สแตนเลย์เคลื่อนไหวก่อนธนาคารแห่งอื่น ๆ ก็ส่งผลให้มอร์แกน สแตนเลย์ถูกมองว่าทำในสิ่งที่เสี่ยงสูงด้วยเหมือนกัน"
นายลอมระบุว่า บททดสอบที่แท้จริงสำหรับประเด็นที่ว่า กองทุนสปอตบิทคอยน์ ETF เหล่านี้จะเป็นการลงทุนกระแสหลักหรือไม่ ขึ้นอยู่กับทั้งขนาดและสภาพคล่องของกองทุนเหล่านี้ และเขากล่าวเสริมว่า "ในอนาคตนั้น นักลงทุนจะเริ่มคิดถึงและพูดถึงกองทุนเหล่านี้ในฐานะของสิ่งหนึ่งที่สามารถลงทุนได้ตามปกติ และเมื่อนั้นผู้จัดทำโมเดลพอร์ตลงทุนสมัยใหม่ก็จะเริ่มพิจารณาว่า จะให้กองทุนเหล่านี้ครองสัดส่วนเท่าใดในพอร์ตลงทุน" ทั้งนี้ บททดสอบขั้นต่อไปสำหรับกองทุนสปอตบิทคอยน์ ETF ก็คือว่า โมเดลพอร์ตลงทุนจะเริ่มบรรจุกองทุนเหล่านี้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตลงทุนเมื่อใด โดยมีการคาดการณ์กันว่า สิ่งนี้จะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 6-12 เดือนถึงจะเกิดขึ้นได้
กองทุนสปอตอีเธอเรียม ETF มีอนาคตที่ไม่แน่นอนมากกว่ากองทุนบิทคอยน์ โดยกองทุนสปอตอีเธอเรียม ETF เพิ่งเปิดตัวในวันที่ 23 ก.ค. และกองทุนกลุ่มนี้ก็มีขนาดเกือบถึง 7 พันล้านดอลลาร์ในเวลา 1 เดือนต่อมา โดยหนึ่งในกองทุนขนาดใหญ่ในกลุ่มนี้คือกองทุนไอแชร์ อีเธอเรียม ทรัสต์ของบริษัทแบล็คร็อคที่มีขนาดสินทรัพย์ 900 ล้านดอลลาร์ แต่กองทุนดังกล่าวก็เติบโตช้ากว่ากองทุนบิทคอยน์ของแบล็คร็อคเป็นอย่างมาก เพราะกองทุนบิทคอยน์ของแบล็คร็อคมีขนาดพุ่งขึ้นถึง 1 พันล้านดอลลาร์ได้ใน 4 วันแรกของการเปิดขาย ทั้งนี้ นักลงทุนบางรายคาดการณ์อย่างระมัดระวังต่อแนวโน้มของกองทุนอีเธอเรียม โดยตั้งข้อสังเกตว่าอีเธอร์ถือเป็นสกุลเงินคริปโตที่มีความแตกต่างเป็นอย่างมากจากบิทคอยน์ โดยนายซุย ชุง ซีอีโอของบริษัทซีเอฟ เบนช์มาร์คส์ระบุว่า "ถ้าหากบิทคอยน์ถือเป็นทองคำดิจิทัล อีเธอร์ก็ถือเป็นน้ำมันดิจิทัล โดยสาเหตุที่อาจจะส่งผลให้อีเธอเรียมมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ก็คือการที่ประชาชนอาจจะต้องใช้อีเธอร์ในการเคลื่อนย้ายสินทรัพย์ไปมาในเครือข่ายดิจิทัล เหมือนกับที่ประชาชนใช้น้ำมันในการทำงานในโลกแห่งความเป็นจริง"--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นายเดวิด โรกัล ผู้จัดการกลุ่มตราสารหนี้พื้นฐานของแบล็คร็อคกล่าวว่า การพุ่งขึ้นของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ผ่านมา ซึ่งเกิดขึ้นจากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างมีนัยสำคัญนั้น เป็นการพุ่งขึ้นมากเกินไป ขณะที่การฟื้นตัวไวของเศรษฐกิจอาจจะทำให้ไม่จำเป็นที่เฟดจะต้องลดอัตราดอกเบี้ยลงมากเท่ากับที่ตลาดคาดไว้ อย่างไรก็ดี เฟดก็น่าจะเริ่มลดดอกเบี้ยในเดือนที่แล้วเพื่อค่อยๆปรับไปสู่นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลง
ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดิ่งลง หลังจากข้อมูลภาคการผลิตที่อ่อนแอ และข้อมูลการจ้างงานในสัปดาห์ที่แล้วทำให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับภาวะถดถอย และมีการปรับคาดการณ์ใหม่เกี่ยวกับนโยบายการเงินสำหรับช่วงที่เหลือของปีนี้
เขากล่าวว่า การพุ่งขึ้นดังกล่าวทำให้มูลค่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐน่าสนใจลดลง โดยราคาพันธบัตรร่วงลงเมื่อวานนี้ แต่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปียังคงต่ำกว่าสัปดาห์ที่แล้วอยู่ราว 0.50% และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีลดลง 0.40% ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่นักลงทุนคาดการณ์ว่า จะมีการลดดอกเบี้ยลงราว 1.14% ในปีนี้ ซึ่งมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ในสัปดาห์ที่แล้วเกือบสองเท่า
