ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่ความกังวลด้านอุปสงค์ยังคงมีอยู่

ราคาน้ำมันดิบเริ่มต้นซื้อขายในสัปดาห์นี้ ด้วยทิศทางขาขึ้น หลังจากมีข่าวว่ากลุ่มกบฏอิสลามสามารถขับไล่ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัล-อัสซาด แห่งซีเรียออกจากตำแหน่ง และเข้ายึดครองประเทศด้วยการโจมตีแบบสายฟ้าแลบที่กินเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน

ณ เวลาที่เขียนบทความนี้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ซื้อขายอยู่ที่ 71.54 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ ราคา น้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสอินเตอร์มีเดียตอยู่ที่ 67.63 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากยังคงมีการวิตกกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของอุปสงค์

โทโมมิชิ อาคุตะ นักวิเคราะห์ของ Mitsubishi UFJ Research and Consulting กล่าวกับรอยเตอร์ว่า“การพัฒนาในซีเรียทำให้เกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองในตะวันออกกลางเพิ่มขึ้นอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งช่วยสนับสนุนตลาดในระดับหนึ่ง”

“แต่การปรับลดราคาน้ำมันของซาอุดีอาระเบียและการขยายเวลาการลดการผลิตของกลุ่ม OPEC+ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เน้นย้ำถึงอุปสงค์ที่อ่อนแอของจีน ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดอาจอ่อนตัวลงในช่วงปลายปี” อาคุตะกล่าวเสริม

Yeap Jun Rong นักยุทธศาสตร์ตลาดของ IG เปิดเผยกับ Bloomberg ว่า"ตลาดส่วนใหญ่กำลังคาดการณ์ว่าความตึงเครียดในซีเรียจะยังคงอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง และความเสี่ยงของการหยุดชะงักของอุปทานน้ำมันในวงกว้างยังคงต่ำ"

ซาอุดีอาระเบียระบุว่าจะลดราคาน้ำมันสำหรับการส่งมอบในเดือนมกราคม ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าจะมีน้ำมันล้นตลาดในปีหน้าตามที่แหล่งข่าวคาดการณ์หลายแห่งคาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางคนเตือนว่าความต้องการน้ำมันกำลังถูกประเมินต่ำเกินไปและมีการประเมินอุปทานที่มากเกินไป ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการตื่นตระหนกในช่วงใดช่วงหนึ่งของปี 2025

สัปดาห์ที่แล้ว Morgan Stanley ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเบรนท์สำหรับปี 2568 ขึ้นไป โดยระบุว่าการตัดสินใจของกลุ่ม OPEC+ ที่จะเลื่อนการเปลี่ยนทิศทางการลดการผลิตจะส่งผลให้อุปทานส่วนเกินลดลงน้อยกว่าที่คาดไว้ แม้จะคำนึงถึงอุปสงค์ในจีนที่ลดลงซึ่งทำให้คนส่วนใหญ่รับรู้กันก็ตาม

นักวิเคราะห์ของ ING กล่าวภายหลังการตัดสินใจของกลุ่มเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า “การดำเนินการของกลุ่ม OPEC+ ส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำมันส่วนเกินที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2025 อย่างมาก อย่างไรก็ตาม การขยายระยะเวลาและการคืนทุนที่ช้าลงของปริมาณน้ำมันดิบในบาร์เรลไม่เพียงพอที่จะผลักดันให้ตลาดเข้าสู่ภาวะขาดดุลในปีหน้า”

ที่มา: OILPRICE