ตลาด
ข่าวสาร
การวิเคราะห์
ผู้ใช้
24x7
ปฏิทินเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
ข้อมูล
- ชื่อ
- ค่าล่าสุด
- ครั้งก่อน
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
ค:--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
--
ค: --
ค: --
ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
ทัศนคติล่าสุด
ทัศนคติล่าสุด
หัวข้อยอดนิยม
เพื่อเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็วและติดตามตลาดโฟกัสใน 15 นาที
ในโลกของมนุษยชาติ จะไม่มีคำกล่าวใด ๆ ที่ไม่มีจุดยืนใด ๆ หรือคำพูดใด ๆ ที่ไม่มีจุดประสงค์ใด ๆ
อัตราเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน และเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจเชิงนโยบายของธนาคารกลาง ทัศนคติและคำพูดของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยังมีอิทธิพลต่อการกระทำของเทรดเดอร์ในตลาดอีกด้วย
เงินทำให้โลกหมุนไป และสกุลเงินเป็นสินค้าถาวร ตลาดฟอเร็กซ์เต็มไปด้วยความประหลาดใจและความคาดหวัง
คอลัมนิสต์ยอดนิยม
เพลิดเพลินกับกิจกรรมที่น่าตื่นเต้น ที่นี่ที่ FastBull
ข่าวด่วนล่าสุดและเหตุการณ์ทางการเงินทั่วโลก
ฉันมีประสบการณ์ 5 ปีในการวิเคราะห์ทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนามหภาคและการตัดสินแนวโน้มระยะกลางและระยะยาว ความสนใจของฉันอยู่ที่การพัฒนาของตะวันออกกลาง ตลาดเกิดใหม่ ถ่านหิน ข้าวสาลี และสินค้าเกษตรอื่นๆ
7 ปีของตลาดหุ้น การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โลหะมีค่า และประสบการณ์การซื้อขายและการวิเคราะห์อื่น ๆ โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐาน การสนับสนุนทางเทคนิค มีอคติต่อตรรกะธุรกรรมจากบนลงล่าง โดยเน้นที่วัฏจักรมหภาคและการควบคุมความเสี่ยง การคาดการณ์เชิงทฤษฎีอุปสงค์และอุปทานอเนกประสงค์ การเปลี่ยนแปลงของราคา สร้างสมดุลระหว่างผลกระทบของธุรกรรม การกระจายชิปและอารมณ์ตลาด และคงที่
อัปเดตล่าสุด
สร้างทัศนคติการลงทุนที่ดี
วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ปรัชญาการลงทุนของเขาประกอบด้วยการสร้างกรอบความคิดระยะยาว ขจัดญาณรบกวนของตลาด ไม่เก็งกำไร และเน้นย้ำว่าการลงทุนต้องมีมีจิตใจที่มั่นคงและเป้าหมายที่ชัดเจน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง
แม้ว่าระบบกฎหมายและกรอบการกำกับดูแลในฮ่องกงจะค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ตลาดหุ้นยังคงเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายพิเศษหลายประการ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่าง HKD และ USD นักลงทุนต่างชาติอาจเผชิญกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความผันผวนของนโยบายและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นฮ่องกงด้วย
โครงสร้างต้นทุนและภาษีเมื่อลงทุนในหุ้นฮ่องกง
ต้นทุนการซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมหุ้น ค่าอากรแสตมป์ ค่าธรรมเนียมการชำระบัญชี ฯลฯ สำหรับนักลงทุนต่างชาติอาจมีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินเพิ่มเติมเป็นดอลลาร์ฮ่องกงและภาษีอื่น ๆ ตามข้อบังคับท้องถิ่น
การวิเคราะห์อุตสาหกรรมฮ่องกง:อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็น
อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็นของฮ่องกง ได้แก่ รถยนต์ การศึกษา การท่องเที่ยว การจัดเลี้ยง เครื่องแต่งกาย และภาคส่วนอื่นๆ อีกมากมาย จากบริษัทจดทะเบียน 643 แห่งนั้น 35% เป็นบริษัทในจีนแผ่นดินใหญ่และคิดเป็น 65% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด ดังนั้นอุตสาหกรรมนี้จึงได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากเศรษฐกิจจีน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
ดูผลการค้นหาทั้งหมด
ไม่มีข้อมูล
ไม่ได้ล็อกอิน
เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม
สมาชิก FastBull
ยังไม่ได้เปิด
สมัคร
เข้าสู่ระบบ
ลงทะเบียน
ฮ่องกง,ประเทศจีน
นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
ดูไบ, UAE
ลากอส, ไนจีเรีย
ไคโร, อียิปต์
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
โครงการพันธมิตร
สถาบันการลงทุนแบล็คร็อคเปิดเผยว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะไม่ลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างมากเท่ากับที่ตลาดตราสารหนี้คาดไว้ เนื่องจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวไว และเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่
เทรดเดอร์สัญญาล่วงหน้าคาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ยลงรวมราว 1.20% ในปีนี้ และลดดอกเบี้ยรวม 2.50% ภายในปลายปีหน้า ซึ่งนั่นจะทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลงสู่ระดับ 2.8-2.9% ภายในปลายปีหน้า จากกรอบปัจจุบันที่ 5.25-5.5%
แบล็คร็อคระบุว่า การลดดอกเบี้ยในสัดส่วนดังกล่าวสะท้อนถึงความวิตกเกี่ยวกับภาวะถดถอยที่มากเกินไป รวมทั้งการคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจจะชะลอตัวเพียงชั่วคราวแทน "ขณะที่เฟดพร้อมที่จะเริ่มลดดอกเบี้ย ตลาดก็กำลังปรับตัวรับการลดดอกเบี้ยลงอย่างมากเหมือนกับในช่วงที่เกิดภาวะถดถอยที่ผ่านๆมา เราจึงคิดว่า การคาดการณ์ดังกล่าวเป็นการคาดการณ์มากเกินไป"
แม้อัตราว่างงานเพิ่มขึ้น การจ้างงานก็ยังคงขยายตัว และภาวะจำกัดด้านอุปทานจะยังคงสร้างแรงกดดันในช่วงขาขึ้นต่อราคาต่อไป "แรงงานสูงอายุ, ยอดขาดดุลงบประมาณต่อเนื่อง และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้าง เช่นการแยกส่วนทางภูมิรัฐศาสตร์น่าจะทำให้เงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงขึ้นในระยะกลางต่ไป"
สถาบันลดน้ำหนักการลงทุนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นของสหรัฐ เนื่องจากผลตอบแทนปัจจุบันสะท้อนการคาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยลงมาก แต่ยังคงเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นสหรัฐแทนจากความหวังเกี่ยวกับผลกระทบของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์--จบ--
Eikon source text
3 ก.ย.--รอยเตอร์
หลังจากหน่วยงานควบคุมกฎระเบียบของสหรัฐอนุมัติให้มีการจัดตั้งกองทุนสปอตบิทคอยน์ ETF จำนวน 10 แห่งในช่วงต้นปีนี้ กองทุนเหล่านี้ก็มีขนาดรวมกันสูงกว่า 5.2 หมื่นล้านดอลลาร์แล้วในช่วงปลายเดือนส.ค. หรือในเวลาราว 8 เดือนนับตั้งแต่เริ่มต้นก่อตั้ง ซึ่งถือเป็นการขยายตัวอย่างรวดเร็วเกินคาดเป็นอย่างมาก เพราะว่านายแมทธิว ฮูแกน ซีอีโอของบริษัทบิทไวส์เคยกล่าวในเดือนต.ค. 2023 ว่า เขาคาดว่ากองทุนสปอตบิทคอยน์ ETF จะดึงดูดเงินลงทุนได้ 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 5 ปีแรก ทั้งนี้ ฮูแกนกล่าวว่า "ผมไม่ได้คาดการณ์ในทางบวกมากพอในตอนนั้น" และเขากล่าวเสริมว่า "เราจะต้องวัดขนาดธุรกิจนี้โดยใช้หน่วยเป็นแสนล้านดอลลาร์"
ถึงแม้กองทุนสปอตบิทคอยน์ ETF เติบโตอย่างรวดเร็วมากในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา การที่ธุรกิจนี้จะได้รับการยอมรับในวงกว้างในฐานะสินทรัพย์กระแสหลักก็อาจจะดำเนินไปอย่างเชื่องช้าและไม่ราบรื่นในช่วงต่อจากนี้ โดยอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ถือเป็นหมุดหมายสำคัญสำหรับธุรกิจนี้เพิ่งเกิดขึ้นในเดือนส.ค. เมื่อธนาคารมอร์แกน สแตนเลย์ตัดสินใจอนุญาตให้ที่ปรึกษาทางการเงินของมอร์แกน สแตนเลย์ ซึ่งมีจำนวนรวมกันราว 15,000 คน สามารถให้คำแนะนำแก่ลูกค้าเรื่องการลงทุนในกองทุนบิทคอยน์ ETF อย่างน้อย 2 กองทุน ซึ่งได้แก่กองทุนไอแชร์ส บิทคอยน์ ทรัสต์ และกองทุนฟิเดลิตี ไวส์ ออริจิน บิทคอยน์ ฟันด์ ทั้งนี้ นายจอห์น ฮอฟฟ์แมน จากกองทุนเกรย์สเกล ฟันด์ระบุว่า "สิ่งที่ไม่อาจจะยอมรับได้ในตอนนี้ ก็คือการไม่ประเมินมูลค่าและไม่ทำความเข้าใจในผลิตภัณฑ์เหล่านี้" และเขากล่าวเสริมว่า "ความเสี่ยงสำหรับธุรกิจบริหารความมั่งคั่งในตอนนี้ได้พลิกไปเป็นความเสี่ยงที่เกิดจากการไม่เข้าไปลงทุน"