การพุ่งขึ้นอีกของราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะสะท้อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าเฟดลดดอกเบี้ย เขาก็คาดว่า เศรษฐกิจจะชะลอตัวอย่างนุ่มนวล หรือสถานการณ์ที่เงินเฟ้อลดลงโดยที่ไม่ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวครั้งใหญ่
เขากล่าวว่า เฟดน่าจะเริ่มลดดอกเบี้ย 0.25% ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเฟดมีมติคงดอกเบี้ยไว้ที่ 5.25-5.5% "ปฏิกริยาบางส่วนของตลาดก็คือ ดูเหมือนว่าเฟดกำลังขึ้นดอกเบี้ยช้าไปอยู่เล็กน้อย และนั่นเพิ่มโอกาสที่จะมีการลดดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนก.ย. ซึ่งอาจจะดูตื่นตระหนกบ้าง"--จบ--
Eikon source text
31 ก.ค.--รอยเตอร์
บริษัทหลายแห่งทั่วโลกรายงานว่า ผลกำไรเพิ่มขึ้นในไตรมาสล่าสุด แต่ทางบริษัทปรับลดแนวโน้มผลกำไรและยอดขายตลอดทั้งปีลง ในขณะที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั่วโลกได้รับแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงและจากความอ่อนแอของเศรษฐกิจจีน ทั้งนี้ บริษัทราว 40% ในสหรัฐและยุโรปได้รายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุดออกมาแล้ว และผลกำไรของบริษัทเหล่านี้ก็อยู่ในระดับที่ตรงตามความคาดหมาย อย่างไรก็ดี เนื่องจากตลาดหุ้นทั่วโลกพุ่งขึ้นไปมากแล้วในช่วงที่ผ่านมา ผลกำไรที่ตรงตามความคาดหมายจึงอาจจะสร้างความผิดหวังต่อนักลงทุนได้ โดยบริษัทชื่อดังที่สร้างความผิดหวังต่อนักลงทุนในช่วงนี้รวมถึงบริษัทแมคโดนัลด์, นิสสันซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์, เทสลาซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า, เนสท์เล่ และดิอาจิโอ ซึ่งเป็นบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคยักษ์ใหญ่
นักลงทุนจับตาดูผลประกอบการของบริษัทขนาดยักษ์หลายแห่งในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงบริษัทไมโครซอฟท์ที่เปิดเผยผลประกอบการออกมาในช่วงเย็นวันอังคาร, บริษัทเมตา ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊กที่จะเปิดเผยผลประกอบการออกมาในวันพุธ, บริษัทแอปเปิลกับบริษัทอะเมซอนที่จะเปิดเผยผลประกอบการออกมาในวันพฤหัสบดี, บริษัทซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ของเกาหลีใต้, บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ของญี่ปุ่น, บริษัทเอ็กซอน โมบิลในกลุ่มน้ำมันของสหรัฐ, บริษัทเชลล์ในกลุ่มน้ำมัน, บริษัทลอรีอัลของฝรั่งเศส และบริษัทอาดิดาสของเยอรมนี ทั้งนี้ บริษัทหลายแห่งทั่วโลกระบุว่า ผลกำไรของบริษัทเผชิญกับปัญหาสำคัญ 2 ประการ โดยปัญหาแรกคืออัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูง ซึ่งส่งผลลบต่อปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค และปัญหาที่สองคือความอ่อนแอทางเศรษฐกิจในจีน โดยจีนถือเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก
แมคโดนัลด์เพิ่งรายงานว่า ยอดขายทั่วโลกลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 13 ไตรมาส โดยเป็นผลจากความอ่อนแอทางเศรษฐกิจในจีน ส่วนบริษัทยูนิลีเวอร์, วีซ่า และแอสตัน มาร์ตินก็ตั้งข้อสังเกตถึงความอ่อนแอทางเศรษฐกิจในจีนด้วยเช่นกัน ทางด้านนักวิเคราะห์ระบุเตือนว่า อุปสงค์ในจีนไม่มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวขึ้นในเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากผู้บริโภคจีนได้รับแรงกดดันจากภาคอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในภาวะตกต่ำมาเป็นเวลานาน และจากความไม่มั่นคงทางการทำงาน ทั้งนี้ ผลกำไรต่อหุ้นของบริษัทสหรัฐพุ่งขึ้นเกือบ 12% จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน ซึ่งถือเป็นอัตราการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดรอบ 10 ไตรมาส ส่วนผลกำไรของบริษัทยุโรปปรับขึ้น 4% ในไตรมาสล่าสุด ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงเกินคาด และถือเป็นการปรับขึ้นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2022
บริษัทสหรัฐปรับลดคาดการณ์ผลกำไรไตรมาสสามลงในช่วงนี้ โดยบริษัทสหรัฐคาดว่า ผลกำไรไตรมาสสามอาจปรับขึ้นเพียง 7.3% เมื่อเทียบรายปี โดยปรับลดลงจาก +8.6% ที่เคยคาดไว้ในช่วงต้นเดือนก.ค. ทั้งนี้ ทั้งบริษัทเนสท์เล่และยูนิลีเวอร์ต่างก็รายงานยอดขายครึ่งปีแรกที่เติบโตน้อยเกินคาด ในขณะที่บริษัทโดยรวมในเยอรมนีและฝรั่งเศสคาดการณ์ในทางลบมากยิ่งขึ้น และทำให้นักลงทุนกังวลว่าเศรษฐกิจยูโรโซนอาจจะฟื้นตัวอย่างเฉื่อยชา โดยสำนักงานสถิติฝรั่งเศสรายงานในสัปดาห์ที่แล้วว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจโดยรวมของฝรั่งเศสดิ่งลงจาก 99 ในเดือนมิ.ย. สู่ 94 ในเดือนก.ค. ส่วนสถาบัน Ifo รายงานในสัปดาห์ที่แล้วว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจของเยอรมนีดิ่งลงจาก 88.6 ในเดือนมิ.ย. สู่ 87.0 ในเดือนก.ค.
บริษัทรถยนต์หลายแห่งกำลังเผชิญปัญหาในสหรัฐ ซึ่งเป็นปัญหาจากสต็อกสินค้าคงคลังที่ระดับสูง และปัญหาด้านโลจิสติกส์ ซึ่งสร้างความเสียหายต่อผลกำไรของบริษัทฟอร์ด มอเตอร์, สเตลแลนทิส และนิสสัน ทางด้านเทสลาเพิ่งรายงานผลประกอบการที่น่าผิดหวังในไตรมาสล่าสุด และนักลงทุนหลายรายก็มองว่า บริษัทเทสลามีมูลค่าสูงเกินไป ในขณะที่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าชะลอตัวลง--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการตรวจสอบภาวะวิกฤติประจำปีพบว่า ธนาคารสหรัฐที่ใหญ่ที่สุดมีเงินทุนเพียงพอที่จะต้านทานภาวะปั่นป่วนทางเศรษฐกิจและตลาดที่ร้ายแรง แต่ธนาคารได้รับผลขาดทุนตามสมมติฐานมากขึ้นในปีนี้เนื่องจากพอร์ทการลงทุนที่มีความเสี่ยงมากขึ้น
รายงานพบว่า ธนาคารขนาดใหญ่ 31 แห่งจะต้านทานอัตราว่างงานที่พุ่งสูง, ภาวะผันผวนรุนแรงของตลาด และการดิ่งลงของตลาดสินเชื่อจำนองเพื่อที่อยู่อาศัย และเพื่อการพาณิชย์ และยังคงมีเงินทุนเพียงพอที่จะปล่อยสินเชื่อต่อไปได้ นอกจากนี้ เฟดยังพบว่า ระดับของเงินทุนที่มีคุณภาพสูงของธนาคารเหล่านี้จะลดลงสู่ระดับ 9.9% มาที่ระดับต่ำสุด ซึ่งยังคงสูงเกินเกณฑ์ขั้นต่ำอยู่กว่าสองเท่า
แต่ธนาคารได้รับผลขาดทุนมากขึ้นในปีนี้ และเฟดระบุว่า ผลขาดทุนที่สูงขึ้นดังกล่าวมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงพอร์ทการลงทุนของธนาคารต่างๆ โดยธนาคารที่ถูกทดสอบจะมีผลขาดทุนรวมกัน 6.85 แสนล้านดอลลาร์ภายใต้ฉากทัศน์ร้ายแรงตามสมมติฐาน และโดยเฉลี่ย ธนาคารมีสัดส่วนเงินทุนลดลง 2.8% ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดตั้งแต่ปี 2018
เฟดระบุว่า บัตรเครดิตเป็นสาเหตุที่เฉพาะเจาะจงของผลขาดทุนสำหรับธนาคาร โดยมีสัดส่วนมากกว่า 25% ของผลขาดทุนตามสมมติฐาน และเฟดตั้งข้อสังเกตว่า บัญชีบัตรเครดิตของธนาคารขนาดใหญ่พุ่งขึ้นกว่า 1.00 แสนล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว และอัตราการค้างชำระหนี้พุ่งกว่า 40%--จบ--
Eikon source text
นายไมเคิล วิลสัน ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุนของมอร์แกน สแตนเลย์กล่าวว่า ตลาดตราสารหนี้อาจจะได้รับประโยชน์ ถ้าหากประธานาธิบดีโจ ไบเดนชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง ขณะที่ฝ่ายบริหารของเขาจะพยายามปรับขึ้นภาษีเพื่อชดเชยงบรายจ่ายของรัฐบาลบางส่วน แต่ถ้าหากนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตปธน.ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 5 พ.ย. "นั่นก็จะเป็นผลดีกว่าสำหรับเศรษฐกิจ แต่เลวร้ายลงสำหรับตราสารหนี้"
ในรอบ 12-18 เดือนที่ผ่านมา นักลงทุนชื่นชอบหุ้นขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพสูง ซึ่งมีการทบทวนผลกำไร ซึ่งก็ทำให้เกิดอัลฟาสำหรับหุ้นเหล่านี้ โดยอัลฟาคือมาตรวัดผลการดำเนินงานของผู้จัดการกองทุนเชิงรุกที่บ่งชี้ความสามารถในการสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าดัชนีอ้างอิง
บริษัทและนักวิเคราะห์แก้ไขผลกำไรเพื่อรวมข้อมูลใหม่เกี่ยวกับผลการดำเนินงาน หรือเพื่อรวมการเปลี่ยนแปลงในภาวะเศรษฐกิจ
เขากล่าวว่า กฎการอพยพเข้าเมืองภายใต้การบริหารของทั้งคู่จะถูกจับตาอย่างใกล้ชิด ขณะที่ชัยชนะของนายไบเดนจะ "เอื้อหนุนมากขึ้นสำหรับอุปทานแรงงานและเงินเฟ้อ" ส่วนชัยชนะของนายทรัมป์จะ "ปิดพรมแดน" ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความวิตกด้านเงินเฟ้อขึ้นมาอีกครั้ง
เขายังคาดว่า ภาคพลังงานและภาคการเงิน รวมทั้งหุ้นขนาดเล็กจะพุ่งขึ้น ถ้านายทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง และบริษัทขนาดใหญ่จะได้รับประโยชน์จากการชนะการเลือกตั้งของนายไบเดน--จบ--
Eikon source text
นิวยอร์ค--9 เม.ย.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า มูลค่าหุ้นสหรัฐเคลื่อนตัวอยู่ใกล้ระดับที่สูงที่สุดในรอบราว 2 ปีในช่วงนี้ และมูลค่าหุ้นดังกล่าวอาจจะเผชิญกับบททดสอบในเร็ว ๆ นี้จากฤดูการรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทสหรัฐที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการในวันศุกร์ที่ 12 เม.ย. เมื่อธนาคารเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค, ซิตี้กรุ๊ป และเวลส์ ฟาร์โก แอนด์ โคเปิดเผยผลประกอบการออกมา และสายการบินเดลต้า แอร์ไลน์กับบริษัทแบล็คร็อคก็จะเปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสออกมาในเร็ว ๆ นี้ด้วย ทั้งนี้ ค่าพีอีเรโชของหุ้นในดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐอยู่ที่ 20.7 เท่าของตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรสำหรับช่วง 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งใกล้เคียงกับจุดสูงสุดในรอบกว่า 2 ปีที่ 21.2 เท่าที่เคยทำไว้ในช่วงปลายเดือนมี.ค. ในขณะที่ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 9% จากช่วงต้นปีนี้ แต่อาจจะเป็นเรื่องที่ยากมากยิ่งขึ้นที่ตลาดหุ้นสหรัฐจะยังคงทะยานขึ้นในอัตราที่แข็งแกร่งแบบนี้ได้อีกในช่วงหลังจากนี้