กระแสเงินลงทุนที่ไหลเข้าสู่กองทุน ETF แห่งใหม่เหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากนักลงทุนรายย่อย โดยมีนักลงทุนสถาบันขนาดใหญ่เพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่เปิดเผยสถานะการลงทุนในกองทุนเหล่านี้ โดยนักลงทุนสถาบันเหล่านี้รวมถึงกองทุนเฮดจ์ฟันด์ และคณะกรรมการการลงทุนของรัฐวิสคอนซิน ทั้งนี้ การที่มอร์แกน สแตนเลย์ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในประเด็นนี้ บ่งชี้ว่ากองทุนคริปโต ETF อาจจะต้องใช้เวลาอีกนานก่อนที่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนกระแสหลัก โดยนายแอนดรูว์ ลอม ทนายความของบริษัทนอร์ตัน โรส ฟุลไบรท์ระบุว่า "มอร์แกน สแตนเลย์ถูกมองว่าล้ำหน้ามากในเรื่องนี้ และนั่นแสดงให้เห็นว่า การที่มอร์แกน สแตนเลย์เคลื่อนไหวก่อนธนาคารแห่งอื่น ๆ ก็ส่งผลให้มอร์แกน สแตนเลย์ถูกมองว่าทำในสิ่งที่เสี่ยงสูงด้วยเหมือนกัน"
นายลอมระบุว่า บททดสอบที่แท้จริงสำหรับประเด็นที่ว่า กองทุนสปอตบิทคอยน์ ETF เหล่านี้จะเป็นการลงทุนกระแสหลักหรือไม่ ขึ้นอยู่กับทั้งขนาดและสภาพคล่องของกองทุนเหล่านี้ และเขากล่าวเสริมว่า "ในอนาคตนั้น นักลงทุนจะเริ่มคิดถึงและพูดถึงกองทุนเหล่านี้ในฐานะของสิ่งหนึ่งที่สามารถลงทุนได้ตามปกติ และเมื่อนั้นผู้จัดทำโมเดลพอร์ตลงทุนสมัยใหม่ก็จะเริ่มพิจารณาว่า จะให้กองทุนเหล่านี้ครองสัดส่วนเท่าใดในพอร์ตลงทุน" ทั้งนี้ บททดสอบขั้นต่อไปสำหรับกองทุนสปอตบิทคอยน์ ETF ก็คือว่า โมเดลพอร์ตลงทุนจะเริ่มบรรจุกองทุนเหล่านี้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตลงทุนเมื่อใด โดยมีการคาดการณ์กันว่า สิ่งนี้จะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 6-12 เดือนถึงจะเกิดขึ้นได้
กองทุนสปอตอีเธอเรียม ETF มีอนาคตที่ไม่แน่นอนมากกว่ากองทุนบิทคอยน์ โดยกองทุนสปอตอีเธอเรียม ETF เพิ่งเปิดตัวในวันที่ 23 ก.ค. และกองทุนกลุ่มนี้ก็มีขนาดเกือบถึง 7 พันล้านดอลลาร์ในเวลา 1 เดือนต่อมา โดยหนึ่งในกองทุนขนาดใหญ่ในกลุ่มนี้คือกองทุนไอแชร์ อีเธอเรียม ทรัสต์ของบริษัทแบล็คร็อคที่มีขนาดสินทรัพย์ 900 ล้านดอลลาร์ แต่กองทุนดังกล่าวก็เติบโตช้ากว่ากองทุนบิทคอยน์ของแบล็คร็อคเป็นอย่างมาก เพราะกองทุนบิทคอยน์ของแบล็คร็อคมีขนาดพุ่งขึ้นถึง 1 พันล้านดอลลาร์ได้ใน 4 วันแรกของการเปิดขาย ทั้งนี้ นักลงทุนบางรายคาดการณ์อย่างระมัดระวังต่อแนวโน้มของกองทุนอีเธอเรียม โดยตั้งข้อสังเกตว่าอีเธอร์ถือเป็นสกุลเงินคริปโตที่มีความแตกต่างเป็นอย่างมากจากบิทคอยน์ โดยนายซุย ชุง ซีอีโอของบริษัทซีเอฟ เบนช์มาร์คส์ระบุว่า "ถ้าหากบิทคอยน์ถือเป็นทองคำดิจิทัล อีเธอร์ก็ถือเป็นน้ำมันดิจิทัล โดยสาเหตุที่อาจจะส่งผลให้อีเธอเรียมมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ก็คือการที่ประชาชนอาจจะต้องใช้อีเธอร์ในการเคลื่อนย้ายสินทรัพย์ไปมาในเครือข่ายดิจิทัล เหมือนกับที่ประชาชนใช้น้ำมันในการทำงานในโลกแห่งความเป็นจริง"--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
นายเดวิด โรกัล ผู้จัดการกลุ่มตราสารหนี้พื้นฐานของแบล็คร็อคกล่าวว่า การพุ่งขึ้นของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ผ่านมา ซึ่งเกิดขึ้นจากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างมีนัยสำคัญนั้น เป็นการพุ่งขึ้นมากเกินไป ขณะที่การฟื้นตัวไวของเศรษฐกิจอาจจะทำให้ไม่จำเป็นที่เฟดจะต้องลดอัตราดอกเบี้ยลงมากเท่ากับที่ตลาดคาดไว้ อย่างไรก็ดี เฟดก็น่าจะเริ่มลดดอกเบี้ยในเดือนที่แล้วเพื่อค่อยๆปรับไปสู่นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลง
ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดิ่งลง หลังจากข้อมูลภาคการผลิตที่อ่อนแอ และข้อมูลการจ้างงานในสัปดาห์ที่แล้วทำให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับภาวะถดถอย และมีการปรับคาดการณ์ใหม่เกี่ยวกับนโยบายการเงินสำหรับช่วงที่เหลือของปีนี้
เขากล่าวว่า การพุ่งขึ้นดังกล่าวทำให้มูลค่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐน่าสนใจลดลง โดยราคาพันธบัตรร่วงลงเมื่อวานนี้ แต่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปียังคงต่ำกว่าสัปดาห์ที่แล้วอยู่ราว 0.50% และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีลดลง 0.40% ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่นักลงทุนคาดการณ์ว่า จะมีการลดดอกเบี้ยลงราว 1.14% ในปีนี้ ซึ่งมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ในสัปดาห์ที่แล้วเกือบสองเท่า
การพุ่งขึ้นอีกของราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะสะท้อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าเฟดลดดอกเบี้ย เขาก็คาดว่า เศรษฐกิจจะชะลอตัวอย่างนุ่มนวล หรือสถานการณ์ที่เงินเฟ้อลดลงโดยที่ไม่ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวครั้งใหญ่
เขากล่าวว่า เฟดน่าจะเริ่มลดดอกเบี้ย 0.25% ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเฟดมีมติคงดอกเบี้ยไว้ที่ 5.25-5.5% "ปฏิกริยาบางส่วนของตลาดก็คือ ดูเหมือนว่าเฟดกำลังขึ้นดอกเบี้ยช้าไปอยู่เล็กน้อย และนั่นเพิ่มโอกาสที่จะมีการลดดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนก.ย. ซึ่งอาจจะดูตื่นตระหนกบ้าง"--จบ--
Eikon source text
นิวยอร์ค--9 เม.ย.--รอยเตอร์
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า มูลค่าหุ้นสหรัฐเคลื่อนตัวอยู่ใกล้ระดับที่สูงที่สุดในรอบราว 2 ปีในช่วงนี้ และมูลค่าหุ้นดังกล่าวอาจจะเผชิญกับบททดสอบในเร็ว ๆ นี้จากฤดูการรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทสหรัฐที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการในวันศุกร์ที่ 12 เม.ย. เมื่อธนาคารเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค, ซิตี้กรุ๊ป และเวลส์ ฟาร์โก แอนด์ โคเปิดเผยผลประกอบการออกมา และสายการบินเดลต้า แอร์ไลน์กับบริษัทแบล็คร็อคก็จะเปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสออกมาในเร็ว ๆ นี้ด้วย ทั้งนี้ ค่าพีอีเรโชของหุ้นในดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐอยู่ที่ 20.7 เท่าของตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรสำหรับช่วง 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งใกล้เคียงกับจุดสูงสุดในรอบกว่า 2 ปีที่ 21.2 เท่าที่เคยทำไว้ในช่วงปลายเดือนมี.ค. ในขณะที่ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 9% จากช่วงต้นปีนี้ แต่อาจจะเป็นเรื่องที่ยากมากยิ่งขึ้นที่ตลาดหุ้นสหรัฐจะยังคงทะยานขึ้นในอัตราที่แข็งแกร่งแบบนี้ได้อีกในช่วงหลังจากนี้
ถ้าหากบริษัทสหรัฐเปิดเผยผลกำไรที่ปรับขึ้นน้อยเกินคาด นักลงทุนก็อาจจะเทขายหุ้นออกมา โดยเฉพาะในช่วงที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งขึ้นในช่วงนี้ ซึ่งส่งผลให้พันธบัตรมีความน่าดึงดูดเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับหุ้น ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 2 ปีพุ่งขึ้นจาก 4.732% ในช่วงท้ายวันศุกร์ สู่ 4.789% ในช่วงท้ายวันจันทร์ และปรับขึ้นต่อไปสู่ 4.801% ในช่วงเช้าวันนี้ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 28 พ.ย. 2023 ทางด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นจาก 4.378% ในช่วงท้ายวันศุกร์ สู่ 4.424% ในช่วงท้ายวันจันทร์ หลังจากทะยานขึ้นแตะ 4.464% ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันจันทร์ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. หรือจุดสูงสุดรอบ 4 เดือน และอยู่ที่ 4.396% ในวันนี้
นักลงทุนจะจับตาดูความเห็นของบริษัทต่าง ๆ ที่มีต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและภาวะเงินเฟ้อ เพื่อใช้ในการประเมินว่า ภาวะเศรษฐกิจแบบพอเหมาะพอดีในช่วงนี้จะยังคงดำเนินต่อไปได้หรือไม่ โดยภาวะดังกล่าวคือภาวะที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจยังคงรักษาระดับความแข็งแกร่งเอาไว้ได้ แต่อัตราเงินเฟ้อของผู้บริโภคยังคงชะลอตัวลงต่อไป ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 อาจปรับขึ้น 5% ในไตรมาสแรกเมื่อเทียบรายปี โดยปรับลดลงจากระดับ +7.2% ที่เคยคาดการณ์กันไว้ในช่วงต้นไตรมาสแรก และชะลอตัวลงจากอัตราการเติบโตที่ 10.1% ในไตรมาส 4/2023 โดยอัตรา +5% นี้จะถือว่าต่ำที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 2/2023 เป็นต้นมา ในขณะที่อัตราผลกำไรได้รับแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูง, การพุ่งขึ้นของต้นทุนสินค้าโภคภัณฑ์ และการที่ภาคเอกชนมีอำนาจน้อยลงในการกำหนดราคา ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง
นักลงทุนจะจับตาดูผลประกอบการของบริษัทขนาดยักษ์ของสหรัฐในช่วงนี้ด้วย หลังจากราคาหุ้นของบริษัทกลุ่ม "Magnificent 7" หรือบริษัทขนาดยักษ์ 7 แห่งที่ประกอบด้วย บริษัทแอปเปิล, ไมโครซอฟท์, แอลฟาเบท, อะเมซอนดอทคอม, เอ็นวิเดีย, เมตา แพลตฟอร์มส์ และเทสลา ปรับตัวในทิศทางที่แตกต่างกันในช่วงนี้ โดยหุ้นเอ็นวิเดียซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปมีราคาพุ่งขึ้นมาแล้ว 78% จากช่วงต้นปีนี้ แต่หุ้นเทสลามีราคาอยู่ที่ 172.98 ดอลลาร์ในช่วงนี้ โดยดิ่งลงมาแล้วราว 30% จาก 248.48 ดอลลาร์ในช่วงปลายปีที่แล้ว ในขณะที่เทสลายกเลิกแผนการผลิตรถยนต์ราคาถูก
นักลงทุนจะจับตาดูว่า ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของสหรัฐในช่วงนี้จะส่งผลบวกต่อรายได้และผลกำไรของบริษัทที่มักปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจหรือไม่ ซึ่งบริษัทในกลุ่มนี้รวมถึงบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มพลังงาน โดยหุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวได้ดีเป็นส่วนใหญ่ในปีนี้ ในขณะที่การพุ่งขึ้นในตลาดหุ้นสหรัฐกระจายออกไปในวงกว้าง แทนที่จะกระจุกตัวอยู่แต่ในหุ้นเติบโตและหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com ; โทร 08-7689-6043;
นายริค ไรเดอร์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุนจากบริษัทแบล็คร็อคคาดว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคจะปรับตัวเพิ่มขึ้น และเศรษฐกิจจะมีอัตราการขยายตัวแท้จริง 1-2% ในปีนี้--จบ--
Eikon source text
กรุงเทพฯ--30 ม.ค.--รอยเตอร์
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับยูโรในวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.25-5.50% ตามเดิมในการประชุมวันที่ 30-31 ม.ค. แต่เฟดจะคัดค้านการคาดการณ์ในตลาดที่ว่า เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเร็ว ๆ นี้ ทางด้านเทรดเดอร์คาดการณ์ในตอนนี้ว่า มีโอกาสเพียง 48% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค. โดยปรับลดลงจากโอกาส 89% ที่เคยคาดไว้เมื่อหนึ่งเดือนก่อน หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาในระยะนี้แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังคงอยู่ในภาวะแข็งแกร่ง ทั้งนี้ ยูโรได้รับแรงกดดันจากแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปที่อยู่ในภาวะอ่อนแอกว่าสหรัฐ Eikon source text
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 103.46 ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ ซึ่งใกล้เคียงกับระดับ 103.47 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 103.82 ในระหว่างวัน ซึ่งเท่ากับจุดสูงสุดของสัปดาห์ที่แล้ว และถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค.
ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 147.49 เยนในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยร่วงลงจากระดับปิดตลาดวันศุกร์ที่ 148.16 เยน อย่างไรก็ดี ดอลลาร์/เยนมีแนวโน้มที่จะปิดตลาดเดือนม.ค.ด้วยการพุ่งขึ้นราว 4.5% จากเดือนธ.ค. ในขณะที่เทรดเดอร์ปรับลดการคาดการณ์เรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ)
ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0833 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันจันทร์ โดยอ่อนค่าลงจาก 1.0852 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันศุกร์ หลังจากดิ่งลงแตะ 1.07955 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค.
ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นในวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนรอดูการประชุมกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 30-31 ม.ค., รอดูตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัว และรอดูผลประกอบการของบริษัทสำคัญหลายแห่งของสหรัฐที่จะได้รับการประกาศออกมาในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงบริษัทแอลฟาเบท, ไมโครซอฟท์ และเจเนอรัล มอเตอร์ส (GM) ที่จะเปิดเผยผลประกอบการในวันอังคาร, บริษัทควอลคอมม์ ที่จะเปิดเผยผลประกอบการในวันพุธ, บริษัทโบอิ้ง, แอปเปิล, อะเมซอนดอทคอม และเมตา แพลตฟอร์มส์ ที่จะเปิดเผยผลประกอบการในวันพฤหัสบดี และบริษัทเอ็กซอน โมบิล กับเชฟรอน ซึ่งถือเป็นสองบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ที่จะเปิดเผยผลประกอบการในวันศุกร์ ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจที่นักลงทุนจับตาดูในสัปดาห์นี้รวมถึง ผลสำรวจตำแหน่งงานว่างและการเข้า-ออกงาน (JOLTS), ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐที่จัดทำโดยบริษัท ADP, ต้นทุนการจ้างงานประจำไตรมาสสี่, ประสิทธิภาพการผลิต, ยอดการประกาศปลดพนักงานออก, ตัวเลขราคาบ้านสหรัฐที่จัดทำโดยบริษัทเคส-ชิลเลอร์, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐ, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ที่จัดทำโดยสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), ค่าใช้จ่ายภาคก่อสร้าง, ยอดสั่งซื้อภาคโรงงาน และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนม.ค.ที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานออกมาในวันศุกร์ที่ 2 ก.พ. ทั้งนี้ หุ้น 10 กลุ่มจาก 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดวันจันทร์ในแดนบวก โดยดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยพุ่งขึ้น 1.37% และถือเป็นกลุ่มที่พุ่งขึ้นมากที่สุดในวันจันทร์ ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) ทะยานขึ้น 0.97% และถือเป็นกลุ่มที่ปรับขึ้นมากเป็นอันดับสอง ทางด้านดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานถือเป็นหุ้นกลุ่มเดียวที่ปิดตลาดวันจันทร์ในแดนลบ Eikon source text
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกขึ้น 0.59% สู่ 38,333.45
ดัชนี S&P 500 ปิดปรับขึ้น 0.76% สู่ 4,927.93 ซึ่งถือเป็นสถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ โดยดัชนีพุ่งขึ้นมาแล้ว 3.3% จากช่วงต้นเดือนนี้ และปัจจัยดังกล่าวมีส่วนช่วยหนุนให้บริษัทแบล็คร็อคปรับขึ้นมุมมองที่มีต่อหุ้นสหรัฐโดยรวมสู่ "overweight" จาก "neutral"
ดัชนี Nasdaq ปิดพุ่งขึ้น 1.12% สู่ 15,628.04
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ดิ่งลงในวันจันทร์ โดยได้รับแรงกดดันจากความกังวลเรื่องอุปสงค์น้ำมันในจีนท่ามกลางวิกฤติภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น หลังจากมีข่าวว่าศาลฮ่องกงออกคำสั่งให้บริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของจีนขายทรัพย์สินเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ ทั้งนี้ ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นในช่วงแรกโดยได้รับแรงหนุนจากความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง หลังจากมีการใช้ขีปนาวุธโจมตีเรือขนส่งเชื้อเพลิงลำหนึ่งในทะเลแดง และมีการใช้โดรนโจมตีกองทัพสหรัฐในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจอร์แดน ซึ่งส่งผลให้มีทหารสหรัฐเสียชีวิต 3 นาย และส่งผลให้มีทหารได้รับบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 34 นาย อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันดิ่งลงในเวลาต่อมา ในขณะที่นักลงทุนมองว่าอุปทานน้ำมันยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง Eikon source text
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนมี.ค.รูดลง 1.23 ดอลลาร์ หรือ 1.6% มาปิดตลาดที่ 76.78 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมี.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนดิ่งลง 1.15 ดอลลาร์ หรือ 1.4% มาปิดตลาดที่ 82.40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 84.80 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย. หรือจุดสูงสุดในรอบกว่า 2 เดือน
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 13.41
ดอลลาร์ สู่ 2,031.75 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนเข้าซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลาง นอกจากนี้ นักลงทุนก็รอดูการประชุมกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 30-31 ม.ค.ด้วย ทั้งนี้ มีการใช้โดรนโจมตีกองทัพสหรัฐในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจอร์แดน ซึ่งส่งผลให้มีทหารสหรัฐเสียชีวิต 3 นาย และส่งผลให้มีทหารได้รับบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 34 นาย ทางด้านประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐระบุในวันอาทิตย์ว่า กลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์โจมตีในครั้งนี้ โดยเหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นการโจมตีครั้งแรกที่ส่งผลให้ทหารสหรัฐเสียชีวิต นับตั้งแต่เกิดสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสในเดือนต.ค. 2023 เป็นต้นมา Eikon source text
--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
วอชิงตัน/นิวยอร์ค--11 ม.ค.--รอยเตอร์
บิทคอยพุ่งขึ้น 1.21% จาก 46,124 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร สู่ 46,681 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพุธ หลังจากแกว่งตัวผันผวนระหว่างระดับ 44,304-47,751 ดอลลาร์ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันพุธ และหลังจากเพิ่งพุ่งขึ้นแตะ 47,897 ดอลลาร์สหรัฐในวันอังคาร ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2022 หรือจุดสูงสุดรอบ 21 เดือน โดยบิทคอยน์ได้รับแรงหนุนในวันพุธ หลังจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) อนุมัติให้มีการจัดตั้งกองทุนสปอตบิทคอยน์ ETF 11 แห่ง ซึ่งรวมถึงกองทุนของบริษัทแบล็คร็อค, อาร์ค อินเวสท์เมนท์และ21แชร์ส, ฟิเดลิที, อินเวสโก, วัลคีรี และแวนเอค โดยกองทุนส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้อาจจะเริ่มเปิดซื้อขายในวันนี้ ทั้งนี้ อีเธอร์ซึ่งถือเป็นสกุลเงินคริปโตขนาดใหญ่อันดับ 2 ของโลก พุ่งขึ้น 10.22% จาก 2,345.10 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร สู่ 2,584.80 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันพุธ หลังจากทะยานขึ้นแตะ 2,644 ดอลลาร์ในระหว่างช่วงการซื้อขายวันพุธ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2022 โดยอีเธอร์อยู่ที่ระดับ 2,577.90 ดอลลาร์ในช่วงเช้าวันนี้ ส่วนบิทคอยน์อยู่ที่ 46,577 ดอลลาร์ในช่วงเช้าวันนี้
การอนุมัติจัดตั้งกองทุน ETF ในครั้งนี้จะส่งผลให้ตลาดการลงทุนในบิทคอยน์เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเป็นอย่างมาก เพราะกองทุนเหล่านี้จะเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้รับผลกำไรหรือขาดทุนจากบิทคอยน์ได้โดยที่นักลงทุนไม่ต้องถือครองบิทคอยน์โดยตรง และการอนุมัติกองทุนเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมสกุลเงินคริปโตเป็นอย่างมากด้วย หลังจากอุตสาหกรรมนี้เผชิญกับข่าวอื้อฉาวหลายข่าวในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ของธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดระบุในสัปดาห์นี้ว่า กองทุน ETF เหล่านี้อาจจะดึงดูดเงินลงทุนได้ 0.5-1.00 แสนล้านดอลลาร์ในปีนี้ ในขณะที่นักวิเคราะห์รายอื่น ๆ คาดว่า เงินลงทุนที่ไหลเข้าสู่กองทุน ETF เหล่านี้จะอยู่ที่ระดับใกล้กับ 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์ภายในเวลา 5 ปีข้างหน้า
บริษัทคอยน์เกคโคระบุว่า มูลค่าตามราคาตลาดของบิทคอยน์อยู่ที่ระดับสูงกว่า 9.13 แสนล้านดอลลาร์หากนับจนถึงวันที่ 10 ม.ค. ส่วนสถาบันบริษัทการลงทุน หรือ Investment Company Institute ระบุว่า สินทรัพย์สุทธิโดยรวมของกองทุน ETF ทั้งหมดในสหรัฐอยู่ที่ 6.5 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนธ.ค. 2022 ทั้งนี้ บิทคอยน์พุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 70% ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า SEC จะอนุมัติให้มีการจัดตั้งกองทุน ETF
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ความสำเร็จของกองทุน ETF แต่ละแห่งในการดึงดูดเงินลงทุน จะขึ้นอยู่กับค่าธรรมเนียมและสภาพคล่อง ในขณะที่บริษัทผู้ออกกองทุนบางแห่งได้ปรับลดค่าธรรมเนียมที่เคยวางแผนไว้ในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงบริษัทแบล็คร็อคและกองทุนของอาร์ค/21แชร์ส โดยค่าธรรมเนียมเหล่านี้อยู่ในระดับราว 0.2%-1.5% และบริษัทหลายแห่งก็เสนอที่จะงดเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมเป็นเวลาระยะหนึ่งด้วย นอกจากนี้ บริษัทผู้ออกกองทุนบางแห่ง ซึ่งรวมถึงบิทไวส์และแวนเอค ก็ได้ออกโฆษณาเพื่อดึงดูดการลงทุนในบิทคอยน์แล้ว ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญบางรายคาดว่า การอนุมัติจัดตั้งกองทุนบิทคอยน์ ETF ในครั้งนี้จะปูทางไปสู่การออกผลิตภัณฑ์คริปโตแบบใหม่ ๆ อันอื่น ๆ ในเวลาต่อมา โดยบริษัทบางแห่งได้ยื่นเรื่องเพื่อขอจัดตั้งกองทุน ETF สำหรับอีเธอร์แล้วด้วย
ก่อนหน้านี้ SEC เคยปฏิเสธที่จะอนุมัติให้มีการจัดตั้งกองทุนบิทคอยน์ ETF ในอดีต เนื่องจาก SEC กังวลว่าบิทคอยน์อาจจะถูกปั่นตลาดได้อย่างง่ายดาย โดยนายแกรี เกนส์เลอร์ ประธาน SEC ก็มักจะแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์สกุลเงินคริปโตด้วย อย่างไรก็ดี ในการลงคะแนนเสียงของคณะกรรมการของ SEC ในครั้งนี้นั้น นายเกนส์เลอร์ ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคเดโมแครต และกรรมการอีก 2 คนของ SEC ที่มาจากพรรครีพับลิกัน ได้โหวตให้มีการอนุมัติจัดตั้งกองทุนสปอตบิทคอยน์ ETF แต่กรรมการ 2 คนของ SEC ที่มาจากพรรคเดโมแครตโหวตคัดค้าน ซึ่งรวมถึงแคโรไลน์ เครนชอว์ ที่ให้เหตุผลว่ามีปัญหาเรื่องการปกป้องคุ้มครองนักลงทุน--จบ--
Eikon source text
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;
ไวท์เลเบล
Data API
ปลั๊กอินเว็บไซต์
เครื่องมือออกแบบโปสเตอร์
โครงการพันธมิตร
ความเสี่ยงของการสูญเสียในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น FX สินค้าโภคภัณฑ์ ฟิวเจอร์ส พันธบัตร ETFs หรือเงินดิจิทัลอาจมีมาก คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่คุณฝากไว้กับโบรกเกอร์ของคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการซื้อขายดังกล่าวเหมาะสมกับคุณหรือไม่ในสถานการณ์และทรัพยากรทางการเงินของคุณ
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตัวเองหรือปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของคุณ เนื้อหาเว็บของเราอาจไม่เหมาะกับคุณเนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขทางการเงินและความต้องการในการลงทุนของคุณ ข้อมูลทางการเงินของเราอาจมีความล่าช้าหรือมีความไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจซื้อขายและการลงทุนของคุณ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียเงินทุนของคุณ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ คุณจะไม่สามารถคัดลอกกราฟิก ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์ได้ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในเนื้อหาหรือข้อมูลที่รวมอยู่ในเว็บไซต์นี้เป็นของผู้ให้บริการและผู้ค้าแลกเปลี่ยน