ถ้าหากบริษัทสหรัฐเปิดเผยผลกำไรที่ปรับขึ้นน้อยเกินคาด นักลงทุนก็อาจจะเทขายหุ้นออกมา โดยเฉพาะในช่วงที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งขึ้นในช่วงนี้ ซึ่งส่งผลให้พันธบัตรมีความน่าดึงดูดเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับหุ้น ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 2 ปีพุ่งขึ้นจาก 4.732% ในช่วงท้ายวันศุกร์ สู่ 4.789% ในช่วงท้ายวันจันทร์ และปรับขึ้นต่อไปสู่ 4.801% ในช่วงเช้าวันนี้ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 28 พ.ย. 2023 ทางด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นจาก 4.378% ในช่วงท้ายวันศุกร์ สู่ 4.424% ในช่วงท้ายวันจันทร์ หลังจากทะยานขึ้นแตะ 4.464% ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันจันทร์ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. หรือจุดสูงสุดรอบ 4 เดือน และอยู่ที่ 4.396% ในวันนี้
นักลงทุนจะจับตาดูความเห็นของบริษัทต่าง ๆ ที่มีต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและภาวะเงินเฟ้อ เพื่อใช้ในการประเมินว่า ภาวะเศรษฐกิจแบบพอเหมาะพอดีในช่วงนี้จะยังคงดำเนินต่อไปได้หรือไม่ โดยภาวะดังกล่าวคือภาวะที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจยังคงรักษาระดับความแข็งแกร่งเอาไว้ได้ แต่อัตราเงินเฟ้อของผู้บริโภคยังคงชะลอตัวลงต่อไป ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจปรับขึ้น 5% ในไตรมาสแรกเมื่อเทียบรายปี โดยปรับลดลงจากระดับ +7.2% ที่เคยคาดการณ์กันไว้ในช่วงต้นไตรมาสแรก และชะลอตัวลงจากอัตราการเติบโตที่ 10.1% ในไตรมาส 4/2023 โดยอัตรา +5% นี้จะถือว่าต่ำที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 2/2023 เป็นต้นมา ในขณะที่อัตราผลกำไรได้รับแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูง, การพุ่งขึ้นของต้นทุนสินค้าโภคภัณฑ์ และการที่ภาคเอกชนมีอำนาจน้อยลงในการกำหนดราคา ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง
นักลงทุนจะจับตาดูผลประกอบการของบริษัทขนาดยักษ์ของสหรัฐในช่วงนี้ด้วย หลังจากราคาหุ้นของบริษัทกลุ่ม "Magnificent 7" หรือบริษัทขนาดยักษ์ 7 แห่งที่ประกอบด้วย บริษัทแอปเปิล, ไมโครซอฟท์, แอลฟาเบท, อะเมซอนดอทคอม, เอ็นวิเดีย, เมตา แพลตฟอร์มส์ และเทสลา ปรับตัวในทิศทางที่แตกต่างกันในช่วงนี้ โดยหุ้นเอ็นวิเดียซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปมีราคาพุ่งขึ้นมาแล้ว 78% จากช่วงต้นปีนี้ แต่หุ้นเทสลามีราคาอยู่ที่ 172.98 ดอลลาร์ในช่วงนี้ โดยดิ่งลงมาแล้วราว 30% จาก 248.48 ดอลลาร์ในช่วงปลายปีที่แล้ว ในขณะที่เทสลายกเลิกแผนการผลิตรถยนต์ราคาถูก
นักลงทุนจะจับตาดูว่า ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของสหรัฐในช่วงนี้จะส่งผลบวกต่อรายได้และผลกำไรของบริษัทที่มักปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจหรือไม่ ซึ่งบริษัทในกลุ่มนี้รวมถึงบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มพลังงาน โดยหุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวได้ดีเป็นส่วนใหญ่ในปีนี้ ในขณะที่การพุ่งขึ้นในตลาดหุ้นสหรัฐกระจายออกไปในวงกว้าง แทนที่จะกระจุกตัวอยู่แต่ในหุ้นเติบโตและหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com ; โทร 08-7689-6043;
นายริค ไรเดอร์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุนจากบริษัทแบล็คร็อคคาดว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคจะปรับตัวเพิ่มขึ้น และเศรษฐกิจจะมีอัตราการขยายตัวแท้จริง 1-2% ในปีนี้--จบ--
Eikon source text
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน